ส่วนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า ตอนที่ 8 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (8)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

“คนหนุ่มสาวอย่างเธอนี่ดวงดีจริงๆ นะ” 

 

หัวหน้านางพยาบาลอายุเกือบสี่สิบกระซิบบอกขณะที่เข้ามาเปลี่ยนผ้าพันแผลให้ “ถนนบนเขานั้นพังอยู่บ่อยๆ วันนั้นตอนที่พวกเธอทั้งหมดเกิดอุบัติเหตุเข้าก็มีรถชนที่อื่นเหมือนกัน พวกเขาไม่ได้โชคดีขนาดนั้น คนในรถหลายคนก็ตายไป เหตุการณ์นั้นได้ลงหนังสือพิมพ์ด้วยนะ พวกเขาบอกว่ารถหรูราคาเป็นล้านหยวนพังยับเลย น่าเสียดายจริงๆ” 

 

ทางบนภูเขา อุบัติเหตุทางถนน 

 

ซูหว่านค่อยๆ หลับตาลง ความทรงจำปรากฏภาพรถบัสที่เธอนั่งมาในวันนั้น พวกเขาประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่หลังจากเดินทางมายาวนาน ถนนถูกกั้นไว้ ฉีมู่จึงต้องกลับรถไปใช้เส้นทางอื่นที่แคบกว่า และหลังจากนั้น… 

 

ที่แท้ก็เป็นอุบัติเหตุทางรถยนต์ 

 

มิน่าศีรษะของเธอถึงได้เจ็บและจำเรื่องราวได้เลอะเลือน ไม่รู้ว่าคนอื่นเป็นอย่างไรบ้าง อี้จื่อเซวียนล่ะ 

 

“คุณหัวหน้าพยาบาลคะ” 

 

คิดมาถึงตรงนี้ซูหว่านก็เรียกหัวหน้าพยาบาลที่กำลังจะออกไป “เพื่อนร่วมวิทยาลัยของฉัน คนที่อยู่ในรถบัสคันเดียวกับฉัน พวกเขาเป็นอะไรไหมคะ” 

 

“โอ้ เธอถามถึงพวกเขาสินะ มีสองคนแค่ฟกช้ำ ครอบครัวของพวกเขามารับออกไปเมื่อเช้านี้เอง เธอกับอีกสี่คนที่บาดเจ็บคล้ายๆ กันยังต้องอยู่ดูอาการที่โรงพยาบาล สองคนที่เหลือบาดเจ็บรุนแรงและยังมีอาการสาหัสอยู่ในห้องไอซียูน่ะ แต่พวกเขาก็น่าจะพ้นขีดอันตรายหลังจากคืนนี้นั่นแหละ” 

 

หลังจากหัวหน้าพยาบาลว่าจบเขาก็หันหลังเดินจากไป 

 

ซูหว่านลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล สวมรองเท้าบนพื้นและค่อยๆ เดินออกจากห้องตัวเอง 

 

เธอคอยถามไปตลอดทางจนในที่สุดก็มาถึงห้องคนไข้ของอี้จื่อเซวียนอย่างราบรื่น ภาพด้านในห้องที่มองเห็นจากช่องหน้าต่างเล็กๆ บนประตูห้อง อี้จื่อเซวียนไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง เขาอยู่กับฉินลู่ 

 

ทั้งสองกำลังอยู่บนเตียง หันหน้าเข้าหากันคล้ายพูดคุยกันอยู่ 

 

ซูหว่านมองผ้าพันแผลบนแขนของอี้จื่อเซวียน พอเห็นว่าเขาไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงเธอก็เบาใจ เธอลังเลที่จะเดินจากไป อี้จื่อเซวียนที่อยู่ในห้องนึกอยากจะมองออกมาทางประตูกะทันหัน สายตาของทั้งคู่สบกันอย่างไม่ได้ตั้งใจ 

 

เธอผลักประตูเข้าไปอย่างเก้ๆ กังๆ เมื่อเห็นเขานิ่งค้างไป 

 

“ซูหว่านเหรอ” 

 

ฉินลู่มองหน้าเธอก่อนจะลอบเหลือบมองอี้จื่อเซวียนที่อยู่บนอีกเตียง “เธอมาเยี่ยมเราเหรอ” 

 

“อืม” 

 

ซูหว่านขานรับเสียงแผ่ว “นายสองคนไม่ได้บาดเจ็บรุนแรงใช่ไหม” 

 

“ไม่ได้รุนแรงอะไรหรอก” 

 

ฉินลู่ส่งยิ้มจากใจ “เราแค่บาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นแหละ ไม่ได้เป็นอุปสรรคอะไร แล้วเธอล่ะ” 

 

“ฉันเองก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัสเหมือนกัน แค่ปวดหัวจี๊ดขึ้นมาบางครั้งน่ะ” 

 

เธอลูบคลำหน้าผากตัวเองเบาๆ ขณะที่พูดมาถึงตรงนี้ “ฉันรู้สึกเหมือนลืมบางอย่างไปเลย แต่จำไม่ได้ว่าคืออะไร” 

 

ทุกครั้งที่เธอปวดหัวมันก็มักจะเจ็บและสับสนในใจ เมื่อความเจ็บปวดนั้นผ่านพ้นไปเธอก็จะครั่นเนื้อครั่นตัวไปทั้งร่าง รู้สึกอยู่ตลอดว่าบางอย่างที่สำคัญมากหายไปจากความทรงจำหากแต่นึกไม่ออกสักที 

 

“เป็นเพราะว่าเธอหัวกระแทกบางอย่างเข้าตอนที่เกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า เธอต้องไปตรวจดูจริงๆ นะ!” 

 

ฉินลู่มองเธอด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความเป็นห่วง และอดไม่ได้จะเอ่ยเตือนเธอ 

 

“เดี๋ยวฉันจะไปแล้วกัน” 

 

เธอพยักหน้ารับ ถามขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ราวกับนึกถึงบางอย่าง “ฉินลู่ ฉันได้ยินมาจากหัวหน้าพยาบาลว่ามีคนยังอยู่ห้องไอซียูที่ยังไม่ฟื้น ใครกันเหรอ” 

 

“เฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ไง”  

 

ท่าทีของฉินลู่ไม่สู้ดีนักพอพูดถึงเรื่องนี้ “ตอนนั้นทั้งสองคนนั่งอยู่ด้านหลังสุด จากที่หมอบอก มีหินหล่นลงมาจากบนเขากระแทกท้ายรถบัสเข้าน่ะ” 

 

เรื่องมันเป็นอย่างนี้นี่เอง! 

 

ซูหว่านครุ่นคิดย้อนไปถึงตำแหน่งการนั่งของทุกคน ฉีมู่นั่งอยู่ตำแหน่งคนขับด้านหน้าสุด ฟั่นซูจวินนั่งอยู่ที่นั่งผู้โดยสารด้านหน้า ตอนที่เธอเพิ่งขึ้นรถบัสมา ทั้งสองดูเหมือนกำลังถกกันเรื่องการเล่นเกมอยู่ ด้านหลังฉีมู่คือฟังเถียนเถียน เมิ่งถิงเหยาอยู่ขวามือของฟังเถียนเถียน คนที่นั่งอยู่แถวหลังคืออี้จื่อเซวียน ฉินลู่ และเฉินอวี้เฟิง ไป๋เสี่ยวเย่ว์ที่มักไม่สุงสิงกับใครนั่งคนเดียวอยู่แถวหลังสุด 

 

ในระหว่างที่พวกเขาเดินทาง ซูหว่านกับฟังเถียนเถียนกำลังฟังเพลง หลังจากนั้นฉีมู่ก็เป็นฝ่ายเริ่มหันมาคุยกับเธอ เธอเอาแต่คุยกับเขาจนไม่ได้หันมามองด้านหลังตัวเอง 

 

เฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์นั่งดัวยกันตอนที่เกิดอุบัติเหตุตามคำที่ฉินลู่บอก 

 

บางทีตอนนั้นเฉินอวี้เฟิงอาจย้ายไปด้านหลังเพราะมีบางอย่างคุยกับไป๋เสี่ยวเย่ว์หรือเปล่า 

 

หลังจากออกมาจากห้องคนไข้ของฉินลู่กับอี้จื่อเซวียน ซูหว่านถามไปทั่วอีกรอบจนเจอห้องคนไข้ของฟังเถียนเถียกับเมิ่งถิงเหยา เธอไปหาที่นั่นและเห็นว่าพวกเธอเองก็ไม่ได้บาดเจ็บสาหัส ฟังเถียนเถียนดูเหมือนอย่างเมื่อก่อน ทั้งเรียบร้อยและช่างพูด เมื่อได้ดึงซูหว่านเข้าร่วมวงสนทนาแล้วก็ไม่มีจุดสิ้นสุด เธอยังแอบถามอาการของฉินลู่อย่างคิดว่าตัวเองปิดบังมันได้มิด 

 

ว่ากันตามจริงแล้วเรื่องที่ฟังเถียนเถียนชอบฉินลู่ไม่ใช่ความลับแต่อย่างใด มีเพียงฟังเถียนเถียนที่คิดว่าเธอซ่อนไว้ได้แนบเนียนซะเหลือเกิน ฉินลู่เองก็ทึ่มมากเสียจนดูความคิดเธอไม่ออก 

 

ซูหว่านไปหาเมิ่งถิงเหยาเช่นกัน ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งสองตามปกติเป็นเพียงคนรู้จัก เมิ่งถิงเหยาไม่ได้เป็นคนพูดมาก เธอเหมือนเทพีที่วางตัวเองอยู่เหนือบัลลังก์อยู่เสมอ ซูหว่านรู้สึกว่าคนแบบนี้กับเธอไม่มีทางอยู่ในโลกเดียวกันได้ 

 

เช่นในตอนนี้ที่พวกเธอเข้ารักษาตัวอยู่ ทุกคนอยู่ในห้องคนไข้ทั่วไป ในขณะที่เมิ่งถิงเหยาอยู่ที่ห้องพิเศษบนชั้นห้าแม้ว่าเธอจะบาดเจ็บเพียงเล็กน้อย ยิ่งไปกว่านั้นยังมีพยาบาลพิเศษคอยดูแลเธอ 

 

ถึงอาจารย์จะพร่ำบอกว่าทุกคนเท่าเทียมกัน ซูหว่านก็ยังรู้สึกว่าคนเราถูกแบ่งเป็นชนชั้นและระดับที่แตกต่างกันไปตั้งแต่เกิด 

 

นี่ไม่ใช่สิ่งที่คุณเลือกได้ด้วยตัวเอง 

 

เหมือนอย่างเธอ อย่างอี้จื่อเซวียน อย่างเมิ่งถิงเหยา และคนอย่างเฉินอวี้เฟิง เฉินอวี้เฟิงคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิด ชีวิตของเขาอยู่เหนือขึ้นไปและไม่ต้องกังวลเรื่องเสื้อผ้าอาหาร ในขณะที่อี้จื่อเซวียนยากจนตั้งแต่อายุยังน้อย เขาไม่มีทางเลือกนอกจากพึ่งพาตนเอง ส่วนซูหว่านน่ะหรือ เธอเกิดมาในครอบครัวคนทำงานทั่วไป แม้ว่าเธอจะไม่ได้ยากเข็ญอย่างอี้จื่อเซวียน เธอก็ยังรู้ว่าพ่อแม่ของเธอทำงานหนักและมันไม่ง่ายสำหรับพวกท่าน 

 

ดังนั้นกว่าครึ่งปีก่อนตอนที่อี้จื่อเซวียนบอกว่าอยากจะพาเธอกลับไปหมู่บ้านเล็กๆ บนเขาหลังจากเรียนจบซูหว่านจึงบอกปัดไป 

 

เธอไม่ได้ต้องการลำบาก ยิ่งไปกว่านั้นเธอยังไม่ต้องการให้พ่อแม่ของเธอลำบากต่อไปด้วย 

 

พูดได้ว่าเธอเป็นพวกวัตถุนิยมและยังถือตัว เธอมักคิดอย่างมีเหตุผลอยู่เสมอว่าความรักไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต เธอหวังจะมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอไขว่คว้าสภาพแวดล้อมที่ดีขึ้นเพื่อตัวเองและครอบครัว มันผิดตรงไหนกันล่ะ 

 

ซูหว่านเหนื่อยล้าเหลือเกินเมื่อกลับไปห้องคนไข้ของตัวเอง เธอเค้นระลึกถึงทุกอย่างที่ผ่านพ้นไปในจังหวะที่หลับตาลง ก่อนถอนใจออกมาเบาๆ 

 

เธอออกจะหวั่นไหวไม่น้อย อะไรที่ผ่านไปแล้วก็ให้มันผ่านไป 

 

ลมหายใจของซูหว่านเข้าออกสม่ำเสมอก่อนจะตกอยู่ในห้วงนิทราอย่างไม่รู้ตัว 

 

ห้องคนไข้มืด ผ้าม่านสีฟ้าข้างหน้าต่างพลันปลิวสะบัดแรงอย่างไม่รู้สาเหตุ ราวกับมันถูกใครบางคนกระชากเปิด เห็นหน้าต่างใสสะอาดและแสงจันทร์ด้านนอกหน้าต่างพร้อมกับแรงดึงรุนแรงของผ้าม่าน 

 

ดวงจันทร์ส่องสว่างยามค่ำคืน ทว่ากลุ่มก้อนเงาดำมืดได้ปรากฏขึ้นที่หน้าต่างข้างเตียงของซูหว่าน กลุ่มก้อนเงาดำมืดนั้นบิดพลิ้วและค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลขอารบิกสีดำ ‘5’