ส่วนที่ 2 ฝันร้ายหมายเลขเก้า ตอนที่ 9 ฝันร้ายหมายเลขเก้า (9)

ภารกิจขโมยใจ ผจญภัยต่างโลก

ซูหว่านอยู่โรงพยาบาลเพียงแค่สามวัน ก่อนพ่อแม่ของเธอจะมารับออกจากโรงพยาบาล 

 

 

แผนวันหยุดเดิมในวันที่หนึ่งเดือนพฤษภาคมที่วางไว้อย่างดีล่มลงทั้งอย่างนั้น โชคดีที่ยังเหลืออีกสามวันให้พักผ่อนอยู่ที่บ้าน 

 

 

“เสี่ยวหว่าน แม่กับพ่อจะออกไปแล้วนะ ล็อกประตูหน้าต่างให้ดีๆ แล้วคืนนี้ก็เข้านอนแต่หัวค่ำด้วยล่ะ!” 

 

 

เสียงร้องเตือนของแม่เธอดังมาจากห้องนั่งเล่นตามมาด้วยเสียงประตูงับปิดลง 

 

 

สำหรับหลายคนวันที่หนึ่งพฤษภาคมเป็นวันหยุด หากแต่กับพ่อแม่ของซูหว่าน มันเป็นวันที่เหนื่อยขาดใจ พวกท่านง่วนกับงานกะกลางคืนที่เพิ่มขึ้นมา หัวหมุนไปกับการส่งสินค้าในโรงงาน 

 

 

ดังนั้นสำหรับคนใช้แรงงานที่แท้จริง พวกเขาจะมีเวลาว่างที่ไหนในวันแรงงานกันล่ะ 

 

 

ซูหว่านดูเป็นปกติ ประตูถูกลงกลอนเอาไว้ก่อนที่เธอจะเปลี่ยนเป็นชุดนอนและดูรายการบันเทิงอยู่ครู่หนึ่ง เวลาสามทุ่มตรงเธอถึงได้กลับไปนอนหลับในห้อง 

 

 

ห้องของซูจยามีขนาดเป็นครึ่งหนึ่งของบ้านปกติ คุณพ่อซูกับคุณนายซูได้อยู่ในห้องที่ใหญ่ที่สุดโดยปริยาย ห้องของซูหว่านเล็กมาก นอกจากเตียงเดี่ยวหลังหนึ่งก็มีตู้เสื้อผ้าขนาดหนึ่งจุดสองเมตรและโต๊ะเขียนหนังสือสารพัดประโยชน์สองชั้นตัวหนึ่ง 

 

 

ซูหว่านทิ้งตัวลงบนเตียงตามปกติและปิดไฟในห้อง ห้องนอนมืดมิดและซูหว่านค่อยๆ ผล็อยหลับไปท่ามกลางความมืดนี้ 

 

 

ฝนตกกระหน่ำ รถออดี้เคลื่อนตัวไปข้างหน้าบนเส้นทางบนเขาด้วยความเร็วสุดขีด 

 

 

“ฉีมู่ ขับรถระวังหน่อยได้ไหมเนี่ย!” 

 

 

“ฝนตกหนักมากเลยนะ เราหาที่จอดพักสักหน่อยดีไหม” 

 

 

ใครเป็นคนพูดในรถกัน หนวกหูจริง 

 

 

“จอดรถซะ! พวกเธอทั้งหมดอยากตายกันหรือยังไง” 

 

 

 เป็นเสียงของฉีมู่นั่นเอง ซูหว่านไม่รู้ว่าทำไมตนจึงนึกคุ้นเคยกับเสียงของเขาอย่างน่าประหลาด 

 

 

“ถนนบนเขานี้มีสิบแปดโค้ง วิสัยทัศน์การมองเห็นก็ไม่ค่อยดีเพราะฝนตกหนัก เธอจอดจะไม่เป็นการรอโดนชนกระเด็นเหรอ ต่อให้เราไม่เจอรถคันไหน ต่อให้ไม่มีรถคนอื่น ถ้ามีภูเขาและดินโคลนถล่มหรือบางอย่างเกิดขึ้นมาเราจะทำยังไงกันล่ะ” 

 

 

ฉีมู่ดูหัวเสียและเกรี้ยวกราดเล็กน้อย เขารู้ว่าตราบใดที่เฉินอวี้เฟิงออกจากบ้านไม่มีเรื่องดีเกิดขึ้นอย่างแน่นอน! 

 

 

เขาไม่น่ารับปากว่าจะมาและเป็นคนขับรถของไอ้ตัววุ่นวายนี้เลย! 

 

 

“ฉี ฉีมู่ ช่วยจริงจังกว่านี้หน่อยได้ไหม ดูทางสิ ดูทางหน่อย อ๊า!” 

 

 

เสียงจากฟั่นซูจวินซึ่งนั่งอยู่ที่ยั่งผู้โดยสารด้านหน้าดังขึ้นเบาๆ แฝงความตึงเครียดไว้ 

 

 

รถออดี้ไถลเข้ากับจุดที่ลื่นพร้อมๆ กับประโยคที่เขาว่าขึ้น มันกวัดแกว่งไปมา ซูหว่านรู้สึกเหมือนร่างของเธอสั่นคลอนอย่างแรงจนศรีษะกระแทกเข้ากับที่นั่งด้านหน้าเข้าอย่างจัง 

 

 

เจ็บจัง… 

 

 

ซูหว่านลูบหน้าผากที่เจ็บของตัวเองและเหลือบมองไปทางที่นั่งตรงหน้า ใบหน้าของฟั่นซูจวินถอดสีราวกับตกอยู่ในอาการหวาดหวั่น ด้านนอกหน้าต่างรถ สายฝนโหมกระหน่ำบดบังภาพที่ทุกคนเห็น 

 

 

นี่มัน… 

 

 

ซูหว่านถึงกับชะงักไป เธอไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ใดไปครู่หนึ่ง 

 

 

ความรู้สึกชวนฉงนนี้ทำให้เธอเริ่มปวดหัวตุ้บขึ้นมาอีกครั้ง 

 

 

“อย่ามาแตะฉันนะ ฉันไม่มีอะไรจะพูดกับนายทั้งนั้น!” 

 

 

เสียงแหลมของไป๋เสี่ยวเย่ว์พลันดังขึ้นจากด้านหลังรถในจังหวะนั้น 

 

 

“เฮ้ๆ อย่าพูดมั่วๆ สิ ฉันแตะตัวเธอก็เพราะเธอเองขอให้ฉันช่วยเธอไม่ใช่เหรอ เธอรังเกียจฉันมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงยังไงเราทุกคนก็เป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนี่นา!” 

 

 

มันคือเสียงของเฉินอวี้เฟิง 

 

 

ซูหว่านหันหน้าไปมองเฉินอวี้เฟิงกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ซึ่งนั่งอยู่ด้านหลังทุกคน ท่าทีของไป๋เสี่ยวเย่ว์ดูไม่ดีนัก ทว่าสีหน้าของเฉินอวี้เฟิงฉายแววอดทนเต็มทีคล้ายยังคงต้องการพูดบางอย่างกับไป๋เสี่ยวเย่ว์ 

 

 

“เพื่อนร่วมชั้นงั้นเหรอ” 

 

 

ไป๋เสี่ยวเย่ว์มองหน้าเขาอย่างดูแคลนเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาพูด เธอกำลังจะอ้าปากบอกบางอย่างขณะที่อี้จื่อเซวียนที่นั่งอยู่ด้านหน้าทั้งสองคนพลันตะโกนขึ้นมา “ฉีมู่! หยุดรถ! หยุดรถเดี๋ยวนี้!” 

 

 

เสียงของอี้จื่อเซวียนถูกส่งมาอย่างกะทันหันและดังลั่น ซูหว่านคิดว่าเธอเข้าใจอี้จื่อเซวียนดี เธอจึงสัมผัสได้ถึงความตื่นตระหนกของเขาในประโยคเดียวนั้น 

 

 

ใช่แล้ว เขาหวาดกลัว เขาอกสั่นขวัญแขวนสุดขีด 

 

 

เขากลัวอะไรอยู่กัน 

 

 

เสียงหยุดรถบาดหูดังขึ้น ส่วนท้ายรถสั่นไหวเล็กน้อยแต่ยังคงจอดเข้าข้างทางได้อย่างมั่นคง 

 

 

“ฉันบอกว่าพวกนายแต่ละคนกำลังทำอะไรอยู่ไง” 

 

 

ฉีมู่เอี้ยวตัวไปมองคนในรถ ใบหน้าปรากฏความไม่พอใจ 

 

 

ริ้วแสงทาบทับบนท้องฟ้าในชั่วขณะนั้น ซูหว่านรับรู้เพียงภาพขาวโพลนที่เห็น 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

เธอลืมตาตื่นขึ้นมาจากการหลับใหล สายตาพร่าเลือนของเธอเริ่มแจ่มชัด และค่อยๆ ฉายแววหวาดหวั่นอย่างไม่น่าเชื่ออีกครั้ง 

 

 

“ติ๋ง ติ๋ง” 

 

 

ซูหว่านเบิกตากว้างมองเพดานห้องไม่ไหวติง มีบางอย่างหยดลงมาเรื่อยๆ จากเพดาน 

 

 

หัวใจเธอบีบกระตุกในอก ร่างกายแข็งทื่อ สัมผัสของความประหวั่นพรั่นพรึงแล่นพล่านไปทั้งตัว 

 

 

มันคือ…อะไรกัน 

 

 

ท่ามกลางความมืด ดูเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่บนเพดาน บางอย่างที่ค่อยๆ มารวมกันและก่อตัวเป็นเลข 

 

 

 

 

“เลขห้าเหรอ” 

 

 

ซูหว่านอดจะเอ่ยออกมาไม่ได้ ตัวเลขบนเพดานนั้นพลันขยายตัวเป็นสิบเท่าเคล้าสุ้มเสียงของเธอและกินพื้นที่ไปทั้งแผ่นฝ้า เหมือนกับเป็นเพียงหินก้อนใหญ่ธรรมดาและตกลงมาหาซูหว่านในทันที 

 

 

“อ๊ะ!” 

 

 

เธอสิ้นสติไปเสี้ยววินาที เมื่อรู้สึกตัวอีกครั้งถึงได้เห็นเศษหินระเกะระกะและเลือดที่สาดกระจายไปทั่วพื้น 

 

 

ฝนยังคงตกหนักไม่หยุดหย่อน รถออดี้สีดำชนกับหินเข้าอย่างจังจนบิดเบี้ยวผิดรูปไม่เหลือเค้าเดิมไป แขนไม่กี่ข้างที่โบกไหวอย่างอ่อนแรงโผล่ให้เห็นจากช่องว่างระหว่างหินที่แตก ราวกับพวกเขากำลังเรียกหาความช่วยเหลือสุดท้าย 

 

 

เลือดเจือปนกับสายฝนอาบทั้งถนนเป็นสีเลือดหมู 

 

 

ซูหว่านรู้สึกหนาวเหน็บไปทั้งกาย แผ่นหลังเย็นยะเยือก 

 

 

อุบัติเหตุทางรถยนต์และรถหรู 

 

 

รถที่หัวหน้านางพยาบาลบอกว่ามีหลายคนตายคือคันนี้นี่เอง 

 

 

ใช่แล้ว พวกเขาไม่ได้เห็นภาพอุบัติเหตุทางรถยนต์ในเส้นทางบนเขาและไม่ได้ผ่านตาไปด้วย 

 

 

แท้จริงที่อุบัติเหตุครั้งใหญ่ซึ่งรถหรูชนเข้ากับหินคือรถของเฉินอวี้เฟิงที่พวกเขาใช้เดินทางต่างหาก 

 

 

พวกเขาเกี่ยวข้องกับอุบัติเหตุนั้น คนที่ตายก็ตายไป ส่วนคนที่หมดสติก็ยังไม่รู้สึกตัว 

 

 

ซูหว่านจำทุกอย่างได้ในฉับพลัน 

 

 

ตอนนี้พวกเขาอยู่ในโลกแห่งความฝัน 

 

 

ณ ที่แห่งนี้ คนที่ยังมีชีวิตอยู่ต้องตามหาคนที่เสียชีวิตไปแล้วจริงๆ ในอุบัติเหตุครั้งนั้นและฆ่าพวกเขาอีกครั้งเพื่อสิ้นสุดความฝัน ส่วนคนตายจะทำทุกอย่างสุดความสามารถที่จะเอาชีวิตคนเป็นเพื่อคว้าโอกาสในการอยู่รอด 

 

 

มันเป็นห้วงฝันร้ายที่ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีใครพร่ำบอกเรื่องศีลธรรม หากคุณต้องการมีชีวิตรอดคุณจะใจอ่อนไม่ได้ เมื่อใดที่คิดเห็นใจมันหมายความได้เพียงแค่คุณจะถูกคร่าชีวิตไป… 

 

 

“พรึ่บ” 

 

 

โคมไฟหัวเตียงถูกเปิดขึ้น ซูหว่านนั่งอยู่ข้างเตียงด้วยหน้าถอดสี มองนาฬิกาปลุกที่หัวเตียง เธอคุดคู้ตัวและกำมือแน่น 

 

 

เลขห้านั้นหมายความว่าอะไรกัน 

 

 

ห้าคนเป็นหรือว่าห้าคนตายกัน 

 

 

ความห่อเ**่ยวและสยองขวัญที่ซูหว่านไม่เคยพานพบมาก่อนโอบล้อมรอบเธอ เธอคลายหมัดลง แขนทั้งสองข้างกอดเข่าตัวเองไว้แน่น 

 

 

“ก๊อกๆๆ! ก๊อกๆๆ!” 

 

 

เสียงเคาะประตูถี่ลั่นจากด้านนอกบ้านของเธอพลันดังขึ้นในจังหวะนั้น 

 

 

เธอหมายจะหดตัวเข้าไปใต้ผ้านวมอย่างลืมตัวราวกับขวัญเสีย หากแต่เสียงเคาะประตูกลับยิ่งรัวแรงมากขึ้น 

 

 

ใครกัน 

 

 

เข็มนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนครึ่ง 

 

 

เสียงเคาะประตูตอนเที่ยงคืน คิดอย่างไรก็แปลกประหลาด 

 

 

“ซูหว่าน เปิดประตูสิ!” 

 

 

ในที่สุดคนที่เคาะประตูก็ตะโกนใส่ประตูกันขโมยแน่นหนาคล้ายรอไม่ไหวอีกต่อไป 

 

 

เสียงนี้มัน… 

 

 

จะเป็นเขาไปได้อย่างไร