หวาซีเห็นว่าทะลวงฝ่าวงล้อมเขตป้องกันของจินเฟยเหยาไม่ได้เสียทีจึงร้อนใจอยู่บ้าง เวลานี้จะมีข้อผิดพลาดใดๆ ไม่ได้ บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องเหล่านั้นอยู่ไม่ไกลนัก อาจจะมาถึงเมื่อไหร่ก็ได้ อีกทั้งสิ่งที่เขาเป็นกังวลในตอนนี้คือยันต์ยาในมือจินเฟยเหยา เนื่องจากถูกกั้นด้วยลมหมุนเขาจึงไม่เห็นว่าอีกนานเพียงใดยันต์ยาจึงจะทำงาน จึงอดกระตุ้นราชาสุนัขป่าให้เร่งโจมตีไม่ได้
เวลานี้จินเฟยเหยาที่อยู่ในลมหมุนศีรษะพองโตดุจโต่ว[1] ถึงแม้จะคิดเตรียมพร้อมไว้นานแล้ว ทว่าปริมาณพลังวิญญาณที่จำเป็นต้องใช้ในการขับเคลื่อนยันต์ยาทำให้นางตื่นตระหนก
พลังวิญญาณหลั่งไหลเข้าไปในยันต์ยาอย่างรวดเร็วดุจสายน้ำไหล แทบจะรู้สึกได้ว่าพลังกำลังหายไปอย่างรวดเร็ว ใช้พลังการบำเพ็ญเพียรขั้นฝึกปราณช่วงกลางมาขับเคลื่อนยันต์ยาอันตรายจริงๆ พลังวิญญาณหายไปอย่างรวดเร็ว ผ้าไหมที่พึ่งพาพลังวิญญาณเริ่มมีการตอบสนองเชื่องช้าลง หลังจากเกล็ดหิมะนรกเผาหนามแหลม ปริมาณพลังที่มาเสริมเริ่มลดลง
โชคดีที่การป้องกันของกำไลมังกรทองสมปรารถนาไม่ต้องใช้พลังเข้าเสริม ไม่เช่นนั้นนางก็ไม่รู้ว่า ตนเองจะมีชีวิตอยู่ขับเคลื่อนยันต์ยาได้หรือไม่
“ฉึก”
หนามแหลมสองอันยิงทะลุผ่านการป้องกันเข้ามา อันหนึ่งปักบนพื้น อีกอันหนึ่งทะลุผิวหนังของนาง ถึงแม้ม่านป้องกันจะอุดรูโหว่แล้ว ทว่าพลังป้องกันกลับลดฮวบลง หนามแหลมแต่ละอันทะลุม่านป้องกันเข้ามา ได้
“เร็วหน่อย เร็วหน่อย” จินเฟยเหยาสีหน้าซีดขาว จับจ้องยันต์ยาที่เปล่งแสงสีทองแสบตาในมือ ร้อนใจแทบตาย ทันใดนั้นสีหน้านางก็เปลี่ยนไป โยนยันต์ยาในมือทิ้งอย่างไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น
หวาซีเพิ่งหยิบยาพิษขวดหนึ่งออกมาจากในกระเป๋าเก็บของ คิดจะผสมในหนามแหลมไปทิ่มแทงจินเฟยเหยา ก็เห็นแสงสีทองทะลุผ่านในลมหมุนออกมา ได้ยินเพียงเสียงดังสนั่นระเบิดออกมาจากในลมหมุน คาถาป้องกันถูกคลื่นการโจมตีจู่โจมจนแตกละเอียด อานุภาพอันรุนแรงของระเบิดทำให้ภูเขาซวงถ่าทั้งลูกสั่นสะเทือน สัตว์ปิศาจตกใจจนวิ่งหนีไปทั่ว
แสงสว่างหลายสายพุ่งขึ้นในหุบเขาที่เกิดระเบิดอย่างรวดเร็ว ศิษย์พี่ศิษย์น้องที่เหลือของสำนักชิงโซ่วตกใจเพราะเหตุระเบิด เห็นหุบเขาถูกระเบิดเป็นหลุมใหญ่ขนาดร้อยจั้ง รอบด้านล้วนเป็นเศษหินและกำแพงระเกะระกะ
“ศิษย์พี่ ท่านรีบดูเร็ว ตรงนั้นมีสัตว์ปิศาจประหลาด” ผู้ที่รีบมาคนแรกสุดคือศิษย์น้องอู๋และศิษย์พี่เซียวที่ถูกทิ้งไว้คนเดียว หลังจากทั้งสองคนมาถึง ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น ส่วนศิษย์น้องอู๋สายตาดีพบสัตว์ปิศาจตัวใหญ่ถูกเศษหินฝังไว้ครึ่งตัว
“พวกเราไปดูกัน ระวังหน่อย” ศิษย์พี่เซียวเดินไปข้างหน้า บดบังศิษย์น้องอู่ที่มีพลังบำเพ็ญเพียรต่ำกว่าเขาไว้ข้างหลัง เดินเข้าไปอย่างช้าๆ
ทั้งสองคนเดินเข้าไปใกล้สัตว์ปิศาจอย่างระมัดระวัง หลังจากศิษย์พี่เซียวเห็นรูปร่างของสัตว์ปิศาจตัวนั้นชัดเจน ก็อดร้องอุทานอย่างตระหนกไม่ได้ว่า “สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ คิดไม่ถึงว่าจะเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ เป็นผู้ใดกันจึงกล้าเลี้ยงสัตว์ปิศาจที่ฝืนลิขิตฟ้าชนิดนี้”
“สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ…ศิษย์พี่ เจ้านั่นกินคนไม่ใช่หรือ ตอนนี้จะทำอย่างไรดี” พอได้ยินว่าเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ศิษย์น้องอู๋ก็หวาดกลัวจนเริ่มพูดติดอ่าง
“เจ้าเฝ้ารอบด้านให้ดี ข้าจะไปตรวจสอบ ดูว่ามันยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้าเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหยิน มันกินแต่สตรี พวกเราจับกลับไปเป็นๆ ได้” ศิษย์พี่เซียวนำตาข่ายสีขาวอ่อนนุ่มออกมาปากหนึ่ง เตรียมจับเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ สตรีบนร่างสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณถูกขนยาวและเศษหินบดบังไว้ เขาแยกแยะไม่ได้ว่าเป็นวิญญาณหยินหรือวิญญาณหยาง
“ศิษย์พี่ ถ้าเป็นวิญญาณหยางจะทำอย่างไร?” ดูเหมือนศิษย์น้องอู๋จะหวาดกลัวอย่างยิ่ง ฉุดดึงชายเสื้อของศิษย์พี่เซียวเอาไว้
“ถึงตอนนั้นเจ้าก็หนีไปก่อน” ศิษย์พี่เซียวเอ่ยตอบอย่างอารมณ์เสีย
ทิ้งให้ศิษย์น้องอู๋เฝ้ารอบด้าน ศิษย์พี่เซียวค่อยๆ เข้าไปหาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอย่างช้าๆ ขณะจะโยนตาข่ายขังสัตว์ออกไป ก็ได้ยินเสียงเศษหินร่วงดังมา มีคนออกมาจากใต้เศษหิน
“ดียิ่งนัก ศิษย์พี่เซียวท่านมาแล้ว” คนที่ลุกขึ้นนั่งคือหวาซี เขาเห็นศิษย์ในสำนักเร่งรุดมา ก็ตะโกนเสียงดังใส่ศิษย์พี่เซียวด้วยความยินดี มือแอบร่ายเวทในเศษหิน
“เบาเสียงหน่อย…” ศิษย์พี่เซียวตะคอกเสียงเบาอย่างร้อนใจ ยังไม่ทันขาดคำ ก็เห็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณเบื้องหน้ายืนขึ้นอย่างกะทันหัน มันไม่สนใจอาการบาดเจ็บและเศษหินบนร่าง คำรามเสียงดังใส่ศิษย์พี่เซียว สิ่งของกลมๆ อันหนึ่งก็ร่วงตกลงมา
สิ่งของทรงกลมกลิ้งมาจนถึงข้างเท้าศิษย์พี่เซียว หลังจากหยุดลง ดวงตาโตที่เปื้อนโลหิตด้านบนก็จ้องมองเขาอย่างว่างเปล่า
“นี่คือ…ศิษย์น้องอี่ซาน!” พอศิษย์พี่เซียวมองเห็นได้ชัดเจนก็ตกใจจนหน้าซีด สิ่งที่กลิ้งมาถึงข้างเท้าของเขาคือศีรษะครึ่งหนึ่งของศิษย์น้องอี่ซานที่ถูกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกินเหลือ
ในเวลานี้เอง สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณพลันกระโดดขึ้น ตลอดร่างกลายเป็นไอสีดำก้อนหนึ่งหลบหนีไป พอดีพบกับศิษย์สำนักชิงโซ่วหลายคนที่เร่งรุดมาพร้อมกัน พวกเขายังไม่ทันเรียกสัตว์ภูติและอาวุธเวทออกมา ก็ถูกไอสีดำของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณรมสลบร่วงลงบนพื้น ส่วนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหนีหายเข้าไปในป่า
ศิษย์พี่เซียวคิดจะไล่ติดตาม ทว่าสายเกินไป สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหนีหายไปจนไร้ร่องรอยนานแล้ว เขาได้แต่หันหน้ามา เอ่ยถามหวาซีเสียงเครียดด้วยสีหน้าไม่น่าดู “ศิษย์น้องหวา นี่มันเรื่องอะไรกัน?”
สีหน้าของหวาซียิ่งไม่น่าดู ถึงแม้จะรู้ว่าสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตื่นขึ้นเพราะเวทมนตร์ของเขา คนปกติก็ไม่กล้าไปจับมัน ดังนั้นต้องสามารถหนีรอดไปได้แน่นอน ส่วนตนเองก็สามารถตามมันกลับมาได้อย่างสบายๆ ทว่าตอนนี้จะอธิบายสถานการณ์นี้ว่าอย่างไรดี ไม่รู้ว่าจินเฟยเหยายังมีชีวิตอยู่หรือไม่ ถ้านางยังมีชีวิตอยู่แล้วพูดเรื่องจริงออกไปจะทำอย่างไร
เขาวางแผนอยู่ในสำนักชิงโซ่วมานานหลายปี ไม่อาจถูกทำลายลงภายในวันเดียวเพราะเหตุไม่คาดฝัน เขาหน้าเขียวคล้ำ ครุ่นคิดว่าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร
เห็นศีรษะที่ถูกกัดจนเหลือครึ่งเดียวของอี่ซาน ศิษย์พี่เซียวก็ไม่รู้จะกลับไปอธิบายกับเจ้าสำนักว่าอย่างไร ถึงแม้เจ้าสำนักจะมีบุตรธิดาสามสิบกว่าคน คุณสมบัติของอี่ซานไม่ถือว่าโดดเด่น ปกติก็มิใช่บุตรที่ได้รับความโปรดปรานที่สุด ทว่าอย่างไรก็เป็นบุตรของเจ้าสำนัก โชคดีที่มารดาของนางเป็นเพียงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นฝึกปราณ ขอเพียงคลี่คลายด้านเจ้าสำนักได้ก็พอ
ในขณะที่กำลังรอคอยให้หวาซีอธิบาย ศิษย์ที่เหลือก็เร่งรุดมาทำให้ศิษย์ที่สลบไปเพราะได้รับไอสีดำของ สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณฟื้นตื่น เพียงแค่ถูกไอหยินรุกรานเข้าสู่ร่างต้องกลับไปพักรักษาตัวไม่กี่วัน ใช้พลังวิญญาณขับไล่ไอหยินออกมานอกร่างก็พอ
ทุกคนห้อมล้อมศีรษะครึ่งเดียวของอี่ซาน หลังจากมองหน้ากันสายตาของทุกคนก็หันไปมองร่างของหวาซีที่มีบาดแผลกระเซอะกระเซิง
หวาซีคลายมือที่กำแน่น ขณะจะเอ่ยปาก ก็เห็นจินเฟยเหยามุดออกมาจากกองเศษหินในหลุมใหญ่ ใจของเขาเด้งขึ้นมาถึงลำคอ มือที่คลายออกกำแนบแน่น
จินเฟยเหยามุดออกมาจากกองเศษหินก็นอนนิ่งไม่ขยับเขยื้อนอยู่บนเศษหิน ทั่วร่างเจ็บปวดอย่างยิ่ง กระดูกหักอย่างน้อยห้าหกท่อน นางใช้หางตาเหลือบมอง พบว่ายันต์ยาระเบิดออกเป็นหลุมขนาดยักษ์ รอบด้านมองไม่เห็นสภาพเดิมนานแล้ว ศิษย์สำนักชิงโซ่วพร้อมใจกันยืนขึ้น ยามนี้ทุกคนมองนาง และนางยังเห็นหวาซียืนอยู่ไม่ไกลนัก
“เจ้าหมอนี่โชคดีจริงๆ ที่ยังสามารถยืนได้” จินเฟยเหยาอดสาปแช่งในใจไม่ได้ ถ้าไม่ใช่เพราะเจ้าหมอนี่ ตอนนี้นางไหนเลยจะกลายเป็นแบบนี้
แต่ว่านางตัดสินใจแล้ว ต่อไปพบเจอสิ่งที่มีความเป็นมาไม่ชัดแจ้ง จะต้องขาย พันคาดหมื่นคำนวณก็คาดไม่ถึงว่ายันต์ยานี้จะเป็นเวทมนตร์ระเบิดตนเอง มิน่าเล่าเจ้าของร้านยันต์มองดูอยู่นานก็บอกไม่ได้ว่ามีเวทมนตร์อะไร เจ้าสารเลวที่ไร้คุณธรรมคนใด เป็นถึงผู้บำเพ็ญเซียนขั้นหลอมรวมยังทำเรื่องบ้าๆ เช่นนี้ออกมาได้ อยู่ว่างๆ กลับทำยันต์ระเบิด บ้าหรือเปล่า
“สหายเซียนจิน เมื่อครู่เกิดเรื่องอะไรขึ้น เหตุใดอี่ซานจึงกลายเป็นเช่นนี้” คิดไม่ถึงว่าจินเฟยเหยายังมีชีวิตอยู่ ไม่ถูกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกิน ศิษย์พี่เซียวเริ่มสงสัยว่านางเลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ
จินเฟยเหยามองหวาซีที่มีสายตาคมกริบดุจมีดและยืนอยู่ด้านหลังศิษย์พี่เซียว นางเอ่ยด้วยสีหน้าตื่นตระหนก “ข้ากับสหายเซียนอี่ซานมาเฝ้าระวังบริเวณใกล้ๆ นี้ พบว่าที่นี่มีเสียงร้องของสัตว์ปิศาจดังมา สหายเซียนอี่ซานยืนกรานจะเข้าไปดู ข้าห้ามนางแล้ว แต่นางบอกว่าตนเองเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านฝึกสัตว์ จะกลัวอะไร รอจนพวกเราเข้ามา จึงพบสัตว์ปิศาจหน้าตาประหลาด สหายเซียนอี่ซานหันหน้าวิ่งหนี ไม่รู้ว่าเป็นเพื่อปกป้องข้าหรือไม่ นางจึงได้วิ่งดึงดูดความสนใจของสัตว์ปิศาจไป”
เห็นสายตาดุจคมมีดของหวาซีจางลง จินเฟยเหยาก็แสร้งเอ่ยต่ออย่างหวาดกลัว “สัตว์ปิศาจตัวนั้นกัดสหายเซียนอี่ซานในคำเดียว ส่วนสหายเซียนหวาซีปรากฏตัวขึ้นพอดี ปล่อยราชาสุนัขป่ายักษ์ออกมา คิดจะช่วยสหายเซียนอี่ซาน ทว่ากลับสู้สัตว์ปิศาจตัวนั้นไม่ได้ บังเอิญข้ามียันต์ยาใบหนึ่ง ได้แต่ให้สหายเซียนหวาขัดขวางสัตว์ปิศาจไว้ ส่วนข้าหาวิธีขับเคลื่อนยันต์ยา ยันต์ยาทำงานแล้ว ทว่าข้าก็ถูกระเบิดจนสลบไป พอฟื้นขึ้นมาก็เห็นพวกท่านยืนอยู่ที่นี่”
“ใช่ ศิษย์พี่เซียว ข้ากับท่านแยกกันล่อสิงโตวารีหยกไป พอมาที่นี่ ก็เห็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณกัดศิษย์น้องอี่ซานพอดี ราชาสุนัขป่ายักษ์ของข้าสู้มันไม่ได้ จึงได้แต่ถ่วงเวลา สุดท้ายข้าก็ถูกยันต์ยาของสหายเซียนจินระเบิดจนสลบไป” หวาซีเองก็ออกมา ยืนยันว่าสิ่งที่จินเฟยเหยาพูดเป็นความจริง
เขาไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดจินเฟยเหยาจึงช่วยเขาโกหก ทว่านี่เป็นเรื่องดีต่อเขา เขาย่อมต้องยืนอยู่ฝั่งนาง
เพื่อให้สมจริง เขาจึงลากร่างที่บาดเจ็บ คิดจะไปค้นหาราชาสุนัขป่าของตนเองในเศษหิน บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องรีบพยุงเขา ศิษย์น้องอู๋ขันอาสาไปค้นหาบนพื้น ค้นพบราชาสุนัขป่าที่เหลือเพียงลมหายใจสุดท้ายใต้กองเศษหินจริงๆ
ศิษย์น้องอู๋นำยารักษาบาดแผลสัตว์ภูติโดยเฉพาะของสำนักออกมาป้อนราชาสุนัขป่ายักษ์ และช่วยหวาซีเก็บราชาสุนัขป่ายักษ์กลับเข้ากระเป๋าสัตว์ภูติ
“ศิษย์พี่เซียว สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนี้น่าจะมีคนเลี้ยง แล้วถูกพวกเราบังเอิญพบเข้า นี่เป็นสัตว์ปิศาจที่ฝืนลิขิตฟ้าและมีอันตรายอย่างยิ่ง อีกทั้งศิษย์น้องอี่ซานก็เกิดเรื่อง พวกเราต้องรายงานเจ้าสำนัก ในสำนักมีของวิเศษชิ้นหนึ่ง สามารถตรวจสอบว่าผู้ใดมีสัตว์ร้ายที่กินเนื้อและวิญญาณของคน และสามารถตรวจสอบได้ว่าผู้ใดเลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ให้พวกอาจารย์อานำออกมาตรวจสอบดีกว่า สามารถขจัดความสงสัยของทุกคนได้ จะได้ไม่เข้าใจผิดสหายเซียนจิน” เห็นศิษย์พี่เซียวท่าทางเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หวาซีรีบเสนอแนะ
จินเฟยเหยามองเขาอย่างสงสัย เขาเลี้ยงสัตว์ปิศาจตัวนั้นไว้ชัดๆ ยังแนะนำวิธีนี้ หรือว่าเขามีวิธีหลีกเลี่ยงการตรวจสอบ นางไม่ได้สัมผัสสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ เพียงแค่ไม่วางใจ ได้แต่ลากสังขารที่บาดเจ็บเอ่ยว่า “พวกเราเคยสู้กับมัน คงไม่เปื้อนกลิ่นสัตว์แล้วบอกว่าข้าเป็นคนเลี้ยงหรอกนะ”
“ไม่หรอก สหายเซียนจินโปรดวางใจ ถ้าอาศัยเพียงข้อนี้มาตัดสินว่าใครเป็นผู้เลี้ยง จะต้องใช้ของวิเศษไปทำไม อย่างไรเสียครั้งนี้บุตรสาวของเจ้าสำนักเสียชีวิตที่นี่ และเจ้ากับนางอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเชิญสหายเซียนจินไปสักครา บอกเล่าเรื่องราวให้กระจ่างแจ้งก็พอ สำนักชิงโซ่วของเรามีชื่อเสียงดีงามตลอดมา สหายเซียนจินไม่ต้องกังวล มา พวกเจ้าทำแคร่หามมายกสหายเซียนจินกลับสำนักชิงโซ่ว” ศิษย์พี่เซียวครุ่นคิดว่าได้แต่ทำเช่นนี้ พาคนกลับไปมอบให้เจ้าสำนักตรวจสอบ
ยามนี้จินเฟยเหยาบาดเจ็บหนัก คิดจะไม่ตกลงก็เป็นไปไม่ได้ ได้แต่พยักหน้าตอบรับอย่างใจกว้าง หวาซียังไม่กลัว แล้วนางจะกลัวอะไร อย่างไรนางก็เป็นคนของสำนักเฉวียนเซียน อาศัยว่าสำนักเฉวียนเซียนคือหนึ่งในตำหนักลั่วเซียน ขอเพียงไม่เกี่ยวข้องกับนาง สำนักชิงโซ่วน่าจะไม่ทำให้นางลำบาก
[1] โต่ว เป็นถังสำหรับวัดปริมาณ มีค่าประมาณ 10 ลิตร