ทุกคนใช้กิ่งไม้ทำแคร่หามอย่างง่ายๆ คันหนึ่ง ยกจินเฟยเหยาขึ้นไป เกรงว่านางจะขาดใจกลางทาง จึงให้นางกินยางอกเนื้อระดับสองหนึ่งเม็ด แล้วรีบหามไปสำนักชิงโซ่ว
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความสงสัย ตลอดทางหวาซีไม่ได้ติดต่อกับจินเฟยเหยาเป็นพิเศษ ขณะเร่งเดินทางก็อยู่ห่างจากนาง จินเฟยเหยาก็ไม่กังวล อาศัยเรื่องที่ตนเองอธิบายเมื่อครู่ หวาซีน่าจะจัดการได้ ถ้ามีอะไรไม่เหมือนกัน ก็บอกว่าตอนนั้นสถานการณ์สับสน บวกกับตนเองหวาดกลัวจึงจำได้ไม่ชัดเจน
นอนอยู่บนแคร่หามอย่างสบายอกสบายใจ ใช้วงเวทส่งตัวกลับมาถึงเมืองลั่วเซียนก่อน จากนั้นส่งตัวไปนอกสำนักชิงโซ่ว นางก็มาถึงสำนักชิงโซ่วราวกับเหินบิน
สำนักชิงโซ่วตั้งอยู่บนภูเขาเซียนซู่ทางตะวันออกของเมืองลั่วเซียน ภูเขาทั้งหมดมีสามสิบสองยอดเขา แต่ละยอดเขาล้วนถูกตำหนักลั่วเซียนเช่า แต่ละยอดเขามีหนึ่งสำนัก ทั้งสามสิบสองสำนักตั้งอยู่บนภูเขาลูกเดียวกัน
ส่วนสำนักชิงโซ่วอยู่ในยอดเขาฉู่ถาน จากวงเวทส่งตัวที่เชิงเขามาถึงยอดเขาฉู่ถานที่สำนักชิงโซ่วตั้งอยู่ คิดไม่ถึงว่าต้องเดินสองชั่วยามกว่าเต็มๆ เดิมทีเพื่อเร่งความเร็วจินเฟยเหยาจึงถูกพยุงลงจากแคร่หาม นั่งเบียดอยู่กับศิษย์คนหนึ่งบนสัตว์พาหนะ โคลงเคลงจนกระดูกที่หักของนางแทบจะเคลื่อน
ภายใต้การร้องคำรามด้วยโทสะของนาง ทุกคนได้แต่ล้มเลิกการใช้สัตว์ภูติพานางกลับไป ทว่าสัตว์ภูติบินได้ก็บรรทุกคนสองคนไม่ไหว หากไม่มีเจ้านายควบคุมสัตว์ภูติไม่โยนนางลงมาจากกลางอากาศก็แปลกแล้ว
สุดท้ายได้แต่ให้ศิษย์สองคนขี่สัตว์ภูติจากนั้นให้แต่ละคนยกแคร่หามคนละข้าง หามนางไปยอดเขาฉู่ถานอย่างช้าๆ พอถึงยอดเขาฉู่ถานก็เป็นเวลาย่ำค่ำแล้ว
ยอดเขาฉู่ถานในยามสายัณห์งดงามอย่างยิ่ง กลางยอดเขามีทะเลสาบขนาดใหญ่ ยามนี้มีศิษย์สตรีของสำนักชิงโซ่วมากมายพาสัตว์ภูติของตนมาเล่นอย่างสนุกสนานข้างทะเลสาบ ส่วนอีกด้านของทะเลสาบคือยอดเขา มีน้ำตกอันสูงใหญ่พุ่งลงมาจากยอดเขาตกลงในทะเลสาบ
ด้านบนของน้ำตกมีตำหนักอันโอฬารหลังหนึ่งตั้งอยู่ มีระเบียงไม้กว้างขวางและใหญ่โตยื่นออกมาเหนือน้ำตก มีผู้บำเพ็ญเซียนบุรุษจำนวนไม่น้อยกำลังนอนอยู่ริมรั้วไม้ มองร่างผู้บำเพ็ญเซียนสตรีที่อยู่ในทะเลสาบเบื้องล่างอย่างต่อเนื่อง
เดินมาถึงหน้าบันไดที่อยู่ด้านข้างทะเลสาบอย่างเร่งร้อน ก็มีศิษย์เฝ้าประตูเข้ามารับ “ศิษย์พี่เซียว นี่มันเรื่องอะไรกัน พวกท่านออกไปจับสัตว์ปิศาจมิใช่หรือ เหตุใดจึงหามคนผู้หนึ่งกลับมา?”
“รีบไปรายงานท่านเจ้าสำนัก ข้ามีเรื่องด่วนมากอยากจะขอพบท่านเจ้าสำนัก” ศิษย์พี่เซียวไม่ทันตอบเขา เพียงแต่กระตุ้นให้เขาไปรายงานล่วงหน้า
ศิษย์เฝ้าประตูผู้นี้เห็นศิษย์พี่เซียวดูเหมือนมีเรื่องด่วนจริงๆ ทั้งยังหามคนบาดเจ็บหนักมาคนหนึ่งก็รีบวิ่งเข้าไปรายงานด้านใน ทุกคนหามจินเฟยเหยาวิ่งตามเข้าไปด้านในอย่างเร่งรีบ
มีศิษย์จำนวนมากเห็นท่าทางลนลานของพวกเขา ก็ไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น จึงเริ่มซุบซิบกัน
จินเฟยเหยาไม่ได้นอนอยู่บนแคร่อย่างสบายอกสบายใจมากนัก ค้นหาอยู่นานก็ไม่พบมังกรเกล็ดเขียวสัตว์เทพของสำนัก นางยังนึกว่ามังกรเกล็ดเขียวน่าจะอาศัยอยู่ในน้ำ ดังนั้นคงจะอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ ไหนเลยจะรู้ว่าพบเห็นสัตว์ภูตินานาชนิดมากมาย กลับไม่พบร่างของมังกรเกล็ดเขียว
ข้างบันไดศิลากลับมีสัตว์สะท้านฟ้าขั้นหกสูงสิบกว่าจั้งกินจนตัวพ่วงพีกำลังปิดตางีบหลับ ตอนพวกเขาผ่านข้างตัวของมันไป แม้แต่หนังตามันยังไม่ลืมขึ้นมา
ไม่เห็นมังกรเกล็ดเขียว แต่ได้เห็นสัตว์สะท้านฟ้าก็ไม่เลว เห็นขนสีเหลืองเปล่งประกายสีทองระยิบระยับ จินเฟยเหยาก็นึกถึงเรื่องเล่าขานต่อๆ กันมา บอกว่าขนสีทองของสัตว์สะท้านฟ้าขอเพียงดึงออกมาก็จะสามารถเปลี่ยนเป็นทองคำได้ เห็นสัตว์สะท้านฟ้าตัวเท่าภูเขาลูกย่อมๆ นางก็แอบทอดถอนใจ ถ้าเป็นความจริง ฮ่องเต้ในโลกนี้ทั้งหมดก็เป็นยาจกแล้ว หากเลี้ยงสัตว์สะท้านฟ้าตัวหนึ่ง อยากได้ทองคำเท่าใดก็มีให้เท่านั้น เพียงแต่น่าเสียดายที่ไม่มีสัตว์ปิศาจที่สามารถงอกศิลาวิญญาณบนร่างได้ น่าเสียใจจริงๆ
ภายใต้การจ้องมองด้วยความสงสัยของทุกคน จินเฟยเหยาถูกยกมายังประตูตำหนักที่อยู่ด้านบนของน้ำตก รอเจ้าสำนักเรียกพบ มีศิษย์บางคนที่คุ้นเคยกับพวกเขาเดินเข้ามาพูดคุยด้วย หลังจากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของแต่ละคนล้วนเปลี่ยนไป
“ศิษย์น้องเซียว เจ้าสำนักบอกให้พวกเจ้าเข้าไปได้” รออยู่นาน ในที่สุดก็มีศิษย์คนหนึ่งเดินออกมาจากในตำหนักใหญ่ บอกให้พวกเขาเข้าไปได้
จินเฟยเหยาคิดอย่างชั่วร้ายว่า เจ้าหมอนี่วางอำนาจสูงส่งจนพอใจแล้วจึงได้เรียกพวกเขาเข้าพบ อีกสักครู่ถ้ารู้ว่าบุตรสาวของตนเองถูกสัตว์ปิศาจกินจนศีรษะเหลือเพียงครึ่งเดียว ไม่รู้ว่าจะมีสีหน้าอย่างไร
พอได้รับคำสั่ง ทุกคนก็หามจินเฟยเหยาเข้าไปในตำหนักใหญ่
ภายในตำหนักกว้างขวางผิดปกติ ปูด้วยแผ่นไม้แข็งแกร่ง เสาทาสีแดงหยาบหนาหลายสิบเสาตั้งอยู่ในตำหนักค้ำหลังคาสูง ด้านในสุดมีกำแพงรูปมังกรขนาดยักษ์ที่สลักด้วยไม้วิญญาณ มังกรยักษ์ด้านบนเหมือนจริงราวกับมีชีวิต อลังการอย่างยิ่ง ส่วนด้านล่างกำแพงรูปมังกรคือเตียงที่สลักร้อยสรรพสัตว์หลังหนึ่ง ปูด้วยเบาะสีสันสดใส ไม่ว่าเป็นกำแพงมังกร เตียงร้อยสรรพสัตว์ หรือเบาะอันงดงาม ทั้งหมดล้วนเต็มไปด้วยพลังวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าทำจากวัสดุชั้นยอด
คนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียงร้อยสรรพสัตว์ ดูไปแล้วมีอายุเพียงสี่สิบกว่าปี เรือนร่างสูงใหญ่ ใบหน้าไว้หนวดเครา สวมชุดหรูหราปักลายมังกรเขียว แม้ไม่มีโทสะก็ยังน่าเกรงขาม เห็นได้ชัดว่าเผด็จการอย่างยิ่ง ข้างเตียงมังกรเขียวยังมีศิษย์ผู้สืบทอดสี่คน ยืนอยู่สองฟากอย่างสง่างาม
“ศิษย์เซียวซ่า น้อมพบท่านเจ้าสำนัก” เซียวซ่าพาศิษย์ทุกคนคารวะเจ้าสำนัก จากนั้นก็ก้มหน้ารอให้เจ้าสำนักเอ่ยถาม
“พวกเจ้าเกิดเรื่องเหตุใดไม่ไปหาอาจารย์ของพวกเจ้า ทำไมต้องแล่นมาหาข้าที่นี่ รู้กฎระเบียบหรือไม่” พอเขาเอ่ยปาก จินเฟยเหยาก็รู้สึกผิดหวังอย่างยิ่ง สำนักเล็กๆ ก็คือสำนักเล็กๆ อยู่ดี เวลานี้สมควรให้ศิษย์ผู้สืบทอดทางด้านข้างออกมาพูดมิใช่หรือ จึงจะมีศักดิ์ฐานะ
“ท่านเจ้าสำนัก เรื่องในครั้งนี้มีความสำคัญใหญ่หลวง พวกเราไม่ทันขอคำแนะนำจากอาจารย์ ได้แต่มาหาท่านโดยตรง” เซียวซ่าคุกเข่าลง บรรดาศิษย์พี่ศิษย์น้องทางด้านหลังก็คุกเข่าลงพร้อมกัน ทำให้เจ้าสำนักมองอย่างตกตะลึง
“เรื่องอะไรกันแน่ ว่ามา” น้ำเสียงของเขาห้าวลึก ยังมีมาดอยู่บ้าง
“ท่านอาจารย์ ศิษย์น้องอี่ซานเกิดเรื่องแล้ว”
“อี่ซาน? ยายหนูนั่นทำอะไรอีกล่ะ?” เจ้าสำนักไม่พอใจอยู่บ้าง สำหรับผู้บำเพ็ญเซียนที่มีบุตรธิดาสามสิบกว่าคน บุตรคนโตสุดอายุเกือบสองร้อยกว่าปีแล้ว บุตรีที่คุณสมบัติไม่ดีเช่นอี่ซาน ยามปกติไม่ค่อยเป็นที่โปรดปราน เขาไม่เคยใส่ใจเลยสักนิด
ตอนนี้คิดไม่ถึงว่าจะเรียกเขามาโดยเฉพาะเพื่อเรื่องเล็กน้อยเช่นนี้ เหตุใดศิษย์เหล่านี้จึงไม่มีสายตาเลยสักนิด จะเกิดเรื่องอะไรได้ ก็แค่รังแกศิษย์น้องอีกมิใช่หรือ หรือแย่งชิงสัตว์ภูติแย่ๆ ของผู้ใดอีก น่ารำคาญจริงๆ
“ท่านเจ้าสำนัก ศิษย์น้องอี่ซานพบสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวหนึ่ง ตอนนี้เหลือเพียงแค่นี้” เซียวซ่าส่งมอบกล่องหยกที่ปกติบรรจุหญ้าวิญญาณจำนวนมากให้อย่างเคารพ จากนั้นก็ก้มหน้าไม่เอ่ยวาจา
“อะไรนะ สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ พบที่ไหน” เจ้าสำนักยืนขึ้นทันที พอรู้สึกว่าตนเองเสียกิริยาก็รีบนั่งลงอีกครั้ง ขมวดคิ้วเอ่ยเสียงเข้มงวด “เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ พวกเจ้าเล่ามาให้ข้าฟังดีๆ สิ”
ในพริบตานี้ทุกคนเห็นประกายยินดีวาบผ่านในดวงตาของเจ้าสำนัก สำหรับบุตรสาวที่ไม่ได้รับความโปรดปราน สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณยังมีแรงดึงดูดใจมากกว่า
เซียวซ่าไม่กล้าปิดบังเล่าเรื่องที่ตนเองพบเห็นให้ฟังรอบหนึ่ง แล้วเรียกหวาซีออกมา เล่าเรื่องทุกอย่างที่เห็นให้ฟังอีกรอบ สุดท้ายก็ถึงตาจินเฟยเหยาเล่าเรื่องที่ทุกคนไม่รู้ นางสังเกตสีหน้าของเจ้าสำนักชิงโซ่วอยู่ตลอดเวลา ท่าทางขณะที่ศิษย์เอ่ยถึงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ในดวงตาของเขามีประกายยินดีและปรารถนา ทว่าตอนเอ่ยถึงอี่ซานโดนกิน ขนาดคิ้วเขายังไม่ขมวดเลยสักนิด เหมือนคนที่ถูกกัดตายเป็นสัตว์เดรัจฉานตัวหนึ่ง
จินเฟยเหยาตัดสินใจ เริ่มแต่งเรื่องขึ้นมา นางเพียงแค่เอ่ยถึงว่าเข้าไปในหุบเขาอย่างไร จากนั้นก็เริ่มระบายสีอย่างกำเริบเสิบสาน สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณแข็งแกร่งเพียงใด กินอี่ซานอย่างไร บอกรายละเอียดเพิ่มเติมว่าราชาสุนัขป่ายักษ์ของหวาซีต่อกรกับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณอย่างไร สุดท้ายกลับถูกสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณฟาดตบหลายฝ่ามือจนลอยไปอย่างไร พูดจนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนั้นแข็งแกร่งไร้เทียมทาน ทรงอานุภาพอย่างยิ่ง
คนอื่นนั้นยังพอทำเนา ไม่รู้ว่าตอนนั้นเกิดเรื่องอะไรขึ้น ทว่าหวาซีเป็นคนที่อยู่ในเหตุการณ์ ได้ยินแล้วก็หัวเราะไม่ได้ร้องไห้ไม่ออก ตลอดร่างหลั่งเหงื่อเย็นเยียบ ไม่เข้าใจว่าจินเฟยเหยาแต่งรายละเอียดเพิ่มเติมทำไม
รอจนจินเฟยเหยากล่าวจบ ภายในตำหนักเงียบไปครู่หนึ่ง เหมือนฟังเรื่องเล่าอันยอดเยี่ยมแล้วทุกคนยังอยากรับฟังต่อ
“อาจารย์อาเจ้าสำนัก เกิดเรื่องใดขึ้น เซียวซ่า เจ้าไม่รู้ความเกินไปแล้ว พาศิษย์น้องของเจ้ามารบกวนเจ้าสำนักโดยตรงได้อย่างไร” ในเวลานี้เอง อาจารย์ของเซียวซ่าก็ได้รับข่าวว่าศิษย์ของตนเองพาคนกลุ่มหนึ่งแล่นมาพบเจ้าสำนัก ไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น ถึงกับข้ามศีรษะเขาซึ่งเป็นอาจารย์ เขาจึงรีบมาอย่างเร่งร้อน เข้าประตูมาก็เห็นสีหน้าของอาจารย์อาเจ้าสำนักแปลกไปนิดๆ บอกไม่ได้ว่ามีโทสะหรือปีติยินดี
“กวงจี้ อย่าด่าทอพวกเขา พวกเขาพบสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ อี่ซานก็ถูกกิน ดังนั้นจึงมาหาข้าโดยตรง” คนตาบอดก็ยังมองออก ว่าตอนนี้เจ้าสำนักอารมณ์ดี
“สัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ! ยินดีกับอาจารย์อาเจ้าสำนักด้วย ให้ศิษย์ไปจับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนั้นกลับมาเป็นของขวัญให้อาจารย์อาเถอะ” หลี่จี้กวงข้ามเรื่องที่อี่ซานถูกทำร้ายไป ตรงเข้าแสดงความยินดีทันที
ท่าทางสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณจะเป็นสัตว์ปิศาจล้ำค่า ไม่เช่นนั้นเหตุใดคนเหล่านี้จึงมองข้ามการตายของอี่ซาน เพียงแค่ได้รับข่าวเรื่องสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณก็ตื่นเต้น จินเฟยเหยาอดมองหวาซีเงียบๆ ไม่ได้ ยามนี้เขาก้มหน้ายืนอยู่ตรงนั้น ไม่มีสีหน้าน่าสงสัย
เพื่อป้องกันเรื่องคาดไม่ถึง เจ้าสำนักชิงโซ่วนำของวิเศษชิ้นนั้นออกมาจริงๆ เพียงแต่ไม่ได้ใช้งานมาหลายปี ไม่ได้พกพาติดตัว เขาจึงกลับไปค้นหาของวิเศษชิ้นนั้นในคลังสมบัติของเขาด้วยตนเอง
ของวิเศษที่สามารถตรวจสอบเจ้าของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณได้ชิ้นนั้นด้านหนึ่งดูเหมือนกระจกธรรมดา รูปแบบด้อยกว่ากระจกที่คุณหนูตระกูลใหญ่ในโลกมนุษย์ใช้ ลักษณะไม่เด่นสะดุดตา
ไม่มีผู้ใดบอกจินเฟยเหยาที่เป็นคนนอกว่าของวิเศษชิ้นนี้ชื่อว่าอะไร เห็นหลี่กวงจี้รับกระจกมาจากมือเจ้าสำนัก แล้วเรียกศิษย์แต่ละคนมา พอหลี่กวงจี้นำกระจกส่องดูพวกเขาก็ไม่มีปฏิกิริยาเลยสักนิด
รอจนถึงรอบของหวาซี จินเฟยเหยาตื่นเต้นอย่างบอกไม่ถูก คิดจะดูว่าผู้เป็นเจ้าของจะสามารถหนีการตรวจสอบของของวิเศษพ้นหรือไม่ เทียบกับความตื่นเต้นของจินเฟยเหยา หวาซีมีสีหน้าสงบนิ่ง เดินมาถึงเบื้องหน้าหลี่กวงจี้ด้วยฝีเท้ามั่นคง
ที่จริงพวกเซียวซ่าก็เข้าใจ คนที่เป็นไปได้มากที่สุดที่จะเป็นเจ้าของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณคือหวาซี จินเฟยเหยา และอี่ซานสามคน อี่ซานตายแล้วจึงถูกตัดทิ้ง เช่นนั้นก็เหลือเพียงแค่สองคน หลี่กวงจี้นำกระจกส่องหวาซีภายใต้การจับจ้องของทุกคน ควันดำสายหนึ่งก็พุ่งขึ้นมาจากร่างเขา
‘อะไรนะ! หรือว่าจะถูกจับได้แบบนี้?’ จินเฟยเหยาตื่นตระหนก