ภายในตำหนักใหญ่มีเสียงฮือฮา ดวงตาของเจ้าสำนักแดงก่ำ ขอเพียงสยบเจ้าของได้ ก็จะสามารถหาตัวสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่หนีไปกลับมาได้อย่างง่ายดาย
ทว่ายังไม่ทันรอให้เจ้าสำนักลงมือ ควันสีดำบนร่างของหวาซีก็หายไป ทุกคนตกตะลึง ส่วนหวาซีในยามนี้มองเจ้าสำนักอย่างตกตะลึงด้วยสีหน้างุนงง
หลี่กวงจี้มองเจ้าสำนักอย่างไม่เข้าใจอยู่บ้าง “อาจารย์อา นี่มันเรื่องอะไรกัน”
“มีควันสีดำ แล้วควันสีดำก็หายวับไป แสดงว่าเคยสัมผัสสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ทว่าไม่ใช่เจ้าของ เพียงแค่ติดไอวิญญาณมาบ้าง” เจ้าสำนักอธิบายอย่างผิดหวัง
จริงเสียด้วย บนร่างของศิษย์หลายคนที่ถูกควันดำทำให้สลบตอนสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณหนีไปก็มีควันดำพุ่งขึ้นมา เพียงแค่ครู่เดียวก็หายไป ส่วนเจ้าสำนักฝากความหวังทั้งหมดไว้บนร่างของจินเฟยเหยา แต่น่าเสียดาย ของวิเศษส่องร่างจินเฟยเหยา ขนาดควันดำก็ไม่มีพุ่งขึ้นมาเลยสักนิด
ก่อนหน้านี้ตอนจินเฟยเหยาเล่าเรื่องก็เคยบอกไว้ ว่าตนเองไม่ได้เข้าใกล้และสัมผัสสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ หวาซีเป็นคนสู้กับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ตนเองเพียงแต่ขับเคลื่อนยันต์ยา ดังนั้นบนร่างย่อมไม่มีควันดำ ถ้ามีก็ย่ำแย่แล้ว
ในเมื่อศิษย์สำนักตนเองไม่ได้เลี้ยงสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ ก็มิอาจให้มันหนีไปได้ เจ้าสำนักให้หลี่กวงจี้นำศิษย์แปดร้อยคนไปภูเขาซวงถ่าค้นหาสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณตัวนั้นทันที ทั้งยังแอบสั่งการเป็นพิเศษให้เขานำศิษย์สตรีไปด้วย ให้ในศิษย์แต่ละกลุ่มที่ค้นหาในภูเขาต้องมีศิษย์สตรีอยู่ด้วยหนึ่งคน ในเมื่อเป็นสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณที่เพาะเลี้ยงวิญญาณหยิน เช่นนั้นก็ใช้ศิษย์สตรีเป็นเหยื่อล่อ ต่อให้ต้องเสียสละชีวิตศิษย์นับร้อยคน ขอเพียงจับสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณได้ก็ถือว่าคุ้มค่า
บรรดาศิษย์ไม่ล่วงรู้ถึงความคิดของเจ้าสำนัก รับภารกิจแล้วก็พาสัตว์ภูติของตนเองออกเดินทาง ส่วนพวกเซียวซ่าก็ให้กลับที่พักไปพักผ่อน เนื่องจากจินเฟยเหยาอยู่ตรงใจกลางระเบิดของยันต์ยา ไม่ตายก็นับว่านางดวงแข็ง เคลื่อนไหวไม่ได้ชั่วคราว หลี่กวงจี้เห็นว่านางรู้จักกับหวาซีซึ่งเป็นศิษย์ของตนเอง จึงให้หวาซีดูแลชั่วคราว รอจนอาการบาดเจ็บดีขึ้นจึงส่งนางกลับสำนักเฉวียนเซียน
ส่วนหวาซีไม่รู้ว่าเพราะจินเฟยเหยาช่วยเหลือตนเองหรือไม่ เขาจึงรู้สึกว่าห้องรับแขกไม่เหมาะจะพักอาศัยจึงพานางมาอยู่เรือนเล็กที่ตนเองอาศัยอยู่ รินชารินน้ำทุกวัน ทั้งยังวิ่งไปหาขี้ผึ้งหยกขั้นสามซึ่งเป็นยารักษาบาดแผลชั้นเลิศมากล่องหนึ่ง ขี้ผึ้งหยกนี้ไม่เสียทีที่เป็นยาวิญญาณขั้นสาม ใช้เพียงห้าหกวัน จินเฟยเหยาก็สามารถลุกขึ้นนั่ง จับราวพยุงเดินได้หลายก้าว
วันนี้จินเฟยเหยาโคจรลมปราณเสร็จสิ้น รู้สึกว่าบาดแผลหายดีขึ้นมาก อยู่ที่สำนักชิงโซ่วไปก็มิใช่หนทางที่ดี อีกทั้งหวาซีก็พานางมาอยู่ด้วยกัน ฉากหน้าเพื่อสะดวกในการดูแลนาง ที่จริงคือไม่วางใจ ดังนั้นนางกะว่าวันนี้จะเอ่ยอำลาหวาซีกลับไปสำนักเฉวียนเซียน
หลายวันนี้หวาซีอยู่ในห้องบำเพ็ญด้านข้างรักษาบาดแผลให้ราชาสุนัขป่ายักษ์ จินเฟยเหยาก็นั่งอยู่ในเรือนรอให้เขาออกมา
“สหายเซียนจินดูเหมือนว่าร่างกายของเจ้าฟื้นตัวดี สามารถเดินไปทั่วได้แล้ว” หวาซีเดินมาจากห้องฝึกบำเพ็ญ ก็เห็นจินเฟยเหยานั่งอยู่บนเก้าอี้ศิลาในเรือน นอนพิงอยู่ข้างรั้วมองมาไกลๆ
จินเฟยเหยายิ้ม “ดังนั้นวันนี้ข้าจึงคิดจะกล่าวอำลาสหายเซียนหวา ข้าออกมาหลายวันแล้ว มิอาจอยู่ที่นี่ตลอดไปได้ คิดจะกลับไปวันนี้”
หวาซีลำบากใจอยู่บ้าง มีสีหน้ารู้สึกผิด “เรื่องนี้ต้องโทษข้า หากมิใช่เพราะข้านัดสหายเซียนจินมา ก็คงไม่ต้องทำให้เจ้าได้รับบาดเจ็บหนักและยังเกือบตายแบบนี้”
เห็นรอบด้านไม่มีใคร และในเรือนยังมีคาถาป้องกัน ทว่าจินเฟยเหยายังหลีกเลี่ยงเรื่องในวันนั้นอย่างระมัดระวัง “สหายเซียนหวาไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้ การได้พบกับเจ้าไม่ใช่เรื่องดีอะไรสำหรับข้า พวกเราอาจจะเป็นดาวข่มกันตามดวงชะตา เพียงสิงโตวารีหยกและแมวบินได้ที่สหายเซียนหวารับปากข้าไว้ตอนนั้น มอบให้ข้าได้หรือไม่ ข้าจะได้นำลงเขาไปด้วย”
จินเฟยเหยาหยุดไปครู่หนึ่งจึงเอ่ยขึ้นอีก “สหายเซียนหวาเองก็รู้ว่าข้าเป็นผู้บำเพ็ญเซียนอิสระ ไม่มีเงินทองมากนัก ข้าต้องเสี่ยงชีวิตเพื่อสิงโตวารีหยกและแมวบินได้ คาดว่าสหายเซียนหวาคงคาดคิดได้และจัดเตรียมไว้แล้วสินะ”
ในที่สุดหวาซีก็เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดตอนนั้นจินเฟยเหยาจึงช่วยเขา ก็เพื่อสิ่งของที่มีราคารวมกันไม่ถึงสี่พันศิลาวิญญาณ ถ้าเรื่องที่เขาเป็นเจ้าของสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณถูกจับได้ จินเฟยเหยาก็ไม่สามารถได้แมวบินได้และสิงโตวารีหยกจากตัวเขา ดังนั้นจึงแต่งเรื่องโกหกขึ้นเพื่อให้สองฝ่ายสมประโยชน์
ถ้าหากนางเพียงแค่อยากได้ศิลาวิญญาณ ก็เป็นผู้ร่วมมือที่ดีจริงๆ หวาซีแอบตัดสินใจในใจ แล้วเอ่ยกับจินเฟยเหยา “ข้าอยากรั้งให้สหายเซียนจินอยู่สักหลายวัน ในเมื่อสหายเซียนอยากกลับไปแต่เนิ่นๆ ข้าจะไปนำไข่ของสิงโตวารีหยกและแมวบินได้มาเดี๋ยวนี้ สหายเซียนโปรดรอสักครู่ ไข่ของแมวบินได้ไม่ได้อยู่ในมือข้า ข้าต้องไปแลกเปลี่ยนกับศิษย์พี่”
“ได้” จินเฟยเหยาพยักหน้า
เห็นหวาซีขี่กระเรียนเซียนที่เลี้ยงแบบปล่อยในเรือนไปหาศิษย์พี่ของเขา เห็นกระเรียนเซียนบินไปอย่างสบายอกสบายใจ จินเฟยเหยาก็รู้สึกอิจฉานิดๆ สำนักชิงโซ่วเลี้ยงกระเรียนเซียนไว้ฝูงใหญ่เพื่อให้ศิษย์ขั้นฝึกปราณใช้แทนการเดินเท้าโดยเฉพาะ ปกติเลี้ยงไว้ในเรือน ให้กินน้ำสะอาดและอาหารสัตว์เล็กน้อยก็พอ ทั้งสะดวกและประหยัด ถึงจะบินช้าหน่อยทว่าดีตรงไม่ต้องเสียเงิน ทุกคนมีคนละตัว
นางเคยถามหวาซี กระเรียนเซียนเหล่านี้สำนักใช้เวลาหลายร้อยปี ฟักไข่ออกมาทีละชุด มีผู้อาวุโสที่ใส่ใจท่านหนึ่งเพาะเลี้ยง ตอนนี้จึงสามารถให้คนในสำนักใช้แทนการเดินเท้าได้ หากนำไข่ของกระเรียนเซียนไปขายข้างนอก ตัวหนึ่งจะมีราคานับพันศิลาวิญญาณ ดังนั้นเพื่อปกป้องกระเรียนเซียนเหล่านี้จึงไม่อนุญาตให้พวกเขาขี่ออกนอกสำนัก
ได้แต่ขี่ภายในสำนัก หากคิดจะออกจากสำนัก ก็ต้องขี่สัตว์ภูติที่ตนเองเลี้ยง ห้ามเอากระเรียนเซียนเหล่านี้ออกไปเด็ดขาด ได้แต่ใช้แทนการเดินเท้าในสำนัก แค่นี้ก็ทำให้จินเฟยเหยาอิจฉาอย่างยิ่ง ตอนนั้นอยู่สำนักเหิงเจินก็ไม่มีสัตว์ภูติใช้แทนการเดินเท้า ศิษย์ขั้นฝึกปราณขี่กระบี่ไม่ได้ จะทำอะไรก็ต้องเดินเอา มีเพียงบรรดาศิษย์ผู้สืบทอด แต่ละปีสำนักจะมอบยันต์เดินทางให้สิบใบเพื่อฐานะและหน้าตา ช่างตระหนี่จนเจ็บปวดใจจริงๆ
การไปของหวาซีครั้งนี้ไปถึงครึ่งวัน จินเฟยเหยารอจนหมดความอดทน จึงเห็นหวาซีพาศิษย์พี่เซียวมาอย่างเอ้อระเหย “หรือว่าตั้งใจมาส่งข้าโดยเฉพาะ? คงไม่ใจดีขนาดนั้นหรอกนะ” จินเฟยเหยาใช้มือจับรั้วพยุงตัวยืนขึ้น มองพวกเขาสองคนอย่างสงสัย
“สหายเซียนจิน” เซียวซ่าลงจากกระเรียนเซียน ก็ประสานมือคารวะจินเฟยเหยา ทักทายด้วยรอยยิ้มกว้าง
จินเฟยเหยาเองก็ยิ้มรับ ทั้งยังเอ่ยล้อเลียนว่า “หรือว่าสหายเซียนเซียวก็มาส่งข้าด้วย?”
“เอ่อ…” หวาซีเอ่ยกับจินเฟยเหยาอย่างลังเลอยู่บ้าง “สหายเซียนจิน ศิษย์พี่เซียวมาเพราะมีเรื่องอยากจะหารือกับเจ้า”
“เรื่องอะไร?” จินเฟยเหยามองคนทั้งสองอย่างสงสัย
เซียวซ่าพูดอย่างเขินๆ “คืออย่างนี้สหายเซียนจิน ข้าซื้อสิงโตวารีหยกที่ศิษย์น้องหวาซีจะมอบให้เจ้าตัวหนึ่ง ครั้งนี้ได้ลูกสิงโตมาทั้งหมดสามตัว ถึงแม้ว่าข้าจะได้ตัวหนึ่ง เพียงแต่ตัวนั้นข้าอยากมอบให้ศิษย์น้องคนหนึ่ง”
“สำนักชิงโซ่วของพวกเจ้ามีธรรมเนียมว่าต้องมอบสิ่งของให้ศิษย์น้องหรือ?” จินเฟยเหยาหลุดปากออกมา เหตุใดคนเหล่านี้จึงมีคุณธรรมเช่นนี้
หวาซีรีบฉุดดึงจินเฟยเหยา เอ่ยอธิบายเสียงเบาว่า “ศิษย์น้องผู้นั้นเป็นบุตรสาวของอาจารย์เรา หมั้นกับศิษย์พี่เซียวแล้ว ดังนั้นจึงมิใช่คนนอก เจ้าอย่าพูดจาเหลวไหล”
“รู้แล้ว” จินเฟยเหยาแม้ปากไม่พูดทว่าในใจกลับคิด ผู้อื่นประจบศิษย์น้องเพื่อเอาใจฮูหยินในอนาคต เจ้าประจบศิษย์น้องก็เพื่อเอาใจสัตว์เพาะเลี้ยงวิญญาณ
อย่างไรเสียสิงโตวารีหยกนางก็คิดจะเอากลับไปขายทิ้งอยู่แล้ว ตอนนี้ความเป็นอยู่ยังไม่ดี เลี้ยงสัตว์ภูติมากมายเกินไปไม่ได้ ถ้าสามารถเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณที่นี่ได้ก็ประหยัดเวลาไปหาคนซื้อ เหตุใดจึงไม่ยินดีเล่า
“ได้สิ เพียงแต่สหายเซียนเซียวจะเสนอราคาเท่าใด?” จินเฟยเหยาเชื่ออย่างไม่ต้องสงสัย ถ้าไม่ถามราคาอย่างใจกว้าง รอให้อีกฝ่ายนำเศษเงินออกมา แล้วให้หวาซีบอกว่าทุกคนล้วนเป็นคนคุ้นเคย คิดจะไม่ขายก็ลำบากแล้ว
เซียวซ่ายิ้มไม่เอ่ยตอบ มองหวาซี
“สหายเซียนจิน เจ้าวางใจได้ พวกเราไม่ให้เจ้าเสียเปรียบหรอก ศิษย์พี่เซียวคิดจะนำศิลาวิญญาณหนึ่งพันสี่ร้อยก้อนมาซื้อสิงโตวารีหยก ราคานี้พอๆ กันกับร้านบนถนนเป่ยเหอ” หวาซีแอบบอก
“ไข่ของแมวบินตัวนั้นก็ยืมมาจากศิษย์พี่เซียว เจ้าก็รู้ว่าตอนนี้ข้าไม่มีเงินมากขนาดนั้น ซื้อแมวบินได้มาไม่ได้ ดังนั้นเลย… เจ้าไว้หน้าข้าหน่อยเถอะ” หวาซีหารือกับจินเฟยเหยาเสียงเบา เซียวซ่าเดินไปอีกข้างหนึ่งแสร้งดูกระเรียนเซียนว่าอ้วนหรือไม่
ราคานี้น่าจะใกล้เคียง จินเฟยเหยาตกลง เพียงแต่นางยังมีอีกเรื่องหนึ่ง จึงเอ่ยออกมา “สหายเซียนหวา เจ้าก็รู้ว่าข้ามีสัตว์ภูติอยู่หลายตัว เพียงแต่มีเจ้าของแล้ว ข้าคิดจะจัดการพวกมัน ทว่าไม่อยากให้คนรู้ที่มาเป็นการแลกเปลี่ยน เจ้าช่วยข้าจัดการรอยประทับของเจ้าของที่เหลืออยู่บนร่างของพวกมันทิ้งด้วย เป็นอย่างไร?”
หวาซีย่อมรู้ดี ที่นางเอ่ยถึงคือสัตว์ภูติของอี่ซาน หากนำออกมาเปะปะ ทำให้คนตรวจพบก็จะทำให้เขาลำบาก หวาซีพยักหน้าเอ่ยว่า “ได้ อีกครู่หนึ่งเจ้านำมาให้ข้า ถ้าสามารถเปลี่ยนเป็นศิลาวิญญาณได้ ข้าจะช่วยกำจัดทิ้งให้”
“อืม มีเจ้าจัดการข้าก็วางใจ เจ้าคุ้นเคยด้านนี้” จินเฟยเหยาพยักหน้าเอ่ยยิ้มๆ
หลังจากหารือเสร็จสิ้น จินเฟยเหยาไม่เห็นแม้แต่ลูกสิงโตวารีหยกก็ได้รับถุงเก็บของที่บรรจุเงินหนึ่งพันสี่ร้อยศิลาวิญญาณจากเซียวซ่า สำหรับเรื่องที่พวกเขาจงใจไม่นำสิงโตวารีหยกมาและตัดสินใจคิดจะซื้อให้ได้ จินเฟยเหยาคร้านจะไปคิดเล็กคิดน้อย
ซื้อขายเสร็จสิ้น เซียวซ่าก็ขี่กระเรียนเซียนกลับไป อำนวยความสะดวกให้หวาซีและจินเฟยเหยาพอดี จินเฟยเหยาแอบนำถุงสัตว์ภูติหกใบมอบให้หวาซีให้เขาช่วยจัดการ ยังมีถุงสัตว์ภูติสองใบ เดิมทีบรรจุผึ้งปีกดำและงูเหลือมนิลแต่ตอนนี้ว่างเปล่า นางเตรียมเอาไว้ใช้ในวันหน้า
“ไข่ของแมวบินได้เล่า?” ทำเรื่องเหล่านี้เสร็จแล้ว จินเฟยเหยาจึงเอ่ยถาม
“ข้านำมาแล้ว อยู่นี่” หวาซีหยิบกระเป๋าสัตว์ภูติใบหนึ่ง แล้วนำไข่ใบหนึ่งออกมาจากด้านใน ไข่แมวบินได้สูงสามฝ่ามือกว่า เปลือกไข่สีขาวน้ำนม ด้านบนมีลวดลายสีฟ้าอ่อนเหมือนเมฆเหิน
จินเฟยเหยารับไข่มาอย่างระมัดระวัง เอ่ยถามอย่างตื่นเต้น “ของสิ่งนี้ต้องเลี้ยงดูอย่างไร?”
“ปกติใช้ศิลาวิญญาณเลี้ยงดู อีกสามเดือนจึงออกมาจากไข่ได้ จากนั้นต้องป้อนน้ำนมแมวบินได้สามเดือน ของสิ่งนี้มีขายที่ร้านสัตว์ภูติขนาดใหญ่ ศิลาวิญญาณหนึ่งก้อนสามารถซื้อได้หนึ่งกา เพียงพอให้ดื่มได้หนึ่งวัน สามเดือนให้หลังจึงหย่านม ถึงตอนนั้นจึงสามารถป้อนเนื้อสัตว์ปิศาจได้ และสามารถซื้ออาหารสัตว์ภูติที่ทำขึ้นเป็นพิเศษมาป้อนได้ ว่าไปแล้วค่อนข้างเลี้ยงง่าย”
“แบบนี้เรียกว่าเลี้ยงง่าย? ต้องใช้ศิลาวิญญาณของข้าไปเท่าไหร่” จินเฟยเหยาเกือบจะกระอักโลหิตออกมา การลงทุนครั้งนี้มหาศาลเกินไปแล้ว
หวาซีไม่เอ่ยอะไรเพียงแต่หัวเราะหึหึ