บทที่ 15 รักษา

ห๊ะ?

นี่ลูกสาวของฉันเป็นบ้าอะไรถึงพูดให้กับคนนอกแบบนี้!?

ไม่เพียงแต่หลี่ชงซานที่คิดแบบนี้ แต่คนอื่น ๆ ในตระกูลต่างก็มองไปที่หลี่หรงด้วยความประหลาดใจ และตกตะลึงที่ลูกสาวคนเล็กของผู้นำตระกูลคนปัจจุบันทำไมถึงได้เปลี่ยนไปมากขนาดนี้ตั้งแต่ออกจากบ้านไปหลายปี?

“นี่แก…นี่แก…” หลี่ชงซานชี้นิ้วไปที่หน้าของลูกสาวตัวเอง และพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงสั่นเพราะความโกรธจัด

แต่แล้วยังไม่ทันพูดจบจู่ ๆ ตาของเขาก็เหลือกขึ้นและหมดสติไป

ต้องขอบคุณผู้คนที่อยู่ใกล้เคียงที่มารับตัวเขาไว้ได้ทัน ซึ่งมันทำให้หัวของเขาไม่กระแทกพื้นในตอนที่หมดสติไป พร้อมกันนั้นชายที่อยู่ในชุดกาวน์สีขาวรีบตะโกนให้คนที่อยู่รอบ ๆ เรียกรถพยาบาลทันที

“ไม่ทันหรอก…”

จู่ ๆ น้ำเสียงที่ดูไร้อารมณ์ก็ดังขึ้น

ทุกคนต่างหันไปทางต้นเสียงทันที ซึ่งผู้พูดก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากอวี้ฮ่าวหรานที่กำลังกอดอกมองไปที่หลี่ชงซานด้วยสีหน้าเรียบเฉย

เมื่อเห็นว่าเป็นอวี้ฮ่าวหรานที่พูดขึ้น ทุกคนต่างก็สาปแช่งเขาในใจทันที

ถึงแม้ว่าผู้นำตระกูลจะด่าแก แต่แกก็ไม่ควรจะแช่งเขาให้ตายเร็ว ๆ แบบนี้นะไอ้ขยะ!

แต่แล้วเมื่อทุกคนได้สติบางคนก็เริ่มกระซิบกระซาบกัน

“เฮ้ หลังจากนี้เราคงต้องมาคิดกันแล้วว่าที่ดินของตระกูลตรงไหนที่พวกเราควรแบ่งไป…”

“ใช่ ๆ พวกทายาทที่เหลืออีก 2 คนไม่มีบารมีพอจะคัดค้านพวกเราได้หรอก..”

….

ถึงแม้ว่าเสียงกระซิบเหล่านี้จะไม่ได้ดังสักเท่าไหร่ แต่มันก็ดังมากพอที่คนอื่น ๆ จะได้ยิน ซึ่งคนส่วนใหญ่ก็คิดแบบนี้เหมือนกัน

ส่วนเรื่องที่หลี่ชงซานจะอยู่หรือว่าจะตาย

แน่นอนว่าคนส่วนใหญ่ในที่นี้อยากให้เขาตายมากกว่า!

เพราะถ้าหากหลี่ชงซานตายไปจริง ๆ คนที่อยู่ที่นี่ทุกคนก็จะได้แบ่งสมบัติกันอย่างเปรมปรี แต่ถ้าหากหลี่ชงซานไม่ตายทุกอย่างมันก็จะเหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

“พ่อ!”

น้ำเสียงที่เป็นห่วงดังลั่นขึ้นจากชั้นสอง

จากนั้นชายหนุ่มผู้หนึ่งที่แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าแบรนด์เนมทั้งตัวก็รีบวิ่งลงบันไดมาพร้อมกับกลุ่มคนในชุดกาวน์สีขาวอีกหลายคนที่วิ่งตามหลังมาติด ๆ

แน่นอนว่าชายหนุ่มผู้นี้คือลูกคนรองของหลี่ชงซาน หลี่จิงเทียน!

ถึงแม้ว่าหลี่จิงเทียนจะไม่ใช่คนที่มีจิตใจดีเด่อะไรนัก แต่อย่างน้อย ๆ เขาก็ยังพอมีความกตัญญูอยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเขาเห็นพ่อของเขานอนหมดสติอยู่เขาจึงรีบวิ่งมาดูอาการอย่างรวดเร็ว

เมื่อวิ่งมาถึงตัวพ่อของตัวเองเขารีบเข้าไปประคองร่างหลี่ชงซานแทน และหันหน้าไปจ้องหลี่หรงและอวี้ฮ่าวหราน ด้วยสายตาเดือดดาล

“เฮ้อ จะตื่นเต้นอะไรกันนักหนา อาการแค่นี้ฉันสามารถรักษาเขาได้แบบสบาย ๆ” อวี้ฮ่าวหรานเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าระอาใจกับปฏิกิริยาของผู้คนในตระกูลหลี่

สำหรับเขาการที่ได้มาเห็นความเห็นแก่ตัวของคนในตระกูลนี้แล้วมันทำให้เขารู้สึกเหมือนกำลังดูหนังดราม่าเกรด B ที่น่ารำคาญ อย่างไรก็ตามเขาไม่สามารถไปจากตรงนี้ได้ เพราะคนที่กำลังจะตายนั้นคือพ่อตาของเขา ซึ่งอย่างน้อย ๆ เขาก็ควรที่จะช่วยพ่อตาของเขาสักครั้งเพื่อเห็นแก่ภรรยาของเขา

ไม่เช่นนั้นหากเมื่อไหร่ที่เขาช่วยภรรยาของตัวเองกลับมาได้ เขาจะไม่มีวันอธิบายกับเธอได้เลยว่าทำไมเขาถึงไม่ช่วยพ่อของเธอทั้ง ๆ ที่เขามีโอกาสจะทำ

“นี่แกสมองมีปัญหาหรือไง? ผู้นำตระกูลจะตายอยู่แล้วแกยังมีอารมณ์มาพูดจาไร้สาระอยู่อีก!”

“เธอก็อีกคนหลี่หรง! ผู้นำตระกูลคิดถึงเธออยู่ตลอด แต่พอเธอกลับมาเธอกลับพาไอ้ขยะนี่มาทำให้อาการของผู้นำตระกูลทรุดหนักเนี่ยนะ? เธอเป็นลูกประสาอะไรกัน!”

“ไอ้ขยะ ถ้าแกอยู่เงียบ ๆ มันก็ไม่มีใครหาว่าแกเป็นใบ้หรอกนะไอ้เวร! นี่ถ้าไม่ใช่เพราะแกพ่อของฉันก็คงไม่เป็นแบบนี้แน่นอน แล้วตอนนี้แกบอกว่าแกรักษาพ่อฉันได้งั้นเหรอ ถุย ให้ตายฉันก็ไม่เชื่อแก!” หลี่จิงเทียนตะคอกใส่อวี้ฮ่าวหรานด้วยสีหน้าเดือดดาล

ตั้งแต่พี่สาวของเขาตกลงปลงใจไปแต่งงานกับอวี้ฮ่าวหรานผู้ซึ่งไม่มีอะไรดีเลย เขาก็เกลียดอวี้ฮ่าวหรานมาโดยตลอด แต่แล้ววันนี้เมื่ออวี้ฮ่าวหรานกลับมาที่นี่อีกครั้ง และทำให้พ่อของเขาอาการทรุดหนักมันก็ยิ่งทำให้เขาเกลียดอวี้ฮ่าวหรานมากขึ้นกว่าเดิมอีกเป็นสิบเท่า

“แม่งเอ๊ย! หลี่หรง ฉันเรียกให้เธอกลับมาทำไมเธอถึงต้องพาไอ้สารเลวนี่กลับมาด้วย!”

ตอนนี้หลี่จิงเทียนตะโกนเหมือนหมาบ้า เขาพร้อมที่จะแว้งกัดทุกคนที่เกี่ยวข้องกับอาการทรุดลงของพ่อเขา

“ถ้าหากนายยังดื้อรั้นต่อไปแม้แต่ฉันเองก็คงไม่สามารถช่วยพ่อของนายได้หรอกนะ”

สีหน้าอันเรียบเฉยไร้ซึ่งความกังวลใด ๆ ของอวี้ฮ่าวหรานทำให้หลี่จิงเทียนเริ่มรู้สึกหวั่นไหว ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนที่ชอบทำตัวหยิ่งจองหองแต่เขาก็ไม่ใช่คนโง่

“เออก็ได้! ฉันให้แกลองรักษาพ่อของฉันก็ได้ แต่ฉันบอกเอาไว้ตรงนี้เลยว่าถ้าหากแกรักษาพ่อของฉันไม่สำเร็จฉันจะส่งแกไปรับใช้พ่อของฉันที่โลกหลังความตายแน่นอน!”

หลังจากพูดจบหลี่จิงเทียนพยักหน้าเพื่อเป็นสัญญาณให้อวี้ฮ่าวหรานเดินเข้ามาหาหลี่ชงซาน

“ไอ้ขยะนี่มันเป็นบ้าอะไรของมัน สมองของมันเพี้ยนจนคิดว่าตัวเองเป็นพระเจ้าหรือไง ถึงจะสามารถรักษาคนป่วยใกล้ตายได้แบบนี้?”

“เหอะ ปล่อยมันเล่นละครของมันไป มันทำไม่ได้จริงหรอก แล้วเดี๋ยวพวกเรามารอดูกันดีกว่าว่าจิงเทียนจะทำยังไงกับไอ้ขยะนี่ในตอนท้าย”

อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้ใส่ใจเสียงซุบซิบรอบ ๆ แม้แต่น้อย เขาเดินเข้าไปหาหลี่ชงซานและนั่งคุกเข่าลงข้างหนึ่ง จากนั้นเขาก็เปิดปากของหลี่ชงซานให้อ้าออกพร้อมกับโคจรพลังวิญญาณที่ยังเหลืออยู่เพียงน้อยนิดไปที่ปลายนิ้วให้ควบแน่นเป็นวัตถุเม็ดเล็ก ๆ สีดำคล้ายกับเม็ดงา ซึ่งถ้าใครไม่สังเกตจะมองไม่เห็นแน่นอน

จากนั้นเมื่อควบแน่นพลังวิญญาณของตัวเองเรียบร้อยจนเป็นวัตถุคล้ายเม็ดงาได้แล้วอวี้ฮ่าวหรานก็ป้อนมันเข้าปากหลี่ชงซานอย่างรวดเร็ว จนแม้แต่หลี่จิงเทียนที่ประคองพ่อของเขาอยู่ยังห้ามไม่ทัน

หลังจากเสร็จสิ่งที่ควรจะทำแล้วอวี้ฮ่าวหรานก็ลุกขึ้น และเดินกลับไปยืนที่เดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

แต่ในทางกลับกัน ในสายตาของคนอื่นกลับมองว่าอวี้ฮ่าวหรานเดินถอยออกไปเพื่อเตรียมหาทางหนี

เมื่อคิดได้เช่นนี้จึงมีบางคนเดินไปปิดทางออกเพื่อไม่ให้อวี้ฮ่าวหรานหนีไปไหนได้

ฮึ่ม คิดจะหนีงั้นเรอะ ไม่ง่ายขนาดนั้นหรอกไอ้ขยะ!

ทางด้านของหลี่จิงเทียนในขณะนี้เขาจ้องไปที่อวี้ฮ่าวหราน ซึ่งแสดงอาการสงบนิ่งเป็นอย่างมาก

เมื่อครู่เขาได้คุยกับหมอทุกคนที่มาตรวจอาการพ่อของเขาแล้ว ซึ่งหมอทุกคนต่างก็ลงความเห็นว่าพ่อของเขาคงมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นานแน่นอน ดังนั้นมันไม่มีทางที่จะมีปาฏิหาริย์ใด ๆ เกิดขึ้น

ว่าแต่ทำไมไอ้อวี้ฮ่าวหรานมันถึงได้เงียบสงบขนาดนี้? มันไม่กลัวตายเลยงั้นเหรอ?

“แค่ก แค่ก แค่ก แค่ก….”

จู่ ๆ หลี่ชงซานที่อยู่ในอ้อมแขนของหลี่จิงเทียนก็ไอขึ้นอย่างรุนแรงอยู่หลายครั้ง จนท้ายที่สุดเขาก็ค่อย ๆ ลืมตาขึ้น แต่เมื่อเขาเห็นว่าหลี่หรงและอวี้ฮ่าวหรานยังคงยืนอยู่ไม่ห่างความดันของเขาก็เหมือนจะพุ่งขึ้นอีกรอบ

“หืม? นี่มันเป็นไปได้ยังไง ไอ้เด็กนี่มันเป็นหมออัจฉริยะงั้นหรือไง?”

“หรือว่าเมื่อครู่เขาเอายาวิเศษให้กับผู้นำตระกูลกิน?”

“ไม่ได้ละ ต่อไปนี้ฉันคงต้องพูดกับมันดี ๆ หน่อยซะแล้ว เผื่อในอนาคตฉันจะได้ขอแบ่งมาบ้างสักเม็ดสองเม็ด”

ตอนนี้ทัศนคติที่ทุกคนมีต่ออวี้ฮ่าวหรานก็เปลี่ยนไปแบบหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะการฟื้นของหลี่ชงซาน!

แม้แต่บรรดาหมอทั้งหลายก็รีบวิ่งเข้าไปหาอวี้ฮ่าวหรานเพื่อขอสอบถามเกี่ยวกับวิธีรักษาของเขา

หลี่ชงซานนั้นเป็นคนฉลาดอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเขาได้ยินสิ่งที่คนรอบ ๆ พูดถึงอวี้ฮ่าวหรานเขาก็พอจะเดาได้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น และค่อย ๆ ลุกขึ้นยืน

ไอ้เด็กนี่มันช่วยชีวิตฉันได้ยังไง?

อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าเขาจะสงสัยแต่เมื่อเขาลุกขึ้น และลองยืดเส้นยืดสายแล้วเขาก็สัมผัสได้ทันทีว่าร่างกายของเขาตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรเลย ซึ่งสรุปได้ว่าลูกเขยขยะของเขานั้นช่วยชีวิตเขาเอาไว้จริง ๆ!

หลี่ชงซานไม่รู้จะเอ่ยคำไหนกับอวี้ฮ่าวหรานดี เพราะก่อนหน้านี้เขาไม่เคยพูดจาดี ๆ กับฝั่งตรงข้ามเลย แต่ตอนนี้มันกลับกลายเป็นว่าฝั่งตรงข้ามเป็นผู้ช่วยชีวิตของเขาซะงั้น เขาไม่รู้ว่าจะทำตัวยังไงกับสถานการณ์นี้ดี

“เอ่อ…อวี้ฮ่าวหราน…เมื่อก่อนที่นายยังเป็นคนไร้ความสามารถฉัน…ไม่ชอบนายจริง ๆ ฉัน…เลย…รังแก…บ้าเอ๊ย! เอาเป็นว่าในเมื่อตอนนี้นายช่วยชีวิตพ่อของฉันงั้นฉันขอ…” ถึงแม้ว่าก่อนหน้านี้หลี่จิงเทียนจะเกลียดอวี้ฮ่าวหรานเข้าไส้ แต่ในเมื่อตอนนี้อวี้ฮ่าวหรานช่วยชีวิตพ่อของเขาเอาไว้ เขาจึงคิดในใจว่าอยากจะจับมือกับฝั่งตรงข้ามเพื่อยุติความขุ่นข้องหมองใจที่มีต่อกันมาทั้งหมด

แต่น่าเสียดายที่อวี้ฮ่าวหรานไม่ได้สนใจอะไรเลย

“ใกล้ได้เวลาถวนถวนเลิกเรียนแล้ว ฉันต้องรีบกลับไปรับลูกสาว หลี่หรงเธออยู่ที่นี่ไปก่อนก็แล้วกัน”

อวี้ฮ่าวหรานพยักหน้าให้กับหลี่หรง จากนั้นเขาก็เดินออกไปในทันทีโดยไม่สนใจใครสักคนที่อยู่ที่นี่ แม้กระทั่งพ่อตาและหลี่จิงเทียนเขาก็ไม่สน

เมื่ออวี้ฮ่าวหรานเดินออกจากบ้านหลักตระกูลหลี่ เขาก็เรียกแท็กซี่ให้ไปส่งที่โรงเรียนอนุบาลแอปเปิ้ลแดงทันที และเมื่อไปถึงครูหวางก็ได้จูงมือถวนถวนออกมาส่งด้วยตัวเธอเอง ด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม

“ถวนถวน ไปกันเถอะลูก พวกเรากลับบ้านกัน!”