บทที่ 17 วิจารณ์อาสะใภ้ทุกวัน

ผู้พิทักษ์รัตติกาลแห่งต้าฟ่ง

‘ฟึ่บ!’

ในลานเล็กๆ สวี่ชีอันยืนอยู่บนชายคาและเขวี้ยงอาวุธลับทรงสี่เหลี่ยมมุมฉากออกไป เขาไม่ได้เล็งเป้าอย่างจริงจังเลย แต่กลับเขวี้ยงโดนจุดสีแดงตรงกลางเสาไม้ที่อยู่ห่างออกไปยี่สิบก้าวอย่างแม่นยำ

วิธีที่สวี่ชีอันเขวี้ยงอาวุธลับไม่ชาญฉลาดนัก แต่…เขาโชคดี

“ร่างกายข้ามีบางอย่างผิดปกติ…” สวี่ชีอันเอ่ยเสียงเบา

เขาโชคดีเกินไป เขาเก็บตำลึงเงินได้ทั้งหมดหนึ่งชั่งสองตำลึงภายในหนึ่งเดือนติดต่อกัน เทียบเท่ากับเงินเดือนข้าราชการครึ่งเดือน

เงินจำนวนนี้เพียงพอสำหรับครอบครัวธรรมดาสามคนอยู่อย่างประหยัดเป็นเวลาสามเดือน

สิ่งที่แปลกที่สุดคือ ทุกครั้งเขาจะเก็บได้หนึ่งตำลึงเงิน นี่ไม่ใช่สิ่งที่โชคจะอธิบายได้

ไม่จำเป็นต้องถามหยวนฟาง[1]ก็รู้ว่าเรื่องนี้แปลก

“ระบบ ออกมาเถอะ อย่าเล่นซ่อนแอบกับข้าอีกเลย” สวี่ชีอันหยั่งเชิง

ระบบไม่สนใจเขา

ในหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาพยายามปลุกระบบนับครั้งไม่ถ้วน และความจริงก็บอกเขาว่าไม่มีระบบตั้งแต่ต้น แล้วจะอธิบายโชคแปลกๆ นั่นได้อย่างไร

คิดไม่ถึงว่าคนโชคร้ายที่ซื้อสลากห้าหยวนไม่เคยถูกตั้งแต่เด็กอย่างเขา วันหนึ่งจะพัฒนากลายเป็นคนโชคดีได้ แต่อายุขัยของคนโชคดีสั้นมาก…สวี่ชีอันยิ้มเยาะตัวเองอย่างขมขื่น

สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ เจ้าของร่างเดิมไม่มีโชคที่น่าอัศจรรย์อะไรเลย เพราะหากเขาโชคดังว่าอาสะใภ้คงไม่รังเกียจและปฏิบัติกับเขาดั่งเป็นบรรพบุรุษ

ทั้งครอบครัวคงไม่ต้องดิ้นรน หันไปพึ่งพาเขาเพื่อหาเงินดำรงชีวิตแทน

“ของกำนัลที่ไม่รู้ที่มาเช่นนี้ทำให้รู้สึกไม่สบายใจอย่างบอกไม่ถูก…” ประกายตาของสวี่ชีอันอ่อนลง เขาถอนหายใจ “คงทำได้เพียงค่อยเป็นค่อยไป”

วันนี้วันหยุด สวี่ชีอันกระโดดข้ามกำแพงสูงหนึ่งจั้ง (1 จั้ง ประมาณ 3.33 เมตร) และไปทานอาหารเช้าที่บ้านของอารอง

ลานเล็กๆ ที่เขาอาศัยอยู่เดิมเป็นลานที่แม่บ้านคนหนึ่งของบ้านสกุลสวี่อาศัยอยู่ โดยมีกำแพงกั้นกับบ้านหลังใหญ่

ต่อมาเมื่อแม่บ้านเสียชีวิต ลานเล็กนี้ก็ถูกปล่อยทิ้งไว้ไม่ได้ใช้ จนกระทั่งสวี่ชีอันโต้เถียงกับอาสะใภ้ยกใหญ่และย้ายมาอยู่ที่นี่ด้วยความโกรธเคือง

เจ้าของร่างเดิมเป็นคนดื้อดึง ปกติเขาจะทำอาหารสามมื้อด้วยตัวเอง บางครั้งอารองก็จะนำไวน์กับอาหารข้ามกำแพงมาดื่มกับหลานชาย

สวี่ชีอันในตอนนี้ไม่จำเป็นต้องจ่ายค่าความหมกมุ่นให้เจ้าของร่างเดิม หากจะให้เขาทำอาหารเช้าเองก็ตื่นไม่ไหว หากออกไปกินก็จะเสียเงินมาก

ไปฟังเพลงที่หอคณิกาไม่ดีกว่าหรือ สาเหตุหลักเป็นเพราะได้เห็นเหล่าหญิงสาวที่สวมชุดผ้าโปร่งส่ายก้น

โถงด้านใน

เมื่ออาสะใภ้ที่สวมชุดคลุมแขนกว้างสีแดงเข้มเห็นสวี่ชีอันเดินเข้ามา นางก็เบ้ปากและก้มหน้ากินโจ๊ก

อาสะใภ้ไม่ใช่ลูกสาวของครอบครัวเศรษฐี บิดาเป็นซิ่วไฉ[2] จึงพอนับได้ว่าเป็นครอบครัวที่มีชื่อเสียงด้านวรรณกรรม อาสะใภ้ได้เห็นได้ยินอยู่เป็นประจำจึงพอจะเข้าใจและมีเหตุผล นางเพิ่งยอมรับความเมตตาของหลานชายผู้โชคร้ายจึงรู้สึกเขินอายอยู่บ้าง นางยังเมินหลานชายคนนี้ซึ่งตอนนี้มีกลิ่นอาย ‘อย่ารังแกคนจนที่น่าสงสาร’

เสี่ยวโต้วติงยืนอยู่หน้าม้านั่งทรงกลม บนม้านั่งทรงกลมมีอาหารเช้าของนางวางอยู่ ซาลาเปาเนื้อสามลูก ปาท่องโก๋สองชิ้น กับข้าวหนึ่งอย่าง และโจ๊กข้าวชามใหญ่

“พี่ใหญ่…” นางเรียกอย่างงัวเงีย

“เหตุใดข้าไม่เห็นฉือจิ้ว” สวี่ชีอันถาม

ฉือจิ้วเป็นคำของสวี่ซินเหนียน และคำนี้ก็เป็นคำเสริมของชื่อเขา

“เก็บตัวเขียนบทกวีอยู่ในห้อง” สวี่ผิงจื้อพูด

เมื่อสวี่ชีอันนั่งลง ลวี่เอ๋อก็เสิร์ฟโจ๊กข้าวหนึ่งถ้วย ซาลาเปาเนื้อหกลูก หัวไชเท้าดอง และเต้าหู้อ่อน

ทหารระดับหลอมจิตมีความอยากอาหารเยอะกว่าคนทั่วไปมาก

แต่เมื่อไปถึงระดับหลอมปราณอย่างอาของเขา ความอยากอาหารจะต่างกับคนทั่วไปไม่มาก

กินเพียงครึ่งเดียวก็อิ่ม…สวี่ชีอันเหลือบมองเสี่ยวโต้วติงและถามด้วยสีหน้าอ่อนโยน “หลิงอิน แบ่งซาลาเปาเนื้อให้พี่ใหญ่หนึ่งลูกได้หรือไม่”

ทุกคนมองเขา เด็กสาวในบ้านไม่สนใจอะไรเลย นางสนใจเพียงแค่เรื่องกิน ใครแย่งอาหารในถ้วยของนาง นางจะสู้สุดใจกับคนคนนั้น

“ไม่เจ้าค่ะ!” เสี่ยวโต้วติงกางแขนปกป้องอาหารไว้เหมือนแม่ไก่ปกป้องลูก

“เจ้าอย่ากังวลไป พี่ใหญ่จะไม่ให้เจ้าเสียเปรียบ” สวี่ชีอันหยิบซาลาเปาเนื้อขึ้นมาวางในจานของนางและชี้ไปที่ซาลาเปาเนื้อสี่ลูก

“ซาลาเปาเนื้อสี่ลูกนี้ พวกเราแบ่งกันได้หรือไม่”

สวี่หลิงอินจิกหัว

“ควรจะแบ่งเท่าๆ กันรึเปล่า”

สวี่หลิงอินเอียงคอครุ่นคิด จากนั้นก็พยักหน้า

“ซาลาเปาสองลูกของเจ้า ซาลาเปาอีกสองลูกเป็นของพี่ใหญ่ จากนั้นพี่ใหญ่จะให้ปาท่องโก๋เจ้าอีกครึ่งชิ้น เจ้าได้กำไรใช่หรือไม่”

“อืม” สวี่หลิงอินถูกชักจูง นางรู้สึกว่าตัวเองได้กำไรมาก จึงยิ้มแย้มแจ่มใส

สวี่หลิงเยวี่ย “…”

สวี่ผิงจื้อมองหลานชาย ‘(¬_¬)’

อาสะใภ้โกรธเคือง “ข้าให้กำเนิดลูกสาวที่โง่เขลาเช่นเจ้ามาได้อย่างไร เจ้าทำให้แม่โกรธจนจะคลั่ง!”

เสี่ยวโต้วติงรู้สึกเสียใจมาก เห็นได้ชัดว่านางได้กำไรเป็นปาท่องโก๋ครึ่งชิ้น ทำไมแม่ยังต้องดุนางอีก

เวลานี้สวี่ซินเหนียนเดินเข้ามา เขาพึมพำกับตัวเอง ดวงตาเหม่อลอย เขานั่งลงกินข้าวพลางครุ่นคิด

อาสะใภ้ถอนหายใจออกมา นางเลิกสนใจเด็กสาวผู้โง่เขลา เป็นห่วงเป็นใยลูกชายผู้มีอนาคต

“เหนียนเอ้อร์ เขียนบทกวีอะไรก็ดีทั้งนั้น คนเรามีทั้งจุดแข็งและจุดด้อยของตัวเอง ไม่ต้องสนใจคำนินทากาเลของคนนอกหรอก”

สวี่ซินเหนียนเชี่ยวชาญด้านทฤษฎี แต่บทกวีเป็นจุดอ่อนของเขา

“ฉือจิ้ว เมื่อไหร่เจ้าจะก้าวข้ามไปสู่การเปิดปัญญาและบรรลุถึงระดับบำเพ็ญตนระดับแปดได้” สวี่ชีอันถามทันที

เส้นทางที่สวี่ซินเหนียนเดินคือเส้นทางการฝึกของลัทธิขงจื๊อ สำนักอวิ๋นลู่ก่อตั้งโดยลูกศิษย์ของปราชญ์ลัทธิขงจื๊อและมีประวัติศาสตร์ยาวนานถึงหนึ่งพันสองร้อยปี

เป็นดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่นักปราชญ์ทั่วโลกใฝ่ฝัน

สถานะเหนือกว่าของสำนักอวิ๋นลู่ ไม่เพียงแต่ผู้ก่อตั้งสถาบันเป็นลูกศิษย์ของปราชญ์เท่านั้น จุดที่สำคัญที่สุดคือ มันเป็นเพียงสำนักเดียวที่จะฝึกลัทธิขงจื๊อได้

ระดับเก้าของลัทธิขงจื๊อ ‘เปิดปัญญา’

การเปิดปัญญาเพียงแค่เพิ่มความสามารถในการจำ อ่านหนังสือได้อย่างรวดเร็ว และความสามารถในการเรียนรู้เพิ่มขึ้น แต่ก็ยังคงมีประสิทธิภาพต่ำ

“ข้าไม่รู้ว่าจะเริ่มจากตรงไหน อาจารย์บอกว่าต้องตระหนักรู้ในตนเอง” สวี่ซินเหนียนส่ายหน้าอย่างเศร้าสร้อย

“เจ้ากล่าวถึงระดับเปิดปัญญาได้” สวี่ชีอันพูด “จะบรรลุระดับเปิดปัญญาได้อย่างไร”

สวี่ซินเหนียนจำได้ว่า “ท่องจำพระคัมภีร์ได้อย่างไหลลื่นเพื่อการนำไปปรับใช้ด้วยตัวเอง นั่นคือระดับเปิดปัญญา”

ท่องจำได้อย่างไหลลื่น…นำไปปรับใช้ด้วยตัวเอง…อย่างแรกต้องใช้เวลามากมายไปเพื่อจดจำ อย่างหลังอาศัยความเข้าใจในสิ่งที่ศึกษา สวี่ชีอันพยักหน้าอย่างครุ่นคิด

จุดนี้เหมือนกับระดับหลอมจิตของระบบทหาร ทั้งหมดคือการฝึกฝนร่างกายและทักษะการต่อสู้อย่างยาวนาน

“หากบำเพ็ญตนก็ต้องฝึกฝนร่างกายด้วยใช่หรือไม่” สวี่ชีอันถาม

สวี่ซินเหนียนไตร่ตรองและพูดว่า “นักปราชญ์ขงจื๊อระดับบำเพ็ญตนไร้ซึ่งความกลัว ทุกคำพูดและการกระทำล้วนทำให้ผู้คนเชื่อถือและกระตุ้นจิตวิญญาณในการต่อสู้ได้ ข้าพยายามย้อนวิธีการฝึกจากความสามารถที่ปรากฏให้เห็นในระดับบำเพ็ญตน”

“สำเร็จหรือไม่”

สวี่ซินเหนียนแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินและหันไปพูดกับแม่ “ผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนักศึกษาต้องเดินทางไปชิงโจว หนทางยังยาวไกล วันพรุ่งเหล่านักเรียนของสำนักศึกษาจะนัดพบเขาและนำเสนอบทกวีแก่เขา”

เมื่อพูดถึงตรงนี้สวี่ซินเหนียนก็พูดต่ออย่างเศร้าๆ “ข้ายังไม่ได้เขียนบทกวีอำลา”

สวี่หลิงเยวี่ยพูดเสียงเบา “พี่รองไม่มีพรสวรรค์ด้านบทกวี”

อาสะใภ้จ้องนางและพูดอย่างไม่พอใจ “พี่รองของเจ้าเต็มเปี่ยมด้วยพรสวรรค์ เพียงแค่ไม่เคยใส่ใจวิถีของกวีมาก่อน”

สวี่ผิงจื้อเกาหัว “เขียนส่งเดชไปสักสองสามประโยคสิ ข้ารู้สึกว่าบทกวีที่เจ้าโพล่งออกมาวันนั้นน่าประทับใจมาก”

‘คิกๆๆ…’ สวี่ชีอันหัวเราะออกมา

มุมปากของสวี่ซินเหนียนกระตุกและเปลี่ยนหัวข้อไปดื้อๆ “ผู้อาวุโสท่านนั้นเป็นปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่มีชื่อเสียงไปทั่วใต้หล้าและเชี่ยวชาญบทกวีมาก คนที่ไปส่งเขาล้วนเป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านบทกวี นอกจากความเคารพนับถือในตัวผู้อาวุโสแล้ว ยังมีความคิดที่จะสานสัมพันธ์อีก หากทำให้ผู้อาวุโสท่านนั้นชื่นชมได้ก็จะเป็นประโยชน์ยิ่ง”

ตกลงว่า…สุดท้ายเขาก็คิดเรื่องสานสัมพันธ์

สวี่ซินเหนียนเป็นคนหยิ่งผยองและมั่นใจในตัวเอง เขามักจะเอาแต่พูดว่า ‘มิตรภาพของสุภาพบุรุษก็เหมือนสายน้ำ’ และ ‘สุภาพบุรุษสร้างพรรคแต่ไม่ฝักฝ่ายใด’

หลังจากประสบวิกฤตครั้งนี้เขาก็ตระหนักได้ถึงประโยชน์ของการสานสัมพันธ์ในที่สุด

สวี่ชีอันในฐานะพี่ใหญ่ดีใจมาก

การทำให้เอ้อร์หลางที่ไม่เชี่ยวชาญบทกวีทุ่มเทกายใจเพื่อสานสัมพันธ์ได้น่าจะเป็นคนใหญ่คนโต…อาสะใภ้ร้อนใจ “เช่นนั้นทำอย่างไรดี”

สวี่ซินเหนียนพูดอย่างจนปัญญา “ท่านแม่ บทความที่ดีจะเกิดขึ้นโดยธรรมชาติ บทกวีก็เป็นเช่นนั้น”

เมื่อพูดจบเขาก็ถอนหายใจออกมา “หากข้าสานสัมพันธ์กับผู้อาวุโสแห่งวงการวรรณกรรมท่านนี้ได้ ข้าอาจจะช่วยพวกท่านออกจากคุกได้ คงจะไม่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกเช่นนี้”

อาสะใภ้ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทันที นางใส่ใจอนาคตของลูกชายมากกว่าใครๆ

ปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ที่แท้จริงมีความหยิ่งทะนงในศักดิ์ศรี ไม่อาจมอบตำลึงเงินเป็นของกำนัลได้ ต้องตอบสนองความต้องการของเขา ทำให้เขารู้สึกว่ามีค่าแก่การสานสัมพันธ์และพึงพอใจ

สวี่ผิงจื้อขมวดคิ้วจนเป็นปม “ตาของเจ้าก็เหมือนกับเจ้า เขียนบทความได้ แต่ไม่มีพรสวรรค์ด้านบทกวี”

อาสะใภ้ไม่พอใจ คิ้วเรียวสวยเลิกขึ้น “ท่านหมายความว่าอย่างไร เป็นความผิดของพ่อข้าเหรอ”

“ซินเหนียนสอบผ่านจวี่เหริน[3]ได้ ทั้งหมดเป็นผลงานของบ้านสกุลหลี่ของข้า เพราะเขาเจริญรอยตามข้า ท่านดูหลิงอินสิ เพราะนางเจริญรอยตามท่าน จนถึงตอนนี้นางยังไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรเลย”

รูปลักษณ์ภายนอกของสวี่ซินเหนียนกับสวี่หลิงเยวี่ยเจริญรอยตามแม่ หน้าตาดีจนทำให้ผู้คนอิจฉา โหงวเฮ้งของสวี่หลิงอินเจริญรอยตามพ่อ ดังนั้นนอกจากความน่ารักแล้วนางยังดูเซ่อซ่าอีกด้วย

อารองสวี่พูดไม่ออก

สวี่ชีอันไม่พอใจ “อาสะใภ้ ท่านพูดเช่นนี้ก็ไม่ถูก จากความหมายของท่าน จะสื่อว่ายีนบ้านสกุลสวี่ของข้าโง่เช่นนั้นหรือ”

อาสะใภ้ไม่เข้าใจว่ายีนคืออะไร นางยิ้มเยาะ “เดิมทีเจ้าต้องเป็นคนที่เรียนหนังสือ ไม่ได้เรียนการต่อสู้”

ด้วยความคิดริเริ่มที่จะสานสัมพันธ์ของสวี่เอ้อร์หลาง สถานะของผู้อาวุโสในสำนักท่านนั้นน่าจะไม่ต่ำ เส้นสายของเอ้อร์หลางก็เป็นเส้นสายของข้า เส้นสายของข้าก็ยังเป็นเส้นสายของข้า ต้องช่วยเขา

ความคิดของสวี่ชีอันส่องประกาย เขานึกถึงผลงานชิ้นเอกที่สืบทอดมาแต่โบราณในชาติก่อนที่ใช้เป็นบทกวีอำลาได้

แม้ว่าข้าจะไม่ได้วางแผนคลุกคลีกับกลุ่มนักปราชญ์ขงจื๊อ แต่การใช้ทรัพยากรแลกกับเรื่องที่เป็นประโยชน์อย่างสมเหตุสมผล ทำไมจะไม่ทำเล่า

ในไม่ช้าเขาก็มีความคิดในใจและพุ่งเป้าไปที่บทกวี

สวี่ชีอันกัดซาลาเปาเนื้อเต็มคำ “เขียนบทกวีใช่หรือไม่ วันนี้ข้าจะบอกให้อาสะใภ้รู้ว่าบ้านสกุลสวี่ของข้าแต่ละคนมีพรสวรรค์”

สิ่งที่เขาต้องครุ่นคิดในตอนนี้คือ บทกวีนี้จะโดดเด่นเกินไปหรือไม่ รู้หรือไม่ว่าบทกวีที่เขียนลงไปในตำราได้ล้วนสืบทอดกันมาแต่โบราณ

…………………………………………………………

[1] หยวนฟาง เป็นหนึ่งในตัวละครของภาพยนตร์จีนเรื่อง Amazing Detective Di Renjie ในบทละครมักจะมีฉากที่ตี่กงจะขอคำแนะนำจากหลี่หยวนฟาง ผู้ช่วยของเขา เพื่อนำไปสู่การวิเคราะห์คดี ซึ่งหลี่หยวนฟางมักจะตอบว่า ‘ใต้เท้า ข้าคิดว่าเรื่องนี้แปลก’ หรือ ‘เรื่องนี้ต้องมีความลับใหญ่หลวงอยู่เบื้องหลัง’ คำพูดติดปากของหยวนฟางเป็นที่นิยมบนโลกอินเทอร์เน็ตของจีน

[2] ซิ่วไฉ เป็นคุณวุฒิระดับของผู้ที่ผ่านการสอบเข้ารับข้าราชการจีนในระดับท้องถิ่น

[3] จวี่เหริน คือ ผู้สอบผ่านระดับมณฑล