ตอนที่ 23 งานใหญ่ได้รับการอนุมัติแล้ว

เผยตัวตนลับ จับหัวใจเธอ

ลู่จ้าวอิ่งรับมีดมา แล้วใช้มือลองชั่งน้ำหนักดู 

 

 

เขาโพล่งหัวเราะออกมา 

 

 

คุณนายหลินได้สติอีกครั้ง นี่ไม่ใช่เพื่อนลูกสาวคนโตเธอหรอกหรือ เธอรู้ว่าเพื่อนๆ ของฉินหร่านส่วนใหญ่ทำตัวลับๆ ล่อๆ 

 

 

แต่พวกนี้น่ากลัวเหลือเกิน 

 

 

“ฉัน…” หญิงสาวพูดออกมา น้ำเสียงดูไม่กลัวอีกต่อไป 

 

 

แต่ร่างกายยังคงเกร็งเพราะมีดผ่าตัดที่ห้อยลงมาตรงหน้า 

 

 

“จำไว้ ไปขอโทษเธอด้วย” เฉิงเจวี้ยนมองลงมา 

 

 

เผอิญว่าเป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงลิฟต์ดังขึ้น 

 

 

ตาของหนิงฉิงส่อแววมีความหวัง 

 

 

เธอรีบหันหน้ากลับอย่างรวดเร็ว 

 

 

คุณนายหลินเห็นว่าในขณะที่ประตูลิฟต์เปิดออก ผู้อำนวยการและอาจารย์หมอยืนอยู่ข้างใน 

 

 

“ผู้อำนวยการเจียง คุณอยู่นี่แล้ว!” หญิงสาวไฮโซรีบหันตัวกลับราวกับเห็นนักบุญ 

 

 

แต่สิ่งที่เธอคาดไม่ถึงก็คือ ผู้อำนวยการไม่มองหน้าเธอด้วยซ้ำ เขามองไปยังหนุ่มหน้าหล่อ แล้วพูดขึ้นอย่างสุภาพ “นายน้อยเจวี้ยน ยุ่งอยู่หรือเปล่าครับ ทุกคนรออยู่…” 

 

 

เลือดในตัวหนิงฉิงแทบจะแข็งอยู่ตรงนั้น 

 

 

เฉิงเจวี้ยนส่ายหน้า โทรศัพท์เขาดังขึ้นมาพอดี หมอหนุ่มไม่ได้มองโทรศัพท์ สายตายังคงจ้องเขม็ง 

 

 

หนุ่มหน้าหล่อจ้องหญิงสาว แล้วพูดซ้ำ “จำคำผมไว้ให้ดี” 

 

 

น้ำเสียงนั้นเปี่ยมไปด้วยความเย็นยะเยือกราวน้ำแข็ง 

 

 

ตอนนี้ เธอไม่กล้าพูดอะไร ได้แง่พยักหน้าหงึกๆ 

 

 

“โอเค” คุณชายรูปงามถอนสายตากลับ แม้แต่รอยยิ้มบนใบหน้านั้นก็จางหายไป 

 

 

เขานึกถึงเสื้อผ้ามียี่ห้อที่ถูกตัดเย็บมาอย่างดีที่เธอสวมใส่ แม้กระเป๋าที่หญิงผู้นั้นถือจะไม่ใช่ลิมิเต็ดอิดิชัน แต่ราคาหลายหมื่นทีเดียว ยังไม่นับกำไลฝังเพชรบนข้อมืออีก 

 

 

มันน่าจะราคาหลักล้านขึ้นไป 

 

 

จากนั้นชายหนุ่มพลันคิดไปถึงเสื้อผ้าของเด็กพาร์ตไทม์คนสวย เสื้อผ้านั้นสะอาด แต่ดูเก่าและธรรมดา 

 

 

คุณหมอเฉิงแทบไม่เชื่อว่า ผู้หญิงตรงหน้าเขาจะเป็นแม่แท้ๆ ของฉินหร่านได้ 

 

 

“ถ้าผมได้ยินคุณพูดสามคำนั้นกับเธออีก รู้ใช่ไหมว่าจะเกิดอะไรขึ้น” ผู้พูดจุดบุหรี่แล้วยิ้มให้อีกฝั่ง 

 

 

ปกติแล้ว เฉิงเจวี้ยนเป็นคนสบายๆ แต่เมื่อไหร่ที่จริงจังขึ้นมาละก็ ดวงตาดั่งผลบ๊วยสุกนั่นจะคมหริบและดุร้ายทันที 

 

 

ทั้งทางเดินถูกปกคลุมด้วยความรู้สึกกดดันจางๆ จากตัวหมอหน้าหล่อ ที่แม้แต่ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยังไม่กล้าเข้ามาขัด 

 

 

คุณนายหลินไม่รู้ว่าชายหนุ่มผู้นี้เป็นใคร แต่รู้ว่าแหย็มเขาไม่ได้ ตอนนี้ เธอพูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงพยักหน้า 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งเก็บมีด ถอยตัวออกมาด้านข้าง เขาเชิดคางใส่เธอ “ออกไปได้แล้ว” 

 

 

อีกฝ่ายไม่กล้าแม้แต่จะหันหลังกลับมามอง เธอรีบแจ้นไปทางห้องผู้เป็นแม่ด้วยความเหนื่อยหอบ 

 

 

เสียงฝีเท้านั้นก้าวไม่เป็นจังหวะราวกับกำลังรีบหนีบางอย่าง 

 

 

ผู้ช่วยหนุ่มทำเสียงหึๆ “ดูสิ เธอกลัวคุณขนาดไหน” 

 

 

หมอหนุ่มชำเลืองดูเพื่อน แล้วเลิกคิ้ว ท่าทียังคงสงบและสุขุม จากนั้นเขาจึงถมขึ้นว่า “ฉันทำเธอกลัวเหรอ” 

 

 

ลู่จ้าวอิ่ง “…” 

 

 

“นายน้อยเจวี้ยนครับ ห้องประชุม…” ผู้อำนวยการมองมายังเฉิงเจวี้ยน เขาไม่ได้ถามเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น 

 

 

ทว่าสายตาส่อแววความสงสัยใคร่รู้ 

 

 

แต่นายน้อยเจวี้ยนไม่ได้สนใจ เขาพูดขึ้นเนิบๆ “เดี๋ยวผู้ช่วยลู่จะอธิบายขั้นตอนให้คุณฟัง ผมขอกลับก่อน” 

 

 

วันนี้เป็นวันที่หมอหนุ่มมีนัดผ่าตัด ซึ่งจะเกิดขึ้นเดือนละครั้ง ฝั่งคนไข้เป็นเศรษฐี หลังจากทราบว่าหมอเจวี้ยนไม่ได้อยู่ที่ปักกิ่งแล้ว เขารีบจัดการย้ายมาโรงพยาบาลที่อวิ๋นเฉิงทันที 

 

 

หมอหนุ่มมาเพื่อพูดคุยเรื่องแผนการผ่าตัดคนไข้ และไม่ได้คาดคิดว่าจะเจอฉินหร่านอีก  

 

 

ฝ่ายผู้ช่วยเองกำลังคิดเรื่องหนิงฉิง และเมื่อได้ยินแบบนั้น เขาจึงชี้ไปที่จมูกอย่างไม่เชื่อหู “นายอยากให้ผมพูดเรื่องผ่าตัดเหรอ” 

 

 

ฝ่ายเจ้านายหันข้างให้ โดยงับบุหรี่อยู่ ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยควันจาง และกระตุกยิ้มออกมาก “แล้วยังไงเหรอ” 

 

 

“…เข้าใจแล้วครับ” ลู่จ้าวอิ่งลังเลเล็กน้อย 

 

 

คุณหมอเจ้าของเคสไม่พูดพร่ำอะไรต่อ เขายื่นมือไปกดปุ่มลิฟต์ แล้วลงไปยังลานจอดรถชั้นใต้ดิน 

 

 

วันนี้ เฉิงเจวี้ยนยังขับรถโฟล์กคันเดิม 

 

 

เมื่อผ่านไปหน้าป้ายรถเมล์ เด็กผู้หญิงที่อยู่บนม้านั่งยังคงเล่นเกม ชันขาขึ้น ท่าทางเด็กคนนั้นดูเหมือนพวกอันธพาล ท่าทางคงกำลังรอรถเมล์อยู่ 

 

 

หมอหนุ่มจอดรถ แล้วถามขึ้น “จะไปไหนน่ะ” 

 

 

เสียงเขาราบเรียบและเนิบนาบ 

 

 

เมื่อได้ยินเสียง มู่หยิงเงยหน้าขึ้นเป็นคนแรก 

 

 

หน้าต่างรถถูกลดลงมา เด็กสาวจึงมองเข้าไป ใบหน้าราวกับเทพบุตรโผล่ขึ้นมา จนทำให้เธอพูดไม่ออก และยืนค้างราวกับคนโง่อยู่ตรงนั้น 

 

 

ฉินหร่านก็ได้ยินเสียงเขาเช่นกัน 

 

 

สุดท้ายจึงได้เงยหน้าจากจอขึ้นมา เพราะรถเมล์ยังไม่มาเสียที เด็กหน้าสวยจึงคิดทบทวน แล้วขอที่อยู่ของหนิงเว่ย ก่อนจะพูดทวนให้เจ้านายหนุ่มสุดหล่อฟัง 

 

 

“เข้ามาสิ” ชายหนุ่มวางนิ้วไว้บนพวงมาลัย 

 

 

“นี่คือ…” ผู้เป็นป้าดูลังเลเล็กน้อย และไม่รู้จะพูดอะไรต่อ 

 

 

“ขึ้นรถก่อนค่ะ” หลานสาวคนสวยไม่รู้ว่าต้องรอนานแค่ไหนกว่ารถเมล์จะมา หลังเปิดประตู ป้าหนิงขึ้นรถไป 

 

 

ลูกพี่ลูกน้องมองดูตอนที่พี่น้องคนสวยขึ้นไปนั่งเบาะหน้า แถมยังยื่นหมากฝรั่งให้โดยไม่ได้ถามก่อน เด็กสาวรู้ว่าพวกเขาเป็นเพื่อนของฉินหร่านแน่ๆ 

 

 

เธอนอนเอกเขนกพิงหน้าต่างรถ 

 

 

เด็กสาวรู้ว่ารถคันนี้เป็นรถโฟล์ก 

 

 

หนิงเว่ยอาศัยในตรอกเก่าๆ ที่นั่นไม่มีแสงไฟ ทำให้มืดมาก รถเข้าไปไม่ได้ด้วยซ้ำ 

 

 

เด็กสาวผู้เป็นญาติเดินไปกับพวกเขา 

 

 

ในขณะที่รถของคุณชายยังจอดตรงหน้าตรอก 

 

 

“พี่คะ เมื่อกี๊เพื่อนเหรอคะ” มู่หยิงอดที่จะถามขึ้นไม่ได้ 

 

 

“คงงั้นมั้ง พี่ทำงานให้พวกเขา” อีกฝ่ายล้วงมือในกระเป๋า 

 

 

ไม่มีใครพูดอะไรอีก ลูกเจ้าของบ้านในตอกเอ่ยปากขึ้นอีกครั้ง แต่เปลี่ยนเรื่องคุย “พี่ หนูกับมู่หนานกำลังจะไปเรียนที่โรงเรียนอี่จงอีกไม่กี่วันแล้ว” 

 

 

ฉินหร่านพยักหน้ารับรู้ เด็กคนนี้อ่อนกว่าเธอสามปี มู่หยิงและมู่หนานเป็นแฝดเทียม ทั้งสองคนเรียนเก่งทั้งคู่ 

 

 

พวกเขาจะไปเรียนที่อี่จงปีนี้ 

 

 

คุณภาพโรงเรียนในหมู่บ้านหนิงไห่ไม่ค่อยดี ไม่อย่างนั้น แม่ของเด็กแฝดคงไม่ย้ายลูกมาเรียนที่อวิ๋นเฉิง 

 

 

ตึกเรียนคุณภาพชั้นเยี่ยมของโรงเรียนเพิ่งจะสร้างเสร็จไป จึงทำให้เด็กมัธยมสี่เริ่มเปิดเทอมช้ากว่าปกติ พวกเขาเปิดเรียนวันที่สิบห้ากันยายน กว่าจะถึงวันนั้น ก็ยังอีกหลายวัน 

 

 

“โรงเรียนอี่จงเป็นไงมั่งคะ” แฝดสาวมองไปที่ลูกพี่ลูกน้อง แล้วถามเพื่อเก็บข้อมูลล่วงหน้า “พี่รองก็เรียนที่เดียวกันใช่ไหมคะ ได้ยินแม่บอกว่าเธอติดท็อปห้า และอยากเรียนต่อที่มหาวิทยาลัยปักกิ่ง” 

 

 

ถึงแม้เด็กสาวจะมีผลการเรียนดีมากที่หมู่บ้านเดิม เธอก็ไม่เคยฝันว่าจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยปักกิ่ง ดูน่าจะเป็นไปได้สำหรับมู่หนานมากกว่า 

 

 

“ทุกโรงเรียนก็เหมือนกันหมดแหละน่า” เด็กหน้าสวยโบกไม้โบกมือ พูดอย่างไม่ใส่ใจนัก “เดี๋ยวเธอก็รู้ตอนไปถึง ป้าคะ หนูกลับก่อนนะ” 

 

 

“ระวังตัวด้วย” หนิงเว่ยไม่ได้ให้หลานเข้าบ้านเช่นกัน พวกเขาเพิ่งมาถึงที่นี่วันนี้ เพราะฉะนั้น ข้าวของจึงยังระเกะระกะอยู่ 

 

 

หากหลานคนนี้เข้าไป มีหวังเธอต้องอยู่ช่วยทำความสะอาดแน่ๆ 

 

 

พอลูกพี่ลูกน้องกลับไป มู่หยิงมองไปทางทิศที่รถจอดทิ้งไว้ แล้วอดพูดไม่ได้ “แม่คะ ทำไมพี่ใหญ่ถึงรู้จักคนเยอะจัง ดูเหมือนเป็นคนรวยทั้งนั้น” 

 

 

สำหรับเธอ ใครที่มีรถนับว่าเป็นคนรวย 

 

 

พ่อของแฝดพี่น้องอยู่ในสภาพผัก และมีค่าใช้จ่ายประจำวันบานตะไท มีเพียงแม่ที่ทำงานประทังชีวิตพวกเขาไปวันๆ 

 

 

เพราะฉะนั้นลืมเรื่องรถไปได้เลย แม้แต่การซื้อเสื้อผ้ายังเป็นเรื่องลำบากสำหรับพวกเขา 

 

 

มู่หยิงและฉินหร่านไม่ได้เจอหน้ากันมาปีเศษแล้ว แต่เธอจำได้ว่า ตอนที่ยังเด็ก มีเพียงลูกพี่ลูกน้องคนโตและคุณยายที่จะซื้อลูกอมให้เธอกับพี่ชาย พวกเขาไม่ได้ดูถูกเธอเหมือนกับคนอื่นๆ ในตระกูล 

 

 

“เพื่อนของพี่เขาหน้าตาหล่อๆ ทั้งนั้นเลยเนอะ” หนิงเว่ยคิดแล้วพูดออกมา 

 

 

มู่หยิงไม่ได้พูดอะไรต่อ สุดท้ายเมื่อคิดเรื่องที่ได้ย้ายมาอวิ๋นเฉิงและจะได้ไปเรียนที่อี่จง เด็กสาวก็รู้สึกตื่นเต้น “แม่คะ เสื้อผ้าพวกนี้คับเกินไปแล้ว เราซื้อชุดใหม่ได้ไหมคะ” 

 

 

ผู้เป็นแม่นิ่งไป แล้วจึงยิ้มออกมา “ได้สิ ไว้แม่จะพาไปซื้อของพรุ่งนี้นะ” 

 

 

มู่หนานได้ยินเสียงแม่และน้อง จึงได้เปิดประตูบ้านให้ 

 

 

ตระกูลหนิงไม่ได้เกิดมาหน้าตาขี้ริ้วขี้เหร่ เช่นเดียวกับพวกลูกๆ ของหนิงเว่ย มู่หนานมีใบหน้าที่หล่อเหล่า และหน้าตาดีกว่าแฝดหญิงของเขา 

 

 

เพียงแต่ใบหน้าเขาช่างเย็นชา 

 

 

พอได้ยินที่แม่และน้องคุยกัน เขาพูดขึ้นอย่างเฉยชา “ไม่ต้องครับ ซื้อให้น้องพอ เสื้อผ้าผมยังไม่คับ” 

 

 

หนิงเว่ยมองไปที่ข้อเท้าที่โผล่ออกมา แล้วทำหน้านิ่ว “มู่หนาน…” 

 

 

“เอาล่ะ ผมไปเรียนต่อละ” แฝดชายหันหลังกลับไปที่ห้อง แล้วปิดประตู 

 

 

เธอมองไปรอบบ้าน ข้าวของทุกอย่างถูกจัดเรียงโดยลูกชาย 

 

 

“แม่คะ ทำไมวันนี้ถึงไม่ยอมรับเงินป้าหนิงคะ” ลูกสาวไปดูห้องตัวเองพร้อมกับแม่ 

 

 

หนิงเว่ยส่ายหัว “ป้าลูกร่ำรวย แต่คนเราต้องช่วยคนที่อดอยาก ไม่ใช่แค่คนจน ป้าไม่มีหน้าที่ต้องมาแบกาภระของพวกเรา นอกจากนี้ ที่พ่อลูกเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ พ่อคงเสียไปนานแล้ว ถ้าไม่ได้ป้าช่วย แล้วแม่จะมีหน้ารับเงินมาได้ยังไง หยิง หยิง จำไว้นะ ป้ามีเงิน แต่เป็นเงินตระกูลหลิน การต้องเป็นแม่เลี้ยงไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น ป้าให้อะไรมาก็ต้องปฏิเสธหมด เข้าใจไหม” 

 

 

ผู้เป็นลูกเม้มปาก “ค่ะ” 

 

 

หญิงสาวเจ้าของบ้านถอนหายใจ 

 

 

เธอจัดเรียงของที่เหลือให้เป็นระเบียบ 

 

 

ผู้เป็นลูกช่วยมารดาจัดเก็บของ เธอรู้สึกกังวลที่โรงเรียนกำลังจะเริ่มแล้ว “หนูได้ยินมาว่าดาวโรงเรียนอี่จง คือ พี่รอง พี่เขาเล่นไวโอลินเก่งมาก ทุกคนนอกโรงเรียนรู้ด้วยว่าที่นั่นมีเดือนโรงเรียนด้วย คิดว่าน่าจะแซ่สวี แถมเขารู้จักกับพี่รองด้วย…” 

 

 

พี่สาวของหนึ่งในเพื่อนร่วมชั้นเธอเคยเรียนที่โรงเรียนอี่จง ช่วยปิดภาคฤดูร้อน เธอได้ยินเพื่อนคนนั้นพูดคุยกัน แถมยังเห็นภาพโรงเรียนด้วย เลยรู้ว่าโรงเรียนนี้สวยแค่ไหน 

 

 

** 

 

 

ฉินหร่านเดินกลับไป 

 

 

เธอเพิ่งรู้ว่าหมอหนุ่มเดินตามพวกเขาอยู่ไม่ไกล 

 

 

พอเห็นเด็กพาร์ทไทม์เดินกลับมา เขาหันหลัง แล้วอัดบุหรี่ 

 

 

เด็กสาวเปิดประตูรถด้านหลัง ชายหนุ่มที่สูบบุหรี่เพียงแต่ปรายตามองเธอ เขาเดินไปอีกทาง แล้วบิดกุญแจ 

 

 

คุณชายเฉิงไม่ได้ขับกลับโรงเรียนทันที แต่ไปแวะรับผู้ช่วยที่โรงพยาบาลก่อน 

 

 

ลู่จ้าวอิ่งนอนราบพิงเบาะข้างคนขับ แล้วมองดูผู้โดยสาวอีกคนเล่นเกมอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็เกาหัวตัวเอง “นี่ น้องหร่าน ทำไมถึงเงินขาดมือเหรอ” 

 

 

เด็กสาวที่เล่นเกมไม่อยากตอบเขา เธอเพียงแค่เลิกคิ้วอย่างเย็นชาให้ 

 

 

ฝ่ายที่ถามเสียวสันหลังไปแป๊บเดียว “เธอไม่ต้องตอบฉันหรอก ไม่ต้องตอบเลย” 

 

 

พอหันหน้าไปอีกทาง ผู้ช่วยลู่หยิบมือถือขึ้นมาเตรียมจะเล่นเกมที่เด็กสาวเล่น ตอนที่กำลังเปิดเกมอยู่นั้น ข้อความก็เด้งขึ้นมาส่วนบนหน้าจอพอดี 

 

 

ชายหนุ่มตาเบิกกว้าง ส่งเสียงดัง “ยัยตัวแสบนี่! นายน้อยเจวี้ยน…ผู้ชายคนนั้น…งานใหญ่นั่น…เขารับทำแล้ว!” 

 

 

“เอี๊ยดดด” 

 

 

เสียงเบรกกะทันหันดังขึ้น 

 

 

แล้วรถก็จอดทันที