บทที่ 22 ประหลาดใจ Ink Stone_Romance
ทุกสิ้นเดือนฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลเฉิงจะทำการตรวจสอบบัญชี นางเป็นผู้ดูแลเรื่องนี้มานานหลายปี หลับตาฟังก็ยังพอจะรู้ได้
“เหตุใดถึงมีรายจ่ายมากกว่าเดือนก่อนล่ะ” นางลืมตาขึ้นแล้วถามออกไป
แม่นมนั่งเรียงรายกันอยู่ด้านหน้ารีบเปิดสมุดบันทึกกันจ้าละหวั่น
“เรียนฮูหยินเจ้าค่ะ เป็นเพราะครัวของฮูหยินรองเพิ่มน้ำแกงคลายร้อนเจ้าค่ะ” แม่นมคนหนึ่งกล่าว
น้ำแกงคลายร้อนถ้วยหนึ่งจะสักเท่าไหร่กันเชียว
ฮูหยินใหญ่พยักหน้า แต่ทว่าที่ผ่านมาฮูหยินรองเองก็ไม่เคยทาน เหตุใดจึงคราวนี้ถึงทานล่ะ
แม่นมอีกคนพูดขึ้นต่อ
“ฮูหยินรองสั่งชุดฤดูกาลใหม่เจ้าค่ะ” นางเอ่ย
ฮูหยินใหญ่ขมวดคิ้วเล็กน้อย เสื้อผ้าทั้งสี่ฤดูของเรือนจะตัดตามกำหนด นี่ยังไม่ทันเปลี่ยนฤดูกาล เหตุใดถึงตัดเสื้อใหม่แล้วล่ะ
ทว่าต่อหน้าเหล่าสาวใช้นางจะแสดงความสงสัยไม่ได้เด็ดขาด ไม่เช่นนั้นหากมีการพูดกันปากต่อปาก อาจกลายเป็นเรื่องได้
โดยเฉพาะความสัมพันธ์ระหว่างสะใภ้ของพี่กับน้อง
“ข้าลืมไปได้อย่างไร ข้าเป็นคนพูดเองแท้ๆ ” นางกล่าว
แม่นมประจำเรือนยิ้มที่ฮูหยินมีเรื่องต้องดูแลมากมายจนจำเรื่องนี้ไม่ได้ แต่พวกนางนั้นรู้ดีอยู่แก่ใจว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร
หลายปีที่ผ่านมามีเพียงเรือนใหญ่วางตัวดีมาตลอด ส่วนเรือนรองเปลี่ยนไปแล้ว
อย่าดูถูกน้ำแกงเพียงถ้วยเดียวหรือเสื้อผ้าใหม่เพียงหนึ่งชุด
สำหรับหญิงสาวแล้ว การตอบโต้ที่เล็กน้อยที่สุดต่างหากคือการตอบโต้ที่แท้จริง
ข่าวลือต่างๆ นานาเริ่มกระจายไปตามเรือนอย่างช้าๆ
หลังจากตรวจบัญชีเสร็จ ในที่สุดฮูหยินใหญ่ก็ว่าเดือนนี้กำลังจะผ่านไปเสียที นางรู้สึกเหนื่อยล้าทั้งกายใจ
ไม่รู้ว่าเหตุใดในใจของนางจึงรู้สึกหนักอึ้งอย่างบอกไม่ถูก มีเรื่องราวเกิดขึ้นเรื่องแล้วเรื่องเล่า ราวกับไม่มีวันใดที่จิตใจได้พักผ่อน
แต่ก่อนไม่เคยเป็นเช่นนี้ แล้วมันเริ่มขึ้นตั้งแต่เมื่อใดกัน
“ท่านแม่ ท่านแม่เจ้าคะ” เสียงของแม่นางเฉิงหกดังมาจากด้านนอก “ข้าไม่อยากให้นังบ้านั่นอยู่ในเรือน!”
อ๋อ ใช่ นังบ้านั่นเอง!
ฮูหยินใหญ่แห่งตระกูลเฉิงคิดอะไรได้บางอย่าง
เรื่องราวทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นตั้งแต่นังบ้านั่นเข้ามาอยู่ในเรือนนี่เอง
เมื่อมาคิดดูดีๆ แล้ว ตั้งแต่นังบ้านั่นมาอยู่ที่นี่ คนในตระกูลเฉิงก็ไม่เคยสบายใจอีกเลย
ตอนที่นางยังเด็ก ในเรือนก็มีแต่ความโศกเศร้า นายท่านเครียดแทบตาย แม่บังเกิดกล้าก็ตรอมใจจากไปอีก จนคนในตระกูลเฉิงไม่มีใครกล้าออกบ้าน
หลังจากส่งนางออกไป ชีวิตของคนในตระกูลดีวันดีคืน กิจการของเรือนใหญ่เจริญรุ่งเรือง เส้นทางราชการของเรือนรองราบรื่น สะใภ้ที่แต่งเข้าใหม่กิริยางดงาม ทั้งยังเพรียบพร้อมไปด้วยบุตรชายและบุตรสาว ไม่ว่าจะในเรือนหรือนอกเรือนล้วนเป็นไปตามปรารถนา และไม่ว่าจะเป็นคนในเรือนหรือคนนอกเรือนก็ประสบความสำเร็จกันถ้วนหน้า
แต่นังบ้านั่นดันกลับมาอีก
คืนที่นางกลับมา ฮูหยินเรือนรองที่แสนอ่อนหวานมาโดยตลอดก็ทะเลาะกันต่อหน้าพวกเขา ทำให้นางเห็นว่าน้องสะใภ้ที่แสนเรียบร้อยมาตลอด ที่แท้ก็มีอารมณ์โกรธเช่นนี้เหมือนกัน
ฮูหยินใหญ่เฉิงถอนหายเฮือกใหญ่อีกครั้ง
“ท่านแม่ ท่านแม่อย่าเอาแต่ถอนหายใจสิเจ้าคะ รีบไล่นังบ้านั่นออกไปสิเจ้าคะ!” แม่นางเฉิงหกเอ่ยพลางเขย่าแขนของแม่
ฮูหยินใหญ่เฉิงได้สติกลับมา
“เกิดอะไรขึ้นอีกรึ” นางถามด้วยเสียงไร้เรี่ยวแรง
“ท่านแม่ ถ้ามันยังอยู่ ข้าก็ออกจากเรือนไม่ได้” แม่นางเฉิงหกกล่าว รู้สึกเสียหน้าทั้งและโมโห “วันนี้ข้าไปชมสวนดอกไม้ที่เรือนแม่นางต่ง ข้าถูกผู้อื่นเหน็บแหนม ตอนนี้คนทั้งเมืองรู้แล้วว่านังบ้านั่นกลับมาแล้ว”
เจียงโจวเล็กเพียงเท่านี้ หากมีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น พริบตาเดียวก็กระจายจากไปทั่วทุกสารทิศแล้วนับประสาอะไรกับตระกูลเฉิงเล่า มีสายตากี่ร้อยคู่จ้องมองมาที่นี่ หากรู้ก็คงไม่แปลก
“พวกเขาไม่ได้เพิ่งรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรกเสียหน่อย” ฮูหยินใหญ่เฉิงกล่าว “เจ้าไม่ต้องไปสนใจ ถ้ากลัวว่าจะมีปัญหา ช่วงนี้เจ้าก็อย่าออกไปข้างนอก รอให้พวกเขาพูดจนเบื่อ เดี๋ยวพวกเขาก็หยุดเอง”
จะให้แม่นางเฉิงหกอย่างนางหลบซ่อนตัวหดหัวอยู่ในกระดองเต่าอย่างนั้นรึ น่าอับอายยิ่งนัก
“ท่านแม่ ถ้าเช่นนั้นข้าไม่ต้องออกจากเรือนทั้งชีวิตเลยก็แล้วกัน! ข้าจะไม่แต่งงานแล้วด้วย! จะแต่งกับใครล่ะ! ใครจะกล้าแต่งกับข้าที่เป็นพีน้องกับนังบ้านั่น! ” เธอเอ่ย จากนั้นก็สะบัดแขนวิ่งออกไป
ฮูหยินใหญ่เฉิงเรียกอยู่หลายครา แต่ก็ไม่ได้ผล ได้แต่ส่ายหน้าอย่างจนปัญญา
“นิสัยเอาแต่ใจของแม่นางหกนับวันยิ่งไปกันใหญ่” นางกล่าว
“ฮูหยินเจ้าคะ สิ่งที่แม่นางหกกังวลก็พอมีเหตุมีผลอยู่บ้าง” สาวใช้คนหนึ่งกล่าว
“เจ้าจะเอาแต่ใจตามเด็กด้วยงั้นรึ” ฮูหยินใหญ่เฉิงตำหนิสาวใช้นางนั้น
“แม้จะเป็นเพียงการหยอกล้อเล่นกันของเด็กสาว” สาวใช้กล่าว “แต่หากเล่นมากเกินก็คงไม่ดี โดยเฉพาะสาวๆ ในเรือนของเราก็ใกล้ถึงคราออกเรือนแล้วค่ะ”
ฮูหยินใหญ่เฉิงนั่งหลังตรง แล้วหยุดพัดในมือลง
เป็นพี่น้องกับคนบ้านั้นไม่ใช่เรื่องน่ายินดีจริงๆ โดยเฉพาะกับเหล่าตระกูลใหญ่ที่มีข้อห้ามมากมาย
ในคืนนั้น ฮูหยินใหญ่เฉิงก็คุยกับนายใหญ่เฉิงเรื่องนี้ทันที
“แต่ว่า แล้วมีวิธีไหนล่ะ คนเป็นๆ ทั้งคน อยากจะไล่ให้ไปก็ใช่ว่าจะทำได้ง่ายๆ ยังไม่ต้องนึกถึงว่าคนนอกจะเล่าลือกันว่าอย่างไร ไหนจะคนตระกูลโจวอีก” นายใหญ่เฉิงกล่าวอย่างหัวเสีย
“ส่งออกไปจากเรือนเลยดีไหมเจ้าคะ” ฮูหยินใหญ่กล่าว “ไม่ใช่แค่ปิ้งโจวที่มีวัดเต๋า ตระกูลเราก็มีเหมือนกัน”
“ถึงส่งออกไปจากเรือน คนก็ยังอยู่ แล้วมันจะต่างกันอย่างไรเล่า” นายใหญ่เอ่ย ก่อนดื่มน้ำชาคั่วพร้อมชมไม่หยุดปากว่า “ชาคั่วที่ส่งมาจากเตียนหนานนี่ดีจริงๆ เสียดายที่ราคาแพงไปหน่อย”
“แพงแค่ไหนกันเชียว จะไม่มีชาให้ท่านดื่มสักคำเลยงั้นรึ” ฮูหยินใหญ่หัวเราะ “งั้นเอาแบบนี้ก็แล้วกัน ข้าจะไปคุยกับน้องสะใภ้ หาฤกษ์แล้วส่งนางออกไป เดิมทีนักบวชเต๋าก็บอกว่า อยู่ที่วัดเต๋าจะเป็นการดีต่อนางเอง”
แค่คนบ้าคนหนึ่งไม่ได้สำคัญอะไรกับนายใหญ่ตระกูลเฉิงนัก เขาเพียงพยักหน้ารับอย่างไม่ใส่ใจ
แต่พอฮูหยินใหญ่ไปหารือกับฮูหยินรอง ฮูหยินรองกลับไม่ให้ฮูหยินใหญ่เป็นคนตัดสินใจอย่างที่เคยเป็นมา
“รอก่อนอีกสักหน่อยไม่ดีกว่าหรือ” นางกล่าว “ส่งไปตอนนี้เกรงว่าจะไม่ดีนัก”
ฮูหยินใหญ่ประหลาดใจ
“รออะไรรึ” นางถาม
“ทางตระกูลโจวยังไม่มีข่าวคราวอะไรใช่หรือไม่” ฮูหยินรองถาม “ในเมื่อพวกเขาตั้งใจส่งคนมาถึงที่นี่ หากเราส่งนางไปวัดเต๋า แล้ววันดีคืนดีพวกเขาหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเอาความ ก็คงไม่ใช่เรื่องดีแน่ รอพวกเขาส่งข่าวมาก่อน แล้วค่อยส่งนางออกไปจะดีกว่า”
ฮูหยินใหญ่คิดตาม พยักหน้าเห็นด้วย
ตระกูลโจวส่งคนมาตอนนี้ ไม่รู้ว่าต้องการอะไร ระวังไว้ก่อนดีกว่า
ฮูหยินรองเม้มปากหลังจากฮูหยินใหญ่เดินออกไป
“ส่งออกไปงั้นรึ นี่มันคนในเรือนรองของข้า ข้ามีศักดิ์เป็นแม่ของนาง หากคนนอกพูดกันขึ้นมา ก็มีแต่จะต่อว่าข้าน่ะสิ เหตุใดคนที่ได้คุณความดีกลับเป็นเจ้า” นางเอ่ยเสียงต่ำ ก่อนจะรวบพัดแล้วฟาดมันลงไปกับโต๊ะ นางมองสาวใช้แล้วกล่าวว่า “พัดอันนี้ไม่ดี ข้าได้ยินว่าห้องสมบัติได้พัดมาใหม่ เจ้าไปเลือกแล้วเอามาให้ข้าที”
แม้เรื่องที่จะส่งไปวัดเต๋าถูกระงับไว้ แต่ฮูหยินใหญ่ก็เปลี่ยนที่พักให้กับเฉิงเจียวเหนียง
เพราะแม่นางเฉิงหกลูกสาวของนางไม่ออกจากเรือนตามที่เธอกล่าวจริง แม่นางเฉิงเจ็ดเองวิ่งมาบอกเหมือนกันว่าพวกนางไม่สามารถชมสวนได้อีกแล้ว เพราะพวกเขาจะตกใจหากนังบ้านั่นอยู่ในสวน
สำหรับเฉิงเจียวเหนียงแล้วจะพักที่ใดก็ไม่สำคัญ นางจึงย้ายบ้านตามคำสั่ง
การที่คนในเรือนเปลี่ยนห้องไม่ใช่เรื่องใหญ่โต แต่ถ้ามีคนเจ็บป่วยต่างหากถึงจะเป็นเรื่องใหญ่
นายท่านเฉิงเดินรีบร้อนเข้าไปเรือนของท่านชายเฉิงสี่ มีคนมากมายยืนอยู่แล้วในห้องนั้น แม่นมของท่านชายเฉิงสี่ร้องห่มร้องไห้จนลุกไม่ขึ้น “ก็เห็นดีๆ อยู่ เหตุใดจึงล้มป่วยได้ล่ะ” นายใหญ่ถาม
ท่านชายเฉิงสี่นอนหงายอยู่บนเตียงนอน ใบหน้าซีดขาว เหงื่อไหลไม่หยุด หายใจออกมากกว่าหายใจเข้า
“ท่านพ่อ หมอบอกว่า ท่านพี่สี่ป่วยเป็นไข้ใจ” แม่นางเฉิงหกรีบพูดแทรกขึ้นมา น้ำเสียงมีความเยาะเย้ยแฝงอยู่
คำพูดของนาง ทำให้คนในห้องทำอะไรไม่ถูก
ฮูหยินใหญ่ใบหน้าซีดเผือดทรุดลงข้างเตียง
“แม่นางหก ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ท่านชายสี่เจอผี” แม่นมของท่านชายสี่เอ่ยสะอื้น
นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน นายใหญ่แห่งตระกูบเฉิงขมวดคิ้วอย่างไม่เข้าใจ
……………………………………………………………