บทที่ 21 หญิงงาม Ink Stone_Romance

แม่นางเฉิงสี่เอ่ยเสียงเบาว่าแย่แล้ว นางรีบพยักหน้าตามเพียงเพราะต้องการให้บทสนทนานั้นผ่านไป แต่แม่นางเฉิงหกกลับหัวเราะขึ้น

“เจ้าเพิ่งจะแปดขวบ จะไปเอาความงามมาจากไหนกัน” นางเอ่ย

แม่นางเฉิงเจ็ดเบะปากมองนาง

“ข้างามกว่าเจ้าอีก ทุกคนพูดเช่นนั้นกันหมด” นางตอบ

“ใครบอกเจ้า คำพูดหลอกเด็กเจ้าก็เชื่อรึ” แม่นางเฉิงหกตอบไปขำไป

ท่านชายเฉิงสี่ทนฟังไม่ไหวจึงรีบลุกออกไป เหล่าสาวน้อยสนใจเพียงเรื่องตรงหน้า ไม่ได้สนใจเขาเลย

ท่านชายเฉิงสี่เดินออกไปสูดอากาศ ได้ยินเสียงเจี๊ยวจ๊าวของสาวๆ ข้างในที่เหมือนเริ่มทะเลาะกันแล้ว

เขาส่ายหน้า เดินผ่านสวนดอกไม้มุ่งหน้าออกไปจากเรือน เดินไปยิ้มไป

เขารู้แต่แรกแล้วว่ามีน้องสาวคนใหม่มาอยู่ที่เรือน ก็ไม่ใช่น้องสาวคนใหม่หรอก ลูกพี่ลูกน้องคนนี้เขาพอจะจำได้อยู่บ้าง

ช่วงฤดูหนาว เด็กอ้วนไม่สมประกอบส่งกลิ่นฉุนนอนอยู่บนเตียง เขาชะเง้อหัวมองจากด้านหลังของแม่นม พอดีกับตอนที่เด็กหญิงผู้เบิกตาขาวโพลนจ้องมองมาที่เขา น่ากลัวเสียจนเขาวิ่งเตลิดออกไป

ท่านชายเฉิงสี่สะบัดหัว ขจัดภาพความทรงจำที่ลืมเลือนไปแล้วออกไป

เสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้นเหนือศีรษะของเขา

ท่านชายเฉิงสี่อึ้งไปครู่หนึ่ง อันที่จริงไม่มีข้อห้ามอะไรหรอก พี่น้องในตระกูลพักล้วนแต่พักอาศัยอยู่บริเวณใกล้เคียงสวนนี้ ปกติก็มีแต่พวกหล่อนนั่นแหละที่มาวิ่งเล่นที่นี่

ทว่าตอนนี้เหล่าสาวโสดในเรือนกำลังต่อปากต่อคำกันอยู่ เสียงนั้นคงเป็นของสาวใช้ที่เดินผ่านมา

ท่านชายเฉิงสี่หันไปเห็นเงาของใครคนหนึ่งวิ่งผ่านภูเขาหินที่อยู่ไม่ไกลนัก

กระโปรงสีแดง ผมเงาตั้งสูงเหนือเมฆ รูปร่างอรชร

ตามหนทางที่คดเคี้ยว ภูเขาหินตั้งตระหงาน ภาพที่อยู่ตรงหน้าสวยงามราวกับภาพวาด ในภาพมีเด็กผู้หญิงอายุราวสิบห้าสิบหกปียืนอยู่บนโขดหิน กำลังเอื้อมไปจับต้นหลิวที่ย้อยลงมา

เด็กผู้หญิงจอมซนคนนี้ ทำให้มุมปากของท่านชายเฉิงสี่ยกยิ้มอย่างไม่รู้ตัว นี่น้องสาวคนไหนกัน เหตุใดจึงไม่เคยเห็นมาก่อน

เขามองดูเด็กผู้หญิงคนนั้นพร้อมลดความเร็วของฝีเท้าลง เด็กผู้หญิงคนนั้นดึงต้นหลิวได้หนึ่งก้านจนสำเร็จก็คุกเข่าและนั่งลง ท่านชายเฉิงสี่เอะใจอยู่ครู่หนึ่ง ที่แท้เด็กคนนั้นไม่ได้อยู่คนเดียว แต่ยังมีเด็กผู้หญิงอีกหนึ่งคนปรากฏตัวขึ้น

ท่านชายเฉิงสี่มองไปเรื่อยเปื่อย เพียงชั่วพริบตานั้นความงดงามดั่งพลุดอกไม้ไฟบนฟากฟ้าก็ปรากฎขึ้น

ผมดำเงางามปล่อยสยาย หน้าม้ายาวเสมอคิ้ว คิ้วเรียวยาวสวยสง่า จมูกโด่งเป็นสัน ริมฝีปากบาง ลำคอระหง นางสวมชุดคอทบกระโปรงบานแขนกระบอกสีดำ ช่างแสนงดงามภายใต้แสงแดดรำไร

เพียงพริบตาเดียว สายตาของท่านชายเฉิงสี่ก็ไม่มีภาพสะท้อนของหญิงชุดแดงอีกต่อไป ในสายตาของเขามีเพียงหญิงสาวแสนงามในชุดดำ

แต่ไหนแต่ไรมาเขานึกว่าสีสันหลากหลายจึงจะเรียกว่างดงาม แต่บัดนี้เขาได้รู้แล้วว่าสิ่งที่ดึงดูดสายตามากที่สุดกลับไร้สีสัน

ท่านชายตะลึงจนหยุดอยู่กับที่ เขาเห็นสายตาของหญิงผู้นั้นที่มองกลับมาอย่างไร้ความรู้สึกใด เพียงแต่จ้องมองเขาอย่างเรียบเฉย

ท่านชายเฉิงสี่ไม่เคยเห็นสายตาเช่นนี้ที่ไหนมาก่อน แววตาสีดำราวกับความมืดมิดยามราตรี

“นี่ เจ้าเป็นใครกัน”

เสียงของหญิงสาวดังขึ้น เงาของชุดสีแดงบดบังสายตาของเขา ทำให้ท่านชายเฉิงสี่ได้สติกลับคืนมา

ท่านชายเฉิงสี่รู้สึกเพียงว่าฝีเท้าของเขาเบาจนเหมือนลอยได้ ก่อนจะเร่งสาวเท้าออกไปโดยเร็ว

เสียงเอ่ยถามของหญิงสาวดังตามหลังมา

“นั่นใครกัน ตกใจหมดเลย ทำไมเขาไม่พูดล่ะ นายหญิง…”

มีแขกมาเยือนงั้นรึ

ท่านชายเฉิงสี่ออกจากสวนอย่างรวดเร็ว ทั้งกายของเขาร้อนดุจไฟแผดเผา กว่าจะได้สติก็ตอนที่นั่งลงจิบชาร้อนอยู่หน้าโต๊ะเตี้ยแล้ว

“ชายสี่ เจ้าไปไหนมารึ” คนที่กำลังเดินเข้ามาเอ่ยถามขึ้น ทว่ายังไม่ทันจะพูดจบ พอเห็นท่าทีของท่านชายเฉิงสี่เขาก็ออกไปต่อว่า “เจ้าเป็นอะไรรึ ทำไมหน้าแดงเช่นนี้ล่ะ”

“เมื่อครู่ข้าเห็นหญิงงามอยู่ในเรือน” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว

ฮ่าๆ เสียงหัวเราะจากคนที่ถาม

“เจ้าไม่เห็นหญิงงามในเรือนสิ ถึงจะแปลก” เขาหัวเราะแล้วนั่งลงข้างๆ “น้องสาวของพวกเรา เจ้ากล้าพูดว่าไม่ใช่หญิงงามรึ” ท่านชายเฉิงสี่ได้สติก่อนจะหันไปมองคนที่นั่งอยู่

“ท่านพี่สาม” เขารีบคารวะและกล่าวทัก

“มองจนเคลิ้มเลยหรือ” ท่านชายเฉิงสามหัวเราะ “พวกน้องๆ ไม่ได้อยู่ที่นี่ ไม่ต้องมากพิธีหรอก”

ท่านชายเฉิงสี่ส่ายหน้า อยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่จู่ๆ ก็ไม่อยากพูดเสียอย่างนั้น

หญิงงามเช่นนั้น หากเขาได้เห็นเพียงคนเดียว คงเป็นความโชคดีอย่างที่สุด

“ท่านพี่สาม ท่านพี่มีอะไรกับข้ารึ” เขาเอ่ยแกมหัวเราะพร้อมเปลี่ยนหัวข้อสนทนา

“เมื่อครู่ข้าได้ยินคนพูดว่า แม่นางสามแห่งตระกูลต่งจะไปงานประพันธ์บทกวีที่หอธรรมเนียม ข้าเลยมาตามเจ้าให้ไปกับข้า ข้ารู้ว่าเจ้าชื่นชอบหญิงงาม” ท่านชายเฉิงสามกล่าวและจูงมือท่านชายเฉิงสี่เดินออกไป

ท่านชายเฉิงสี่แม้จะตื่นเต้นแต่กลับมาอย่าก้าวเท้าออกไป

แต่ไหนแต่ไรมาแม่นางสามแห่งตระกูลต่งคือหญิงงามที่มิอาจหาผู้ใดมาเปรียบได้ แต่สาวงามที่เขาพบเมื่อครู่ คงไม่มีหญิงใดบนลงโลกนี้มาเทียบได้

“ขอบใจมากท่านพี่สาม แต่วันนี้ข้าไม่ค่อยอยากไป” เขาเอ่ย

ท่านชายเฉิงสามประหลาดใจยิ่งนัก ปกติท่านชายเฉิงสี่ชื่นชอบหญิงงามมากความสามารถอย่าง

แม่นางสามแห่งตระกูลต่งเป็นที่สุด เหตุใดจึงเอ่ยปากว่าไม่ไปเช่นนี้ได้

“นี่เจ้าพบเห็นหญิงงามจริงๆ งั้นรึ” ท่านชายสามถามด้วยความประหลาดใจ หลังจากออกมาเขาก็ถามบ่าวทั้งหลายได้ความว่า เมื่อครู่ท่านชายเฉิงสี่ไปหาน้องสาวที่ริมสระบัว

“แม่นางหกกับแม่นางเจ็ดทะเลาะกันอีกแล้ว เพราะแม่นางเจ็ดถูกแม่นางหกบอกว่าหน้าตาขี้เหร่” บ่าวเล่าไปหัวเราะไปกับข่าวที่ตนได้ยินมา

แม่นางหกกับแม่นางเจ็ดทะเลาะกันเป็นกิจวัตรจนคนในเรือนก็ชินชากันเสียแล้ว

ท่านชายเฉิงสามหัวเราะชอบใจ

“เป็นเช่นนี้นี่เอง ที่แท้ก็ตกใจเพราะเหล่าหญิงงามทะเลาะกัน มิน่าล่ะ หน้าบึ้งเชียว” เข้าใจและกล่าวไปเช่นนั้น “นึกว่าเจ้าพบหญิงงามจนวิญญาณหลุดไปแล้วเสียอีก!”

ปั้นฉินพยุงเจียวเหนียงลงจากภูเขาหินแล้ววางเบ็ดตกปลาไว้บนหิน เบ็ดตกปลาไม่ใช่เบ็ดตกปลาอีกต่อไป คงเป็นได้แค่เบ็ด เพราะตกปลาไม่ได้เลยสักตัว

“นายหญิงเจ้าคะ ผู้นั้นเป็นใครกัน” ปั้นฉินถามซ้ำ

พร้อมหยิบผ้าคลุมสวมใส่ให้เฉิงเจียวเหนียง

แม้ว่าระยะทางจากภูเขาหินกับประตูเรือนไม่ได้ไกลกันมากนัก แต่แดดที่สาดส่องมาก็ทำให้เฉิงเจียวเหนียงทนไม่ไหวเช่นกัน

ปั้นฉินเข้ามาอยู่ในเรือนพร้อมกับแม่นางเฉิง หากลองนับดูแล้ว ตั้งแต่กลับมาที่เรือนนี้ ตนนั้นเดินออกจากเรือนมากกว่าแม่นางเสียอีก แต่ปั้นฉินก็ถามออกไปราวกับไม่ได้เห็นคนนั้นพร้อมกับแม่นางเฉิง

ในความคิดของนาง ไม่มีสิ่งใดที่แม่นางเฉิงจะไม่รู้

ส่วนแม่นางเฉิงของนางก็ไม่ได้ทำให้ผิดหวัง

“ชายผู้นั้นเดินมาจากทางนั้น” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวและชี้ไปตามทาง “อายุประมาณสิบห้าสิบหกปี

ใส่เสื้อลำลอง ไม่น่าจะเป็นแขก ท่าทางดูผ่อนคลาย ไม่น่าจะเป็นบ่าวรับใช้ ในบรรดาลูกชายของท่านพ่อ ท่านพ่อไม่มีลูกชายอายุเท่านี้ ก็คงจะเป็นท่านชายใหญ่จากเรือนฮูหยินใหญ่”

ปั้นฉินพยักหน้ารับทราบ

“นายหญิงรู้เยอะเสียจริง” เธอยิ้มเอ่ย

เฉิงเจียวเหนียงมองปั้นฉินและเม้มปากเบาๆ

“เจ้า” เธอยกมือจิ้มที่หน้าผากของปั้นฉินอย่างแผ่วเบา “ใช้ตรงนี้คิดดู ก็รู้แล้ว”

ปั้นฉินหัวเราะร่วน

“มีแม่นางคอยคิดแล้ว ข้าไม่ต้องคิดหรอก” เธอตอบ

“ข้าเนี่ยนะ จะให้ข้าคิดแทนเจ้า ตลอดชาติเลยรึ” เฉิงเจียวหนียงกล่าว

“นายหญิงเจ้าคะ ปั้นฉินจะอยู่กับนายหญิงตลอดชีวิต นายหญิงอย่าทิ้งปั้นฉินนะเจ้าคะ” ปั้นฉินกล่าว

ขณะที่พูดคุยกันทั้งสองคนก้าวเข้ามาในประตูเรือนเรียบร้อยแล้ว

สาวใช้อายุราวสิบสี่สิบห้าปีนั่งอยู่ตรงคานประตูกำลังเล่นก้อนหิน เธอหัวเราะตามบทสนทนานั่น

“โง่เช่นนี้ไม่มีใครเอาแล้วล่ะ คนโง่อยู่กับคนบ้า พากันเป็นสาวแก่ไปตลอดชีวิต!” เธอพูดขึ้นและไม่กลัวว่าใครจะได้ยินอีกด้วย

“เจ้าสิโง่” ปั้นฉินสวนกลับ “นายหญิงของข้าเป็นหญิงที่ฉลาดที่สุดในปฐพีแล้ว!”

“เจ้าคนฉลาด วันนี้แม่บ้านจ้าวไม่มา ข้าเฝ้าประตูจนลืมไปเอาสำรับ พวกเจ้าหาทางไปเอาสำรับเองแล้วกันนะ” สาวใช้พูดจบก็โยนก้อนหินแล้ววิ่งหนีไปทันที

ปั้นฉินตะโกนไล่หลังแต่ก็ไม่เป็นผล

“นายหญิงดูสิเจ้าคะ นี่มันจะรังแกกันมากเกินไปแล้ว ข้าจะไปฟ้องนายท่าน” สาวใช้กล่าว

“เรื่องเช่นนี้ไม่ต้องฟ้องหรอก” เฉิงเจียวเหนียงกล่าวก่อนจะเดินเข้าห้อง “รู้ผลอยู่แล้วแต่กลับทำ หากพวกเราไปฟ้องจะเป็นการหาเรื่องใส่ตัว”

ปั้นฉินที่ฟังแล้วเหมือนจะเข้าใจแต่ก็ไม่เข้าใจ ได้แต่เดินตามเข้าไป

“ถ้าเช่นนั่น ก็ปล่อยไปอย่างนั้นหรือเจ้าคะ” นางถาม “ไม่มีวิธีอื่นแล้วหรือเจ้าคะ”

“เอ่อ” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว “ก็ไม่แน่”

เอ หมายความอย่างไรเล่า

ปั้นฉินยิ่งไม่เข้าใจ แต่แม่นางเข้าใจก็เพียงพอแล้ว นางไม่อยากคิดอะไรอีก นางคิดถึงเรื่องที่นางควรคิดจะดีกว่า

“นายหญิงเย็นนี้อยากกินอะไรรึเจ้าคะ มีถั่วลันเตา…” เธอเอ่ยขึ้นและนับที่นิ้ว

……………………………………………………………..