บทที่ 20 ไร้สาระ Ink Stone_Romance
ชายหนุ่มพูดจบก็มองไปยังนายน้อยหก นายน้อยหกเองก็จ้องเขากลับ
เขาลุกขึ้นพรวดจนกระดานหมากแทบพลิก
“ท่านพ่ออยู่หรือไม่” นายน้อยหกถามเสียงสูง
บ่าวรับใช้ที่อยู่ด้านนอกรีบตอบ นายน้อยหกพูดพลางเดินออกไปด้านนอกอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวไม่เห็นแม้แต่เงา
ภายในเรือนกลับมาสงบอีกครั้ง ชายหนุ่มขยับมือของตน
“ที่นี่ไม่มีเรื่องสนุกๆ แล้ว ข้ากลับบ้านดีกว่า” เขากล่าวพร้อมยื่นมือออกไป
สาวใช้ที่นั่งพับขาอยู่ลุกขึ้นตาม คนหนึ่งหยิบไม้เท้า อีกคนนึงก็พยุงชายหนุ่มให้ลุกขึ้น
บ่าวรับใช้ในเรือนรีบไปต้อนรับด้านนอก ไม่นานนักบ่าวรับใช้สี่คนเดินก็เข้ามาพร้อมกับเกี้ยว
ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนด้วยไม้เท้า ชายชุดกี่เผ้าทิ้งตัวลงตามแรงโน้มถ่วง ชายรูปร่างผอมสูง ร่างสูงโปร่งราวต้นไม้ที่โบกไหวตามสายลม แต่น่าเสียดายนักที่ภายใต้ชุดนั้นมีขาข้างหนึ่งที่บิดเบี้ยวจนไม่สามารถจรดลงพื้นได้
สาวใช้พยุงชายหนุ่มขากระเผลกขึ้นนั่งบนเกี้ยว
“ส่งท่านชายฉิน” สาวใช้สองคนแสดงความเคารพ
บ่าวรับใช้หามเกี้ยวขึ้นและเดินออกไป เพียงไม่นานก็เดินลับไปไกล
การกลับมาของเฉิงเจียวเหนียงนั้นเหมือนกับสายลมที่พัดโบก นำพาให้เกลียวคลื่นก่อตัวขึ้นบนทะเลสาบอันแสนสงบ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ แต่นางเองก็ไม่อาจควบคุมได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นด้วยและเหตุผลโดยมิอาจยับยั้งได้ ชีวิตของมนุษย์เองก็เป็นเช่นนี้
ปั้นฉินหยิบก้อนหินขึ้นมาแล้วปาลงไปน้ำจนสระบัวสาดกระเซ็นเป็นละออง
“นายหญิง” นางหันกลับมา “ข้าเห็นปลาแล้ว! มันหนีไปอยู่ใต้ใบบัวแล้ว! ”
เฉิงเจียวเหนียงที่นั่งอยู่บนเบาะรองนั่งพยักหน้าและอมยิ้ม
ครึ่งเดือนที่ผ่านมาร่างกายของนางดีขึ้นกว่าเมื่อก่อนเล็กน้อย
เมื่อร่างกายดีขึ้นแล้วก็เป็นธรรมดาที่นางจะไม่ยอมอยู่แต่ในห้อง
ทว่าหากโดนแสงแดดสาดส่งมาตรงๆ นางก็ทนไม่ไหว โชคดีที่ในสวนมีต้นไม้มากมาย ร่มรื่นเย็นสบาย
ปั้นฉินหันกลับมาพยุงนาง
“นายหญิง ลองมาดูสิเจ้าค่ะ” นางกล่าว “สวยกว่าปลาในวัดเต๋าของพวกเราอีกใช่มั้ย”
เฉิงเจียวเหนียงจำไม่ได้เลยด้วยซ้ำว่าเดือนก่อนเกิดอะไรขึ้นบ้าง แล้วจะจำปลาได้อย่างไรกัน
นางลุกขึ้นแล้วเดินเข้าไปใกล้สระบัวอย่างช้าๆ
เจ้านายกับสาวใช้ยืนนิ่งข้างสระบัว มองดูปลาที่แหวกว่ายอยู่ในสระ
“ไม่รู้ว่าปลาในนี้กินได้หรือไม่” ปั้นฉินถาม
ตั้งแต่โดนตบหน้าครั้งนั้น แม้จะไม่มีใครหาเรื่องนางอีก แต่อาหารจากครัวนั้นแย่ลงทุกวัน ทั้งนายทั้งบ่าวก็ขี้หลงขี้ลืม ลืมนั่นลืมนี่เป็นประจำ จะไปขอของใหม่ที่ไรก็โดนตะคอกใส่บอกว่าไม่มีเสียอย่างนั้น
“นางเอาไปไว้ที่เรือนของตัวเองแน่ๆ เจ้าค่ะ” ปั้นฉินเดา
เฉิงเจียวเหนียงเห็นด้วยกับสิ่งที่นางพูด
“ข้าจำมันไว้ก่อน” ปั้นฉินกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงหัวเราะแต่ไม่เอ่ยคำใด
ปั้นฉินคัดคัมภีร์เพื่อขอพรให้กับนายหญิงที่วัดเต๋าตามคำสั่งเสียของเหล่าฮูหยิน นางจึงพอจะรู้หนังสืออยู่บ้าง แต่เพราะความจำของนางไม่ค่อยดีนัก จึงให้ปั้นฉินใช้ตัวหนังสือขยุกขยิกของนางคอยจดเรื่องที่พบเจอ เดิมทีนางจดเพื่อบันทึกจำนวนครั้งที่ตนโรคกำเริบ เพื่อสำรวจว่าอาการของตนดีขึ้นหรือยัง
นอกจากนี้ยังบันทึกเรื่องราวและผู้คนที่ได้พบเจอ
“ใครมีบุญคุณ ใครทำตัวห่างเหิน บันทึกไว้ทั้งหมด หากไม่ได้เจอก็แล้วไป แต่ถ้าได้เจอ อย่างน้อยเราก็รู้ว่าต้องปฏิบัติตัวอย่างไร จะได้ไม่เป็นคนโง่เขลาที่ไม่รู้จักกาลเทศะ” นางกล่าว
จักจั่นส่งเสียง เงาไม้ใต้แสงแดดเริ่มจางหาย
“นายหญิง พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ” ปั้นฉินหาวพลางเอ่ย
แม้ว่าจะเคยถูกปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรมมาแล้วหนึ่งครา แต่โดยรวมแล้วก็ยังใช้ชีวิตได้ปกติไม่ว่าจะกินหรือนอน ปั้นฉินเองก็กลายเป็นที่รู้จักขึ้นมาเล็กน้อย
“ข้าอยากตกปลา” เฉิงเจียวเหนียงกล่าว
นี่เป็นสัญญาณอย่างหนึ่งที่บ่งบอกว่าร่างกายของนางดีขึ้น นางไม่รู้สึกง่วงตลอดเวลาเหมือนแต่ก่อน กระปรี้กระเปร่ามากขึ้น เวลาคิดเรื่องอะไร อาการปวดหัวก็ลดลง มีเพียงความเหม่อลอยที่ยังควบคุมไม่ได้
ไม่แน่ว่าการตกปลา ณ ที่แห่งนี้จะช่วยฝึกสมาธิดีขึ้น หรือเรียกความทรงจำที่หายไปกลับมาได้เร็วขึ้นหรือไม่
“ได้เจ้าค่ะ จะได้กินปลาที่ตกได้” ปั้นฉินดีใจมาก “นายหญิงตกปลาเป็นด้วย ดีจังเลยเจ้าค่ะ แม่นางนั่งตรงนี้ก่อน ข้าไปหาเบ็ดตกปลาก่อน”
นางพูดจบก็รีบวิ่งเข้าไปในเรือนแล้วเอาเบ็ดตกปลามา
เฉิงเจียวเหนียงมองปั้นฉินวิ่งออกไป
“ข้าตกปลาไม่เป็น” นางกล่าว
ข้างสระบัวมีภูเขาจำลองลูกหนึ่ง กลางภูเขาเป็นทางเรียบ ไม่สูงและไม่ต่ำมาก มีต้นไม้ย้อยต่ำจนเกือบถึงขอบน้ำซึ่งอยู่ห่างจากเรือนของนางไม่มากนัก และเป็นสถานที่ตกปลาที่เฉิงเจียวเหนียงชอบมาก
ปั้นฉินนั่งอยู่ด้านหลังของเฉิงเจียวเหนียง ดอกไม้ใบหญ้าที่กระจายเต็มพื้น นางใช้มันประดิษฐ์เป็นตะกร้าใบเล็กรูปร่างต่างๆ
“ครั้งนี้มีปลาติดเบ็ดหรือไม่เจ้าค่ะ” นางหันไปถามด้วยเสียงต่ำเป็นพักๆ
เฉิงเจียวเหนียงส่ายหัว
“แม่นางตกปลาไม่เป็นจริงด้วย” ปั้นฉินกล่าว
เฉิงเจียวเหนียงยิ้ม ก็จริงน่ะสิ นางแค่อยากได้บรรยากาศตกปลาเพียงเท่านั้น
เป็นอย่างที่นางคิดเลย การนั่งแบบนี้ทำให้สภาพจิตของนางไม่เอ่ยเฉื่อยเหมือนเมื่อก่อน
เมื่อเห็นสุขภาพจิตของแม่นางดีกว่าเมื่อก่อน ปั้นฉินก็ดีใจ
นอกจากกินและนอนแล้ว เรื่องนี้กลายเป็นเรื่องที่เจ้านายกับสาวใช้สองคนนี้จะต้องทำ หลังมื้อเที่ยงในทุกวัน พวกนางจะมาที่นี่ เฉิงเจียวเหนียงจะนั่งตกปลาอยู่เงียบๆ ส่วนปั้นฉินจะประดิษฐ์ของจากดอกไม้ใบหญ้า
ทว่าช่วงนี้ชีวิตของแม่นางเฉิงหกกลับไม่ค่อยสู้ดีนัก ท่าทางเหมือนไม่เจริญอาหารอย่างเคย และเนื่องจากเป็นลูกสาวคนเล็กของตระกูล พี่ชายทุกคนจึงเป็นห่วงนางมาก
ท่านชายเฉิงสี่ถือกล่องขนมมาเยี่ยมน้องสาว
แม่นางเฉิงหกนั่งอยู่ในห้องคนเดียว มองดูสาวใช้เล่นเกมกระดานด้วยท่าทางเกียจคร้าน
“น้องหก ลองชิมอันนี้ดูสิ เป็นขนมจากร้านที่เปิดใหม่ ได้ข่าวว่าเป็นแม่ค้าทำขนมจากเมืองหลวง เจ้าลองชิมดูสิ” ท่านชายเฉิงสี่กล่าว
แม่นางเฉิงหกยื่นมือรับไว้ด้วยท่าทีเฉื่อยชา
“เลี่ยนเกินไป ท่านพี่สี่ ท่านไม่ได้ชิมก่อนรึ” นางกล่าวด้วยความไม่พอใจ
ท่านชายเฉิงสี่ยิ้มอย่างเคอะเขิน
“ข้าไม่ชอบกินสิ่งนี้” เขากล่าว “พวกเขาบอกว่าอร่อยน่ะ”
แม่นางเฉิงหกเบะปาก ยังไม่ทันพูดต่อก็มีเสียงก๊อกแก๊กของร้องเท้าเกี๊ยะดังขึ้น เป็นแม่นางเฉิงเจ็ดที่เดินเข้ามา ด้านหลังมีแม่นางสี่ แม่นางห้าตามมาด้วย ทุกคนล้วนแต่สีหน้าไม่สู้ดีไหร่ พวกนางสะบัดรองเท้าออกแล้วนั่งลง
“วันหลังออกจากเรือนไม่ได้แล้วนะ! ” แม่นางเฉิงเจ็ดพูดเสียงดัง ดวงตาของนางแดงก่ำ ทั้งกริ้วโกรธทั้งเสียใจ
“เกิดอะไรขึ้น” ท่านชายเฉิงสี่ถามในทันที
แม่นางสี่และแม่นางห้าเคารพท่านพี่เสร็จแล้วจึงนั่งลง
“ท่านพี่สี่ ตอนท่านพี่ออกไปข้างนอก ไม่มีใครล้อเลียนท่านพี่รึ” แม่นางเฉิงเจ็ดถามพี่
“ทำไมต้องล้อเลียนข้าด้วย” ชายสี่ไม่เข้าใจ
เขาเป็นถึงลูกคนโตของตระกูล แม้เรื่องเรียนจะกลางๆ แต่ก็ไม่ถึงขึ้นขายหน้าหรอกมั้ง
“คงมีแต่ผู้หญิงอย่างพวกข้าที่ซวย” แม่นางเฉิงเจ็ดรู้สึกไม่เป็นธรรม นางมองไปที่แม่นางเฉิงหก “ตอนนี้ทั้งเมืองรู้แล้วว่าพวกข้ามีพี่สาวที่เป็นบ้า เอาเรื่องนี้มาล้อพวกข้า! ”
แม่นางเฉิงหกลุกขึ้นยืน
“อะไรนะ” นางตะโกน “รู้กันได้อย่างไร นังบ้านั่นไม่ได้ออกไปข้างนอกเลยนะ ! ”
“คุณงามความดีไม่ใครป่าวประกาศ แต่เรื่องเลวๆ แม้ไกลนับพันลี้ ใครก็เล่าลือ” แม่นางเฉิงห้าพูดเสียงอ่อย
แม่นางเฉิงหกตบหน้าผากอย่างถอนใจ
“ให้ตายเถอะ มะรืนข้ายังต้องไปเที่ยวที่บ้านแม่นางต่งอีกนะ” นางกล่าว
“ห้ามไป” แม่นางเฉิงเจ็ดตะโกน “พวกเจ้ารู้หรือไม่ วันนี้พวกข้าออกไปมันน่าอายแค่ไหน นังสารเลวบ้านเหยียน พูดต่อหน้าทุกคนว่า คนตระกูลเดียวกันสายเลือดเดียวกัน หากพี่น้องฉลาดก็จะฉลาดกันหมด พี่น้องของคนบ้าก็จะบ้ากันหมด”
“บ้าชะมัด นังสารเลวตระกูลเหยียนต้องไปเรือนแม่นางต่งด้วยแน่” แม่นางเฉิงหกกล่าวพร้อมถูมือตัวเอง นางมองแม่นางเฉิงเจ็ด “ถึงแม้คนบ้านั่นจะเป็นพี่สาวแท้ๆ ของเจ้า…”
แม่นางเฉิงเจ็ดได้ยินประโยคนี้แทบจะกระโดด
“นั่นก็พี่สาวของเจ้าเหมือนกัน! ” นางตะโกน
“แต่ก็ห่างมากกว่าเจ้านิดหน่อย” แม่นางเฉิงหกพูดอย่างตั้งใจ
ท่านชายเฉิงสี่ฟังอยู่ข้างๆ ทั้งขำทั้งโกรธ เวลาผู้หญิงคุยกันนี่น่าขันเสียจริง เหมือนว่าจะไม่เคยคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวสักที
“นี่ไม่ใช่เวลามาเปรียบเทียบกันนะ” แม่นางเฉิงสี่ที่เป็นพี่สาวถึงกับออกหน้าดึงประเด็นกลับมา นางพูดด้วยเสียงอ่อนนุ่มว่า “เอาเป็นว่าหากคนในตระกูลก็ต้องถูกหัวเราะเยาะอยู่ดี แม่นางหก โดยเฉพาะเจ้าที่ทั้งหน้าตาหรือกิริยาก็ล้วนแต่โดนเด่นกว่าใคร พวกที่อิจฉาริษยาเจ้า จะต้องฉวยโอกาสนี้เยาะเย้ยเจ้าเป็นแน่”
นั่นนะสิ แม่นางเฉิงหน้าตางดงามไม่มีใครเทียม จู่ๆ ก็มีญาติพี่น้องที่เสียสติโผล่มาโดนไม่รู้ตัว ราวกับภาพวาดไร้ที่ติที่เปื้อนน้ำหมึก ถูกทำลายในพริบตา
“ซวยชะมัด!” แม่นางเฉิงหกอารมณ์เสียจนทิ้งพัดกลมลงบนพื้น “ต่อไปนี้พวกเราคงออกไปพบปะผู้คนไม่ได้อีกแล้ว! เป็นเพราะนังนั่นแท้ๆ ! ”
แม่นางเฉิงเจ็ดคิดอะไรบางอยู่แล้วมองไปทางแม่นางเฉิงสี่
“แม่นางเฉิงสี่ นังสารเลวตระกูลเหยียนหยามข้าวันนี้ ก็เพราะริษยาในใบหน้าและกิริยาของข้าที่งดงามกว่านางใช่หรือไม่” นางถาม
…………………………………………………………………