บทที่ 19 ตระกูลโจว Ink Stone_Romance
กลางเดือนหก คนที่นายใหญ่ตระกูลเฉิงส่งไปปิ้งโจวกลับมารายงานข่าว ยืนยันแล้วว่าสิ่งที่ปั้นฉินพูดเป็นความจริงทั้งหมด
“ไฟไหม้เพราะฟ้าผ่า ไหม้ไปครึ่งหลัง วัดเต๋าแถวนั้นหนีกันออกไปหมด พวกเขานึกว่าพวกนางถูกคนลักพาตัวไป กลัวว่าพวกเราจะไปเอาเรื่องนักบวชเต๋า จึงหนีกันหมด” นายใหญ่ตระกูลเฉิงอ่านจดหมายให้คนในห้องฟัง พออ่านเสร็จก็วางจดหมายลงบนโต๊ะไม้เสี้ยว
ตอนนั้นฮูหยินใหญ่ สองสามีภรรยานายรองเฉิงก็อยู่
ทุกคนทำสีหน้าแปลกประหลาด ราวกับไม่รู้ว่าควรดีใจหรือเสียใจ
“ฝั่งตระกูลโจวล่ะ” ฮูหยินใหญ่ถาม
“ยังไม่ตอบกลับมา” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าว “ไม่รู้ว่ายังไม่ได้รับหรือว่าได้รับแล้ว แต่ไม่สนใจ”
“ถึงจะถามไป แต่พวกเขาก็อาจจะไม่รู้เรื่อง” ฮูหยินใหญ่กล่าว แล้วหันไปมองฮูหยินรอง “เดิมทีตอนที่เหล่าฮูหยินตระกูลโจวอุปถัมภ์วัดเต๋า คนในตระกูลต่างก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่”
ยิ่งไม่ต้องเอ่ยเรื่องที่นางฝังเงินก้อนใหญ่ไว้ที่วัด แน่นอนว่าตระกูลโจวคงไม่รู้เรื่อง ไม่เช่นนั้นทันทีที่
เหล่าฮูหยินตระกูลโจวสิ้น เงินเหล่านั้นจักต้องถูกเอาคืนไปเป็นแน่
ฮูหยินรองพยักหน้าขอบคุณที่พี่สะใภ้อธิบายให้ตนฟัง
“ในเมื่อแน่ใจแล้ว งั้นก็ดูแลให้ดี” นายใหญ่ตระกูลเฉิงกล่าว
ทุกคนตอบรับ จากนั้นต่างก็แยกย้าย
ฮูหยินรองกลับมาถึงเรือนของตนเอง นางเช็ดเครื่องสำอางก่อนจะพักงีบช่วงกลางวัน ขณะที่สาวใช้
ปรนนิบัตินาง ฮูหยินรองคิดทบทวนสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่
ตั้งแต่ออกเรือนมา นางรับใช้พ่อแม่สามีอยู่สามปีก่อนจะมีลูก จากนั้นนางถึงตามสามีไปอยู่ที่ปิ้งโจว ตอนนั้นเด็กบ้าคนนั้นถูกเลี้ยงไว้ในวัดเต๋าแล้ว คนในเรือนไม่มีใครเอ่ยถึงเด็กคนนี้ สามีเองก็ไม่เคยไปเยี่ยม แม้ว่าจะอาศัยอยู่ที่ปิ้งโจวมากว่าสี่ห้าปี เด็กบ้าคนนั้นไม่เคยปรากฏตัวขึ้นในชีวิต ราวกับไม่มีตัวตนอยู่จริง
แต่การไม่ปรากฏตัวขึ้นไม่ได้แปลว่านางไม่มีชีวิต หากยังมีลมหายใจอยู่สักวันก็ต้องปรากฏตัวอยู่ดี
“ตระกูลโจวนั่น ร่ำรวยมากนักหรือ” นางถาม
จำได้ว่าแต่ก่อนพ่อแม่เล่าให้ฟังว่าบรรพบุรุษของตระกูลโจวมาจากเปียนโจว เข้ามารับราชการในเมืองหลวงเป็นฝ่ายทหาร ตระกูลขุนนางฝ่ายบุ๋นอย่างพวกนางเทียบไม่ได้เลย
ตอนนั้นเหล่าคนที่บ้านแม่ฝั่งสะใภ้ผู้ล่วงลับส่งมาล้วนแต่เป็นอันธพาลทั้งนั้น
“รวยมากเจ้าค่ะ” สาวใช้หวีผมพลางตอบกลับ
ฮูหยินรองหันไปมองนาง
“เจ้ารู้ดีกว่าข้าเสียอีก” นางเอ่ยเสียงเรียบ
ตั้งแต่ที่คนบ้านั่นกลับมา หลายวันมานี้แม้จะรู้ว่าฮูหยินรองไม่ได้ยินดีนัก แต่เหล่าสาวใช้ก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องเก่าๆ ของฮูหยินตระกูลโจว
สาวใช้ที่หวีผมให้อยู่นั้น เป็นคนที่ฮูหยินรองพามาด้วยจากบ้านแม่
สาวใช้ก้มหน้าด้วยความเขินอาย
“รวยแค่ไหนกันเชียว” ฮูหยินรองถาม
เมื่อเห็นฮูหยินตำหนิ สาวใช้ก็โล่งใจ
“ฮูหยินเจ้าคะ ยังไม่พูดถึงเรื่องอื่น แม่นางรู้หรือไม่ ในตอนนั้นตระกูลโจว…สินเดิมของหญิงตระกูลโจวที่แต่งเข้ามามากเท่าใด”
ฮูหยินรองเหล่ตามองสาวใช้
ไร้สาระ ภรรยาใหม่อย่างนางจะไปสอดรู้เรื่องสินเดิมของภรรยาเก่าเพื่ออะไร
สาวใช้ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร แค่นี้ก็ฟังไม่เข้าหูแล้วหรือ หากได้ยินที่เหล่าสาวใช้พูดกันนางคงทนฟังไม่ได้
“… ตอนที่ฮูหยินโจวแต่งเข้ามา เรียกได้ว่ายิ่งใหญ่อลังการมาก มีแก้วแหวนเงินทองผ้าไหม แล้วก็มีร้านค้าสองร้านที่ทำเลที่ดีที่สุดของเมืองฝั่งตะวันตกและตะวันออก ที่ดินอีกสองแปลงตั้งอยู่บนพื้นที่ที่เก็บเกี่ยวได้ดีที่สุด”
“…ตระกูลโจวส่งคนมาเจียงโจวของเราล่วงหน้ากว่าครึ่งปี เพื่อทำการคัดเลือกอย่างพิถีพิถัน”
“…ข้ายังจำได้ ตอนนั้นฮูหยินโจวเสียชีวิต สินเดิมของฮูหยินถูกดูแลโดยเหล่าฮูหยินอยู่ช่วงหนึ่ง ได้ยินพวกแม่นมเคยพูดว่า แค่กำไรร้านค้าร้านเดียวก็มีมากพอๆ กับรายจ่ายของเรือนเราครึ่งปี…”
สินเดิมที่เกิดจากเงินต่อเงิน ขุมทรัพย์แท้ๆ
พอมานึกถึงสินเดิมของฮูหยินคนปัจจุบัน…
ถึงจะมาจากตระกูลสูงศักดิ์นอกเมืองหลวง แต่ก็เทียบไม่ติดเลยแม้แต่น้อย
สิ่งที่พอจะพูดได้สาวใช้ก็พูดออกไปหมดแล้ว
ฮูหยินรองแอบกัดฟัน หากเป็นเช่นนั้นแล้วจะทำไม สินเดิมมีมากแล้วเป็นอย่างไรหรือ พอตาปิดลงก็ไม่เหลืออะไรแล้ว
แต่ว่า…
กำไรร้านค้าร้านเดียวมีมากพอๆ กับรายจ่ายของเรือนเราครึ่งปีเชียวหรือ
“แล้วร้านค้า ที่นาพวกนี้ นายใหญ่เป็นคนดูแลรึ” นางเหมือนคิดอะไรออกบางอย่างจึงถามออกไป
กำไรมากมายขนาดนั้น เหตุใดถึงไม่เคยเห็นในเรือนมาก่อน
หรือว่าแม่นางลวี่กับแม่นางสิบสามอาศัยกำไรเหล่านี้ใช้ชีวิตงั้นรึ
“ไม่ใช่เจ้าค่ะ ไม่ใช่” สาวใช้มองปราดเดียวก็รู้แล้วว่าฮูหยินของตนคิดอะไรอยู่จึงรีบพูดขึ้นว่า “อยู่ที่
ฮูหยินใหญ่เจ้าค่ะ”
ฮูหยินใหญ่งั้นรึ
ฮูหยินรองหยิบปิ่นปักผมออกมาหนึ่งอัน แล้ววางไว้บนโต๊ะช้าๆ
“เหตุใดพี่สะใภ้ถึงไม่เคยพูดถึงล่ะ” นางเอ่ยพลางยิ้ม
แม้จะไม่แบ่งเรือน แต่ข้าวของเครื่องใช้ของแต่ละคนล้วนแต่เป็นค่าใช้จ่าย ในตอนนี้แม่ยายไม่ได้เป็นผู้ดูแลเรื่องในเรือน แต่ให้พี่สะใภ้เป็นคนคุมแทน
“ก็เพราะเป็นสินเดิมของคนเก่าไงเจ้าค่ะ เกรงว่าหากพูดออกมา ฮูหยินจะไม่สบายใจเอา” สาวใช้กล่าว
ฮูหยินรองต้องไม่สบายใจเป็นแน่ แต่ก็บอกไม่ถูกว่าไม่สบายใจตรงไหน
สินเดิมเหล่านั้นคงต้องตกเป็นของคนบ้าคนนั้นในสักวัน แม้แต่นางหรือลูกหลานของนางก็คงไม่ได้แตะต้อง แต่กำไรจากสินเดิมเหล่านั้นล่ะ…
ค่าใช้จ่ายในเรือนถูกควบคุมโดยพี่สะใภ้ กำไรที่ได้มาก็คงไม่ต้องแบ่งเรือนใหญ่เรือนรองหรอก แต่ว่า…
นางก็ยังรู้สึกไม่สบายใจอยู่ดี
แต่งเข้าตระกูลมาก็เก้าปีเต็มแล้ว นางเพิ่งจะรู้เรื่องนี้ คงต้องขอบใจนางสติไม่ดีนั่น!
ถ้าคนบ้านั่นไม่กลับมาตลอดชีวิต ชาตินี้นางก็คงไม่มีวันรู้เรื่องนี้อย่างนั้นหรือ
“ฮูหยิน น้ำแกงคลายร้อนจากห้องครัวมาแล้วเจ้าค่ะ” สาวใช้คนนึงเข้ามาแจ้ง
แม้ตระกูลเฉิงจะร่ำรวย แต่คนในตระกูลใช้จ่ายอย่างมัธยัสถ์ อาหารสามมื้อต่อวัน อาหารว่างถูกกำหนดประเภทและปริมาณ ช่วงนี้อากาศร้อนฮูหยินจึงให้ครัวเพิ่มแกงคลายร้อน นางไม่ได้กินเองแต่กลับให้ลูกๆ กินแทน ส่วนฮูหยินรองก็ทำตามพี่สะใภ้ ไม่ทานซุปนี้เช่นกัน
แต่สาวใช้ก็ยังต้องมาถามเป็นพิธี
ฮูหยินรองหันตัวกลับ
“ยกมาสิ ข้าอยากกินพอดี” นางกล่าว
“เจ้าค่ะ” สาวใช้ตอบพร้อมหันตัวกลับ เดินไปไม่กี่ก้าวเพิ่งจะได้นึกขึ้นได้
ฮูหยินว่าอย่างไรนะเมื่อกี้
“เอ๊ะ ฮูหยินบอกว่าไม่รับหรือเปล่า” นางถามสาวใช้คนข้างๆ ด้วยเสียงแผ่วเบา
สาวใช้นางนั้นกำลังหาว
“เจ้าง่วงจนไม่ได้สติเลยหรือ ฮูหยินบอกว่ารับ” นางกล่าว
หา สาวใช้เพิ่งรู้สึกตัวว่าตนฟังไม่ผิด
“น่าแปลก เหตุใดฮูหยินถึงรับล่ะ” นางยิ้มไปกล่าวไป
“ข้าวของในเรือน ฮูหยินอยากใช้เมื่อไหร่ก็ได้ ไม่ใช้ก็สุดแล้วแต่นาง” สาวใช้คนที่เดินนำหน้ากล่าวอย่างเกียจคร้าน
แต่ตอนนี้บนตรอกกว้างใหญ่ในเมืองหลวง ณ หน้าประตูเรือนตระกูลโจวอันสูงใหญ่ มีชายหนุ่มรูปงามอายุราวสิบเจ็ดสีแปดปีกำลังกระโดดลงจากหลังม้า
เด็กรับใช้สี่ห้าคนวิ่งออกมาจากเรือนแล้วแย่งกันจูงม้า
ชายหนุ่มแกะถุงเงินที่มัดไว้ตรงเอวและโยนออกไป
“ให้พวกเจ้า เอาไปดื่มสุราไป” เขากล่าว
เด็กรับใช้แย่งกันเก็บ
“ขอบคุณรางวัลของนายน้อยหกขอรับ” พวกเขาตะโกนขึ้นพร้อมกัน
นายน้อยโจวหกหัวเราะร่วนก่อนจะเดินตรงเข้าไป
เรือนใหญ่ตระกูลโจวสร้างและดัดแปลงจากแบบของเรือนบรรพบุรุษที่ส่านเปียนโจว โดยเฉพาะกำแพงภาพที่ถูกถอดและส่งมาจากเรือนหลังเก่า เงินที่เสียไปน่าจะซื้อกำแพงใหม่ได้อีกสิบอัน สิ่งนี้ทำให้ตระกูลโจวเป็นที่เลื่องลือภายในชั่วข้ามคืน จากนั้นก็กลายเป็นตระกูลที่แปลกประหลาดที่สุดในเมืองหลวง และได้รับฉายาว่าเหล่าส่านโจว
นายน้อยหกก้าวเท้าตรงไปยังห้องของตัวเอง ใต้ชายคามีชายหนุ่มรุ่นราวคราวเดียวกันนั่งอยู่ เด็กหนุ่มคิ้วยาว ดวงตาเรียว สวมชุดยาวแขนกว้าง ท่าทางกำลังใช้ความคิดกับตารางหมากล้อมดินเผาสีขาวที่อยู่ตรงหน้า
สาวใช้ที่นั่งพับเพียบประกบอยู่สองข้างต่างก็มองดูหมากล้อมและพูดคุยกันไปพลาง
“ท่านชายฉิน อันนี้ไม่เห็นจะสนุกเลยเจ้าค่ะ เล่นหมากกระดานทอยลูกเต๋าดีกว่าเจ้าค่ะ” พวกนางกล่าว
พอได้ยินเสียงก้าวเท้าของนายน้อยหก ทุกคนจึงหันมามอง สองสาวใช้ที่นั่งพับขาอยู่ก็ลุกขึ้นเพื่อแสดงความเคารพ
ชายหนุ่มยังคงจับจ้องบนกระดานหมาก
“มาวันนี้มีเหตุอะไรหรือ” นายน้อยหกสะบัดแขนเสื้อและนั่งลงข้างๆ วางแขนลงบนหมากกระดานราวกับวางบนโต๊ะเตี้ยจนเม็ดหมากล้อมกระจายไปหมด
ชายหนุ่มไม่สนใจ
“ข้าเบื่อ ก็เลยอยากมาฟังเรื่องสนุกๆ ที่นี่” เขากล่าว
“ที่นี่จะมีเรื่องสนุกอะไร” นายน้อยหกถาม
“ได้ข่าวว่าท่านอาที่อยู่เจียงโจวส่งคนมาที่นี่” ชายหนุ่มถาม
นายน้อยหกมองสาวใช้สองคนที่นั่งพับขาอยู่ด้านหลัง สาวใช้ก้มหน้าลงด้วยความเขินอาย
“คนเรือนนั้นตลกจริงๆ ” นายน้อยหกกล่าว มือเล่นเม็ดหมากล้อม
“หมายถึงลูกพี่ลูกน้องของเจ้า” ชายหนุ่มกล่าว “พวกเจ้าทำไมไม่ถามให้ละเอียดก่อน เหตุใดถึงไล่คนของตระกูลเฉิงออกไปแบบนั้น”
“คนไร้ประโยชน์แบบนั้นเกี่ยวอะไรกับบ้านข้าล่ะ” นายน้อยหกกล่าว สีหน้าเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม “ตอนนั้นท่านอาไม่ยอมฟัง จะให้เก็บคนบ้าเอาไว้ให้ได้ ให้ทุกข์แก่ท่านทุกข์นั้นถึงตัวเสียจริง เสียดายความเอ็นดูของท่านตากับท่านยาย ส่วนคนบ้าคนนั้น ท่านยายผิดที่ให้ความเมตตา ไม่ให้นางตายจะได้ไปเกิดใหม่เร็วๆ
แต่กลับชุบเลี้ยงเป็นอย่างดี ป้อนอาหารให้หมูมันยังรู้จักกิน แต่ป้อนให้คนบ้าแบบนั้นจะมีประโยชน์อะไร”
ชายหนุ่มหัวเราะชอบใจ
“นายน้อยหก หมูที่เลี้ยงไว้ยังสู้น้องสาวของเจ้าที่เลี้ยงไว้ปิ้งโจวไม่ได้งั้นรึ” เขากล่าว “คนตระกูลเฉิงมาถามหา พวกเจ้าส่งนางกลับเจียงโจวแล้วใช่หรือไม่”
“ใช่น่ะสิ พวกเขามาถามว่าเรื่องราวเป็นอย่างไร พวกเราต้องตอบคำถามด้วยความเคารพงั้นรึ” นายน้อยหกจ้องหน้าและตอบกลับไป
ชายหนุ่มมองดูเขาและหัวเราะ ใช้นิ้ววาดเส้นยาวลงบนหมากกระดาน
“จากปิ้งโจว ถึงเจียงโจว” เขากล่าว “น้องสาวของเจ้าอยู่เรือนตระกูลเฉิง ตอนที่คนในบ้านของเจ้าไม่ทันรู้ตัว นางก็กลับไปเองแล้ว”
นายน้อยหกมองชายหนุ่มแล้วคิ้วขมวดด้วยความสงสัย
ชายหนุ่มวาดจากจุดนึงไปยังอีกจุดนึงอีกครั้ง
“จากปิ้งโจวถึงเจียงโจว สาวน้อยอายุน้อยคนหนึ่ง” เขาพูดไปยิ้มไป “เจ้าคิดว่า คนบ้าอย่างนาง
ทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน”
…………………………………………………………….