ตอนที่ 27 ต้องออกจากจวนให้ได้

หมอหญิงจ้าวดวงใจ

เหยาเฟิ่งเกอยกยิ้มพลันพูดขึ้น “ขอบพระทัยองค์หญิงต้าจั่งที่ทรงชื่นชมโสมนัสเพคะ นางเป็นคนเงียบๆ ตั้งแต่เล็ก ทว่านิสัยก็ถือว่าอ่อนโยน เพียงแต่มีอะไรก็มักจะเก็บไว้ในใจ และเป็นคนไม่ช่างพูด บางครั้งก็ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคืองใจอยู่บ้างเพคะ”

องค์หญิงต้าจั่งแย้มพระสรวลพลางตรัสขึ้น “ผู้ที่พูดจาไพเราะจับใจ ทั้งยังช่างพูดก็มีข้อดี ทว่าผู้ที่นิ่งเงียบไม่ชอบพูดคุยก็มีข้อดีด้วยเช่นกัน เจ้าคิดว่าทุกคนจะมีดวงใจพิสุทธิ์เจ็ดห้อง[1]เยี่ยงเจ้าหรือ?”

ลู่ฮูหยินที่อยู่ด้านข้างจึงยกยิ้ม “เด็กคนนี้ไม่เคยทำให้เป็นที่กังวลใจจริงๆ ตลอดเวลาก็มักจะอุดอู้อยู่ในเรือน น้อยครั้งที่จะออกมาเดินเล่น ก่อนหน้านี้พี่สาวของเจ้าล้มป่วย เจ้าจึงต้องคอยดูแลนาง ทว่าเวลานี้นางก็หายดีแล้ว เจ้าเองก็สมควรที่จะออกไปเดินเล่นรอบๆ เสียบ้าง วันพรุ่งนี้ยามที่มีเวลาว่าง บอกให้พี่สาวเจ้าพาเจ้าออกไปเดินเล่นด้านนอกเสียหน่อย”

เหยาเฟิ่งเกอและเหยาเยี่ยนอวี่รับคำพร้อมกัน จากนั้นลู่ฮูหยินก็เปลี่ยนประเด็นพูดคุย นางพูดถึงเรื่องเทศกาลไหว้พระจันทร์และการชมจันทร์ และทูลถามองค์หญิงต้าจั่งว่า ตอนกลางคืนใคร่จะจัดสถานที่ชมจันทร์ในที่ใด นางจะได้ให้คนไปเตรียมการโดยเร็ว

องค์หญิงต้าจั่งครุ่นคิดชั่วขณะแล้วตรัสขึ้น “ทุกๆ ปีที่ชมจันทร์ หากไม่ใช่ขึ้นไปชมบนภูเขา ก็จะชมอยู่ตรงริมน้ำ ล้วนน่าเบื่อยิ่ง ไม่มีความหมายใดเลย “

ลู่ฮูหยินจึงทูลขึ้น “ปีนี้ดอกหอมหมื่นลี้ในสวนพฤกษาด้านหลังจวนโหวบานสะพรั่งก่อนเวลา หากได้ชมจันทร์บนหอวั่งเย่ว์ พร้อมได้สูดกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ ทั้งให้บรรดาสตรีทั้งหลายร่วมพูดคุยเล่นกันคงจะดีไม่น้อยเพคะ”

องค์หญิงต้าจั่งคลี่ยิ้มพลางมองลู่ฮูหยิน จากนั้นพูดขึ้น “ในเมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คงต้องให้สะใภ้ใหญ่เป็นคนไปจัดเตรียมงาน”

ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่ร่วมโต๊ะอาหารกลางวันที่ตำหนักองค์หญิงต้าจั่งแล้ว ตกเย็นก็กลับมายังจวนติ้งโหว

เหยาเยี่ยนอวี่เป็นแขก แน่นอนว่าไม่ต้องกังวลเรื่องเหล่านั้น ทำเพียงหลบอยู่ด้านข้างกับซูอวี้เหิง แล้วคอยพูดคุยเล่นกัน

พอตกเย็น ตอนที่ท้องฟ้ายังมืดไม่สนิท องค์หญิงต้าจั่งทรงเสด็จมายังจวนติ้งโหว ลู่ฮูหยินพาสะใภ้ทั้งสามไปต้อนรับเสด็จตรงประตู หลังจากจิบชาเสร็จ องค์หญิงต้าจั่งทรงตรัสขึ้น นางใคร่อยากจะไปร่วมโต๊ะอาหารค่ำที่หอวั่งเย่ว์แล้ว

ติ้งโหวพยุงองค์หญิงต้าจั่งด้วยตนเอง ซูอวี้เหิงเดินตามอยู่ด้านข้าง ทางด้านลู่ฮูหยินก็ได้พาสะใภ้เดินตามอยู่ด้านหลัง พวกนางเดินหน้าไปยังหอวั่งเย่ว์ ในเวลานั้น ดวงอาทิตย์ก็กำลังลับขอบฟ้า

เหยาเยี่ยนอวี่เดินอยู่ด้านหลังสุด นางเงยหน้าขึ้นมองเหล่าบุตรหลานที่กตัญญูต่อผู้อาวุโส รู้สึกว่าช่างเป็นภาพที่สุขใจยิ่งนัก ภายในใจของนางอดถอนหายใจด้วยความอิจฉาไม่ได้ แล้วพอนึกถึงตัวนางเองที่อยู่อย่างโดดเดี่ยว ทั้งยังเข้ามาในจวนโหวในฐานะบุตรีของอนุภรรยาเพื่อมาเป็นจี้ซื่อ ช่างเป็นเรื่องน่ากระอักกระอ่วนใจยิ่งนัก

ทั้งที่เดิมที นางคิดจะออกไปจากจวนที่หรูหราแห่งนี้แล้วไปใช้ชีวิตเรียบง่ายในสวนเพียงลำพัง ทว่าคิดไม่ถึงเหยาเฟิ่งเกอกลับไม่ยินยอม

เฮ้อ เวลานั้นตนใจร้อนจนเกินไปแล้ว ครั้งนั้นตนไม่ควรต่อรองกับหลี่หมัวมัว แต่ควรเจรจาต่อรองกับเหยาเฟิ่งเกอ ทว่าหากตนไม่รีบร้อนใจล่ะ หากเหยาเฟิ่งเกอรู้ว่าตนสามารถช่วยนางได้แต่กลับไม่ยอมช่วย เกรงว่าตนเองคงไม่มีชีวิตเฉกเช่นตอนนี้แล้ว

“พี่เหยา” ขณะที่ซูอวี้เหิงเดินไปเรื่อยๆ นางเพิ่งสังเกตเห็นว่าเหยาเยี่ยนอวี่เดินรั้งท้ายไปหลายก้าว ซูอวี้เหิงจึงหยุดเดินแล้วรอนาง พร้อมทั้งยื่นมือไปจับมือของเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้ “เหตุใดพี่สาวจึงเดินช้าเช่นนี้”

เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลันตอบกลับ “เมื่อครู่ข้าได้กลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้จนทำให้เคลิ้มตามไปครู่หนึ่ง เลยทำให้เดินช้าไปหนึ่งก้าว แต่ทว่าเหตุใดเจ้าจึงเร่งรีบเช่นนี้ ต้องเดินระวังก้อนหินบนพื้นหน่อย เดี๋ยวล้มหน้าคะมำลงกับพื้นจนฟันหักเอา”

“หึ ข้าไม่ใช่อวิ๋นเอ๋อร์เสียหน่อย” ซูอวี้เหิงยิ้มและจูงมือเหยาเยี่ยนอวี่พลางก้าวเดินไป “เร็วเข้า! คืนนี้มีปูนึ่งดอกหอมหมื่นลี้ ทั้งยังมีสุราดอกหอมหมื่นลี้ ขนมดอกหอมหมื่นลี้ ลูกอมดอกหอมหมื่นลี้และอาหารเลิศรสอีกมากมายจากดอกหอมหมื่นลี้ เพียงพอให้เจ้าลิ้มรสจนตรึงใจไปถึงวันพรุ่งแน่นอน!”

ค่ำคืนนี้ เหยาเยี่ยนอวี่นั่งเงียบไม่พูดไม่จาใดๆ ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นางก็จะนั่งเงียบเช่นนี้ทุกครั้งที่ได้ร่วมงานเลี้ยงกับครอบครัวตระกูลโหว

ลู่ฮูหยินคิดว่านางมีอุปนิสัยเช่นนี้ จึงไม่ได้ว่ากล่าวหรือสนใจอะไร เพราะอย่างไรนางก็เป็นเพียงน้องสาวที่ให้กำเนิดโดยอนุภรรยาของตระกูลสะใภ้สาม ขณะนี้สะใภ้สามของตนก็หายป่วยแล้ว จี้ซื่อคนนี้จะทำอย่างไรต่อ ล้วนขึ้นอยู่กับความต้องการของตระกูลเหยา

หากพวกเขายินดีที่จะให้บุตรีมาเป็นอนุภรรยาบุตรชายตน ทางจวนติ้งโหวก็ไม่มีอะไรจะพูดเป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว และทำได้เพียงยิ้มต้อนรับเท่านั้น เพราะถึงอย่างไรทุกวันนี้เหยาเฟิ่งเกอก็ยังไม่มีทายาท หากในเรือนของบุตรชายสามจะมีกุ้ยเชี่ย*[2]*เพิ่มอีกสักคน คนนอกก็ไม่อาจว่ากล่าวสิ่งใดได้

ทุกคนพูดคุยหัวเราะกันอย่างมีความสุข เล่นทายคำดื่มสุรา และเล่าเรื่องน่าขบขัน เสียงหัวเราะนั้นเคล้าด้วยกลิ่นหอมของดอกหอมหมื่นลี้ ช่างเป็นค่ำคืนแห่งฤดูใบไม้ร่วงที่น่าหลงใหลเคลิบเคลิ้มยิ่งนัก

เหยาเยี่ยนอวี่ฝืนนั่งไปจนถึงยามซานเกิง[3] จากนั้นขยับตัวเข้าใกล้เหยาเฟิ่งเกอพร้อมกระซิบข้างหูของนาง “พี่สาว ข้าง่วงนอนยิ่งนัก ไม่สามารถทนนั่งต่อไปได้แล้ว”

“เช่นนั้นเจ้าก็กลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ” ความเป็นจริงเหยาเฟิ่งเกอเองก็อ่อนเพลียมากแล้ว แต่ในเมื่อองค์หญิงต้าจั่งยังไม่ตรัสจบงานเลี้ยง นางเองก็ทำได้เพียงนั่งดื่มต่อไป

เหยาเยี่ยนอวี่ออกไปจากงานเลี้ยงอย่างเงียบๆ นางเดินนำเฝิงหมัวมัว ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงกลับไปตามทางที่เดินมาก่อนหน้านี้

หลายวันที่ผ่านมา เหยาเยี่ยนอวี่ครุ่นคิดอยู่ตลอดเวลาว่า จะทำอย่างไรถึงจะออกไปจากจวนติ้งโหวได้ หลังจากผ่านงานเลี้ยงของตระกูลในวันนี้ ยิ่งเห็นได้ชัดว่าตนเป็นเพียงคนนอก ดังนั้นในเวลานี้นางจึงเดินอยู่ในสวนพฤกษาโดยอาศัยแสงจันทร์ สมองของนางเต็มไปด้วยความคิดว่าจะทำอย่างไรจึงจะพาตนเองและข้าวของทั้งหมดออกไปจากที่นี่ ทันใดนั้นเองก็มีคนพุ่งตัวออกมาจากพุ่มดอกพุดตานด้านหน้า

“คุณหนู!” ชุ่ยเวยที่เดินตามหลังเหยาเยี่ยนอวี่มานั้น เมื่อเห็นคนปรากฏตัวออกมาอย่างกะทันหัน จึงรู้สึกตกใจ ขณะที่นางกำลังก้าวไปข้างหน้าเพื่อดึงตัวคุณหนูกลับมานั้น ทุกอย่างกลับไม่ทันเสียแล้ว

“อ๊ะ!” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ทันได้ตั้งตัวจนถูกคนตรงหน้าทำให้ตื่นตกใจ นางหยุดชะงักฝีเท้ากะทันหัน ทำให้ไม่อาจทรงตัวจนลำตัวโน้มไปด้านหน้าอย่างควบคุมไม่ได้ ศีรษะของนางกระแทกลงบนแผงอกอันแข็งแกร่ง ผมยาวสลวยอันงดงามนั้นยุ่งเหยิงเล็กน้อย ปิ่นหยกและเครื่องประดับบนศีรษะเอนเอียงไปจนหมด

“เอ๊ะ? ที่แท้ก็คุณหนูรองเหยานี่เอง” มีเสียงๆ หนึ่งดังออกมาจากด้านหลังพุ่มดอกพุดตาน หลังจากมองเห็นว่าเป็นเหยาเยี่ยนอวี่ จึงเอ่ยถาม “งานเลี้ยงยังไม่เลิก เหตุใดคุณหนูรองเหยาถึงออกมาก่อนเล่า”

เหยาเยี่ยนอวี่ยังไม่ทันดึงสติตนเองกลับมา เฝิงหมัวมัวและสาวใช้อีกสองคนก็เดินขึ้นหน้ามาทำความเคารพ “น้อมทำความเคารพท่านซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

ค่ำคืนที่มืดมิด บุปผาพริ้วไหว แม้นจันทราส่องสว่าง ทว่าแสงจันทร์กลับส่องแสงอย่างมีขีดจำกัด หลังจากที่เหยาเยี่ยนอวี่ทรงตัวได้ นางก็เงยหน้าขึ้น จึงได้เห็นว่าข้างกายของบุรุษร่างสูงที่สวมเสื้อผ้าสีคราม คือซูอวี้ผิงผู้อ่อนโยนและสง่าผ่าเผยซึ่งอยู่ในชุดสีหยกขาว

เหยาเยี่ยนอวี่ถอยหลังหนึ่งก้าว พลันน้อมทำความเคารพให้ซูอวี้ผิง “น้อมทำความเคารพท่านซื่อจื่อเจ้าค่ะ”

“คุณหนูเหยา เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ เมื่อครู่เสี่ยนจวินรีบเดินเข้ามา คงไม่ได้เดินชนเจ้ากระมัง” ซูอวี้ผิงเป็นคนสุภาพ ทั้งยังถ่อมตนและมีมารยาท

“ขอบคุณท่านซื่อจื่อเจ้าค่ะ เยี่ยนอวี่ไม่เป็นอะไรเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่ชอบที่จะแทนตนว่า ‘เชี่ย[4]’ ด้วยเหตุนี้นางจึงมักจะแทนตนด้วยนามเรียก เวลานี้นางไม่อยากคิดมาก แค่อยากจะรีบตั้งสติแล้วเงยหน้ามองผู้ที่ทำให้นางต้องตกใจจวนจะตาย ทว่าหลังจากที่เงยหน้าขึ้นมองแล้วนั้น…เอ๊ะ? นี่ไม่ใช่แม่ทัพเว่ยเซ่า…เว่ยจางอะไรนั้นหรือ

เหยาเยี่ยนอวี่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา วันนี้เป็นงานเลี้ยงในตระกูลไม่ใช่หรือ เหตุใดจึงมีคนนอก!

“เสี่ยนจวิน นี่เป็นน้องสาวของน้องสะใภ้สามของข้า บุตรีคนรองของใต้เท้าเหยาข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง” ซูอวี้ผิงแนะนำให้กับเว่ยจาง “เมื่อครู่เจ้าทำให้คุณหนูเหยาตกใจเสียแล้ว”

“เยี่ยนอวี่?” เว่ยจางอาศัยแสงสีเหลืองนวลของพระจันทร์ตั้งใจมองเหยาเยี่ยนอวี่ คุณหนูคนนี้มีรูปโฉมงดงามยิ่งนัก ดวงตาทรงพระจันทร์เสี้ยวผสมกลมกลืนกับแสงสีเหลืองนวลจันทร์ ทำให้ดวงตาแวววาวบริสุทธิ์ยิ่งนัก คล้ายกับอัญมณีสีนิลที่ฝังอยู่บนกริชตะวันตก ซึ่งเป็นอาวุธอันโปรดปรานของเขา เขาเจอคุณหนูผู้นี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ทุกครั้งล้วนมีเรื่องเล็กน้อยให้แปลกใจ

“ท่านแม่ทัพเว่ยเซ่าได้โปรดให้เกียรติคุณหนูด้วยเจ้าค่ะ” เฝิงหมัวมัวค้อมตัวทำความเคารพเว่ยจางที่อยู่ตรงหน้าทันที จากนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ทางที่ดีที่สุด ท่านแม่ทัพกรุณาอย่าเอ่ยนามของคุณหนูของพวกบ่าวโดยตรงเช่นนี้”

เฝิงหมัวมัวกล่าวสิ้นเสียง สีหน้าของซูอวี้ผิงดูกระอักกระอ่วนขึ้นมาทันที การที่สหายของเขาถูกบ่าวว่ากล่าวตำหนิเช่นนี้ ทำให้เขาเสียหน้าเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็ไม่อาจกล่าวโทษบ่าวรับใช้ได้ เพราะเว่ยจางไม่ควรเอ่ยนามของคุณหนูเหยา เพราะเหมือนเป็นการหยามเกียรติ ทั้งยังดูท้าทายตระกูลเหยาโดยไม่ต้องสงสัยใดๆ

[1] ดวงใจพิสุทธิ์เจ็ดห้อง สำนวนจีน ใช้ในการเปรียบเปรยหญิงสาวที่ว่านอนสอนง่ายทั้งยังฉลาดหลักแหลม

[2] กุ้ยเชี่ย สรรพนามเรียกหลานสาวหรือน้องสาวที่แต่งงานกับสามีของตนเอง

[3] ซานเกิง เที่ยงคืน

[4] เชี่ย สรรพนามแทนตนของสตรี