ถึงแม้แม่ทัพติ้งหย่วนจะเก่งกาจมากเพียงใด ทว่าข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองนั้นไม่ใช่คนที่จะถูกรังแกง่ายๆ
“อ้อ ข้าต้องขออภัยด้วย” เว่ยจางกลับไม่ได้เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรกับเฝิงหมัวมัว แค่มองเหยาเยี่ยนอวี่แล้วพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “ข้าเพียงแต่เคยเจอคุณหนูมาสองครั้งแล้ว กลับไม่รู้ว่าคุณหนูมาจากจวนใด วันนี้ถือว่าได้รู้จักอย่างแจ่มแจ้งแล้ว ข้าจึงไม่ทันได้ระวังคำพูด โปรดให้อภัยด้วย”
ซูอวี้ผิงได้ยินคำพูดเช่นนี้จึงรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที เลยยิ้มพลางถามขึ้น “ทำไมหรือ ก่อนหน้านี้เสี่ยนจวินเคยรู้จักกับคุณหนูเหยาด้วยหรือ”
“ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” เหยาเยี่ยนอวี่พลันพูดแทรกเว่ยจางที่กำลังจะพูด นางมองคนผู้นี้ด้วยสายตาไม่พอใจ ถึงแม้นางจะไม่เข้าใจว่าเขาหมายความว่าอะไร แต่นางเป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง เหตุไฉนถึงได้ไปรู้จักกับแม่ทัพที่มักจะออกไปประจำตำแหน่งอยู่ต่างถิ่นตลอดปีเช่นนี้ล่ะ
เว่ยจางกลับไม่สนใจสีหน้าของเหยาเยี่ยนอวี่ เขายกยิ้มเล็กน้อย “คุณหนูเหยามีความจำที่ไม่ดีเลยจริงๆ เมื่อสองสามวันก่อนพวกเราเพิ่งเจอกันที่โรงหลอมเหล็กหวังจี้ไม่ใช่หรือ”
เหยาเยี่ยนอวี่ไม่สามารถมองข้ามนัยน์ตาที่หยอกล้อของซูอวี้ผิงได้ จึงทำได้เพียงพูดขึ้นอย่างหน้าด้านๆ “วันนั้นข้ากับน้องเหิงไปเอาของที่โรงหลอมเหล็กหวังจี้และได้เจอแม่ทัพที่ยังหนุ่มสองสามคนจริงๆ แต่ข้าไม่ทันได้สังเกต หากว่ามีใต้เท้าอยู่ที่นั่นด้วย ได้โปรดให้อภัยในความไม่ได้ใส่ใจของข้า ข้าจำไม่ได้แล้วจริงๆ เจ้าค่ะ”
เว่ยจางยิ้มอ่อน แม่นางผู้นี้กำลังพูดปด ทว่าเขาสังเกตเห็นแววตาของนางมีความโกรธเคืองแอบแฝง จึงได้กดข่มความคิดที่จะหยอกเย้านางอีก ก็คงไม่เป็นไรหากเขาแค่เย้าแหย่เล่น แต่มันคงไม่สนุกนักหากเขากลั่นแกล้งอย่างจริงจัง “ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง ข้านามว่าเว่ยจางขอรับ”
เหยาเยี่ยนอวี่แค่ย่อตัวลงน้อมคำนับเขาเล็กน้อย จากนั้นก็พูดกับซูอวี้ผิง “หากท่านซื่อจื่อไม่มีธุระอะไรแล้ว ข้าก็จะไม่ขอรบกวนเวลาชมจันทร์ของท่านกับแม่ทัพเว่ยเซ่าอีกต่อไป”
ซูอวี้ผิงพยักหน้า พร้อมยืนรับลมพลางส่งยิ้ม “คุณหนูเหยารีบกลับไปพักผ่อนเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่ตอบรับสั้นๆ พลางหันไปพยักหน้าให้กับเว่ยจาง จากนั้นก็พาแม่นมและเหล่าสาวใช้หันหลังเดินจากไป
เว่ยจางยังคงยืนอยู่ที่เดิมโดยไม่ขยับไปไหน แค่รู้สึกถึงปลายจมูกของเขาได้กลิ่นอ่อนๆ ที่กำลังลอยมา ดั่งกลิ่นดอกกล้วยไม้คล้ายกลิ่นดอกหอมหมื่นลี้ ทว่าดอกกล้วยไม้และดอกหอมหมื่นลี้ไม่ได้คล้ายคลึงกันเลยสักนิด กลับกลายเป็นกลิ่นที่หอมจนชวนหลงใหลมากยิ่ง เหมือนเป็นกลิ่นหอมจากกลิ่นกายจริงๆ ให้ความรู้สึกเย็นสบาย และเป็นกลิ่นอ่อนยิ่งนัก เหมือนควันที่ลอยผ่านไปและไม่อาจหวนกลับมาได้ แต่กลับทำให้คนรู้สึกเคลิบเคลิ้มและติดใจจนไม่กล้าลืมเลือน
“เสี่ยนจวิน” ซูอวี้ผิงยิ้มจาง พลางมองสีหน้าที่ไม่สื่ออารมณ์ของเว่ยจาง จากนั้นก็เดินไปหาเขาสองก้าว พร้อมกับถามขึ้น “หวั่นไหวแล้วหรือ”
เว่ยจางคลี่ยิ้มอ่อนๆ แล้วสาวเท้าเดินไปด้านหน้า “ท่านซื่อจื่อพูดขันแล้ว”
“นางเป็นบุตรีอนุภรรยาของใต้เท้าเหยา ข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง เจ้าก็รู้ว่าน้องสะใภ้สามของข้าเป็นบุตรีภรรยาเอกของใต้เท้าเหยา ก่อนหน้านี้นางล้มป่วย หมอหลวงต่างก็บอกว่าไม่อาจรักษาให้หาย ใต้เท้าเหยาจึงส่งคุณหนูรองคนนี้เข้ามาในจวนของพวกเรา ทีแรกก็เพื่อที่จะเตรียมให้นางเป็นซวี่เสียนของน้องสามของข้า”
หลังจากได้ยินที่เขาพูด เว่ยจางถึงกับเงียบแล้วขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย ในใจรู้สึกวิตกกังวลขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“เพียงแต่ว่าตั้งแต่ที่นางเข้าจวนมา นับวันน้องสะใภ้สามของข้าก็ยิ่งหายจากอาการเจ็บป่วย” ซูอวี้ผิงยิ้มอ่อนพร้อมทำสีหน้าที่ประหม่า “มีบางคนบอกว่าคุณหนูรองคนนี้เป็นดาวศุภเคราะห์ นางนำโชคดีให้พี่สาวที่เป็นบุตรีภรรยาเอก และเป็นหญิงสาวที่ได้รับการอำนวยพร แค่ว่า…พรของนางได้มอบให้กับพี่สาวของนาง นางจึงมีฐานะที่น่ากระอักกระอ่วนใจอยู่อย่างนี้”
“ไหนๆ พี่สาวของนางก็หายป่วยแล้ว งั้นเรื่องที่จะให้นางเป็นซวี่เสียนก็ไม่ต้องเอ่ยถึงแล้วนี่ คุณชายสามคงไม่อาจหย่าร้างกับภรรยาแล้วแต่งงานใหม่ใช่หรือไม่” เว่ยจ่างพลันพูดขึ้น พอเอ่ยจบ แม้กระทั่งเขาก็ยังรู้สึกประหลาดใจ นี่เป็นเรื่องภายในจวนติ้งโหว เขาที่เป็นบุรุษผู้หนึ่งจะมากความไปเพื่ออะไร
ซูอวี้ผิงเล่าเรื่องพวกนี้ให้เว่ยจางก็เพราะมีเหตุผลแอบแฝงอยู่ เหตุผลแรก เขาต้องการพูดถึงฐานะของเหยาเยี่ยนอวี่ แม้นนางจะเป็นบุตรีของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมือง แต่นางเป็นบุตรีของอนุภรรยา และเป็นสตรีที่ถูกบิดาส่งตัวมา เพื่อเตรียมตัวเป็นซวี่เสียนให้ซูอวี้เสียง ดังนั้นงานสมรสของนางจึงมีหลายอย่างมาเกี่ยวพัน หากเว่ยจางอยากจะกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันกับตระกูลเหยา เกรงว่าคงจะเป็นเรื่องที่ยุ่งยาก
ประการที่สอง ซูอวี้ผิงได้ปรึกษาหารือกับบิดาของเขาแล้ว เว่ยจางเป็นชายที่โดดเด่นในกองทัพ อีกทั้งยังมีบรรพบุรุษแม่ทัพผู้เฒ่าเว่ยคอยคุ้มครอง แม้นตอนนี้ตระกูลเว่ยตกต่ำลงแล้ว แต่อย่างไรก็ยังคงเป็นตระกูลที่มีคุณงามความดีหลงเหลืออยู่ วันนี้เว่ยจางได้รับความดีความชอบในกองทัพเช่นนี้ อนาคตของเขาคงไปได้ไกลแน่นอน ตระกูลซูควรข้องเกี่ยวกับคนเช่นนี้ให้มาก
และสิ่งที่เชื่อมความสัมพันธ์ของทั้งสองตระกูลให้มีความมั่นคงที่สุด ก็คือความสัมพันธ์จากการสมรส การสมรสเป็นวิธีที่ดีและได้ผลที่สุด ติ้งโหวจึงมีความเห็นเดียวกับบุตรชาย อยากจะให้หลานสาวซูอวี้เหิงกลายเป็นภรรยาของเว่ยจาง
เมื่อเปรียบเทียบระหว่างเหยาเยี่ยนอวี่กับซูอวี้เหิง ซูอวี้ผิงก็ต้องเข้าข้างลูกพี่ลูกน้องของตนเองอยู่ดี ต่อให้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นน้องสาวของเหยาเฟิ่งเกอก็ตาม หลังจากนางสมรสกับเว่ยจาง ตระกูลซูกับเว่ยจางก็ถือว่าเป็นญาติกัน แต่ความสัมพันธ์ก็คงไม่มั่นคงเท่าที่เว่ยจางได้กลายเป็นน้องเขยของเขา
อีกทั้งเขาเชื่อว่าเว่ยจางเองก็ต้องเอนเอียงไปทางน้องสาวของเขามากกว่า ต่อให้พวกนางเป็นบุตรีอนุภรรยาเหมือนกัน ทว่าซูอวี้เหิงกลับเป็นเลือดเนื้อเชื้อไขราชวงศ์ นางเป็นหลานสาวที่องค์หญิงต้าจั่งโปรดปรานที่สุด บุตรีอนุภรรยาของข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองจะเอามาเทียบกับหลานสาวขององค์หญิงต้าจั่งได้อย่างไร
ยิ่งไปกว่านั้น ซูอวี้เหิงมีอายุสิบสี่แล้ว ปีหน้านางก็เข้าพิธีปักปิ่นและควรพูดคุยเรื่องการออกเรือน นางเป็นบุตรีอนุภรรยา กลับเติบโตภายใต้การดูแลขององค์หญิงต้าจั่ง แน่นอนว่าควรเลือกเขยอย่างละเอียดถี่ถ้วน ตระกูลชนชั้นต้อยต่ำเกินไปก็ไม่คู่ควรกับเกียรติยศขององค์หญิงต้าจั่ง ทว่าหากเลือกตระกูลฐานะสูงศักดิ์เกินไปก็กลัวว่านางจะเป็นทุกข์ หากได้ออกเรือนกับคนที่มีฐานะอย่างเว่ยจางคงจะเหมาะสมที่สุด เมื่อมองหาคนที่มีฐานะเช่นนี้ในเมืองหลวงก็คงหามาได้ไม่ง่าย
เว่ยจางและซูอวี้ผิงค่อยๆ เดินออกจากพุ่มดอกไม้ไปพร้อมกัน ทั้งสองกลับไปที่นั่งด้วยความใจเย็น ต่างคนต่างกำลังครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่างในใจ
เป็นธรรมดาที่ซูอวี้ผิงจะไม่รู้ว่าเว่ยจางที่เขากำลังคิดถึงอยู่นั้นกำลังคิดเรื่องอะไร ตอนนี้ในใจของเว่ยจางกลับนึกย้อนถึงสีหน้าเมื่อครู่ที่ดูกระวนกระวายของเหยาเยี่ยนอวี่ และสีหน้าอึดอัดขัดเขินของนาง ตอนที่นางเข้ามาอยู่ในอ้อมกอดของเขา จากนั้นก็นึกถึงตอนที่เจอกันที่โรงหลอมเหล็ก นางกลับหลบอยู่ข้างหลังซูอวี้เหิง สีหน้าของนางเหมือนกำลังหลบเลี่ยงภัยอันตราย รวมไปถึงตอนที่เดินทางกลับเมืองหลวงหลังจากไปออกรบ นางก็ก้มมองตนด้วยสีหน้าที่ตกตะลึง
เหตุใดเมื่อคนคนหนึ่งเจอตนเองถึงแสดงสีหน้าและท่าทางที่มากมายเช่นนี้ทำให้เขารู้สึกว่านางน่าสนใจยิ่งนัก ตอนนี้เว่ยจางจึงอดใจไม่ได้ที่จะคิดถึงตอนที่ได้เจอคุณหนูคนนี้ในครั้งหน้า นางจะทำสีหน้าและท่าทางอย่างไร
ทางฝั่งเหยาเยี่ยนอวี่เองก็เดินกลับเรือนของตนอย่างเร่งรีบ จากนั้นก็เดินเข้าประตูพลางสั่งชุ่ยเวย “ปิดประตู”
ชุ่ยเวยพลันสั่งให้เหล่าสาวใช้ที่กำลังยกน้ำเข้ามาล้างหน้าให้กับนายหญิงออกไปให้หมด จากนั้นก็ปิดประตูให้สนิท แล้วเป็นคนยกกะละมังทองแดงพลางเดินเข้าไป จากนั้นก็เอาผ้าเช็ดหน้าให้เหยาเยี่ยนอวี่
เฝิงหมัวมัวรีบเข้าไปปรนนิบัติรับใช้ ถอดเสื้อผ้าออกงานที่หนักอึ้งของเหยาเยี่ยนอวี่ออก พลางพูดด้วยความขุ่นเคืองใจ “บุรุษที่โอหังเมื่อครู่แม้ว่าจะเป็นแขกของท่านซื่อจื่อ คุณหนูไม่น่าไปหวาดกลัวเขาเลย เขาเป็นถึงขุนนางฝ่ายบู๊ระดับห้า แต่กลับขานนามคุณหนูโดยตรงเช่นนี้ ท่านซื่อจื่อกลับทำเหมือนยืนดูเรื่องตลกอยู่ด้านข้าง ไม่ทราบจริงๆ ว่าเขาเป็นลูกเต้าเหล่าใครถึงถูกสั่งสอนให้เป็นคนเยี่ยงนี้”
เฝิงหมัวมัวรู้สึกขุ่นเคืองใจและไม่พอใจท่านซื่อจื่ออย่างยิ่ง ตระกูลเหยาและจวนติ้งโหวกลายเป็นทองแผ่นเดียวกันแล้ว และก็ยังเป็นตระกูลกงโหวอีกด้วย อีกทั้งข้าหลวงใหญ่ปกครองสองเมืองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าจวนโหวมากมิใช่หรือ ต่อให้จวนติ้งโหวมีเชื้อราชวงศ์ก็ไม่ควรรังแกผู้อื่นเช่นนี้มิใช่หรือ
สิ่งที่เหยาเยี่ยนอวี่สนใจจริงๆ ไม่ใช่เรื่องที่เว่ยจางขานนามของนาง อย่างไรนามที่ถูกตั้งมาก็เพื่อที่จะให้ผู้อื่นขานเรียก นางเป็นคนปัจจุบันจึงไม่ได้คิดจะเอาเรื่องพวกนี้มาใส่ใจ แค่ดวงตาที่ดุจดั่งนกเหยี่ยวดำของเขา แววตาเยี่ยงคมดาบ สีหน้าซับซ้อนยากที่จะเดา คิดๆ แล้วก็รู้สึกหวาดผวายิ่งนัก
สีหน้าที่คล้ายยิ้มคล้ายไม่ยิ้มของซูอวี้ผิงนั้นน่าแปลกยิ่งกว่า คนพวกนี้กำลังคิดอะไรอยู่กันแน่ เหยาเยี่ยนอวี่ยอมรับว่านางไม่ใช่ยอดฝีมือในการทำสงครามประสาทกับผู้อื่น จึงทำได้เพียงรีบออกจากที่นั่น จากนั้นนางก็พูดขึ้น “หมัวมัว ข้าไม่อยากอาศัยอยู่ในจวนติ้งโหวนี้แม้แต่วันเดียวเลยจริงๆ”