เฝิงหมัวมัวถอนหายใจ จากนั้นพูดขึ้น “วันที่สิบเก้าเดือนแปดคือวันครบรอบสิบปีที่นายหญิงสิ้นใจ แต่เดิมที่ผ่านมา ในจวนของพวกเราจะมีหอพระเล็กๆ คุณหนูมักจะวิ่งไปจุดธูปหนึ่งดอกที่หอพระ ทว่าในปีนี้คุณหนูมาอยู่ในจวนโหว แน่นอนว่าภายในจวนแห่งนี้ไม่มีที่ใดให้คุณหนูกราบไหว้เพื่อระลึกถึงนายหญิง เช่นนั้นสู้บอกกับคุณหนูใหญ่ว่าพวกเราจะออกไปอยู่ที่วัดสักสองสามวันเถอะเจ้าค่ะ”
“อ้อ!” เหยาเยี่ยนอวี่คิดในใจข้าลืมเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร! วันครบรอบการจากไปรอบสิบปี ไม่ง่ายเลยกว่าจะถึงเลขกลมๆ เช่นนี้ ตนที่เป็นบุตรีสมควรอย่างยิ่งที่จะไปวัดเพื่อคัดลอกคัมภีร์ สวดมนต์ภาวนา อธิษฐานขอพร อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาในวัดสักครึ่งเดือนกระมัง?
เช้าวันถัดมา เหยาเยี่ยนอวี่จึงหาโอกาสไปพบเหยาเฟิ่งเกอ จากนั้นบอกความคิดของนางให้เหยาเฟิ่งเกอฟัง
เมื่อเหยาเฟิ่งเกอได้ยิน นางก็ครุ่นคิดอยู่นาน
มารดาของเหยาเยี่ยนอวี่ แท้ที่จริงคือหลานสาวซึ่งเป็นญาติห่างๆ ของฮูหยินผู้เฒ่าซ่ง สำหรับเรื่องที่เป็นหลานสาวรุ่นที่เท่าใดนั้น เหยาเฟิ่งเกอเองก็ไม่แน่ใจ รู้เพียงว่าในตอนนั้น หลังจากที่หวางฮูหยินได้คลอดบุตรชายคนรอง เหยาเหยียนอี้ ตอนที่นางอยู่ไฟหลังคลอด สุขภาพร่างกายไม่สู้ดีนัก อย่างไม่มีใครคาดคิด ฮูหยินผู้เฒ่าจึงตัดสินใจใช้เกี้ยวชั้นดีรับสตรีสกุลซ่งเข้ามาในเรือน เพื่อเป็นกุ้ยเชี่ย[1] อนุภรรยาของเหยาหย่วนจือ
แน่นอนว่าหลังจากที่อนุซ่งเข้ามาในจวนนั้น นางไม่อาจเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องสำคัญในจวน นางทำได้เพียงช่วยฮูหยินเอกดูแลจัดการเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ของบรรดาสาวใช้เรือนหลัง ทั้งยังมีหน้าที่คอยดูแลฮูหยินผู้เฒ่า ทว่าหลังจากเข้าจวนมาหลายปี นางกลับไม่มีที่ท่าว่าจะตั้งครรภ์
ภายหลัง จู่ๆ หวางฮูหยินก็ตั้งครรภ์ขึ้นมา นางได้คลอดบุตรีคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเหยาเฟิ่งเกอ หลังจากที่คลอดบุตรีคนนี้ หมอก็สั่งไม่ให้ตั้งครรภ์อีก
เมื่อฮูหยินเอกไม่อาจตั้งครรภ์มีบุตรได้อีก ตระกูลเหยาจึงต้องการให้เหยาหย่วนจือรับอนุภรรยาอีก เพราะถึงอย่างไรหวางฮูหยินก็มีบุตรชายถึงสองคนและบุตรีอีกหนึ่งคนแล้ว ตำแหน่งของนางก็ถือว่ามั่นคงมากแล้ว ไม่จำเป็นต้องใส่ใจเรื่องเหล่านี้ จึงได้รับอนุภรรยาอีกคนเข้ามาในจวน ซึ่งอนุภรรยาคนนั้นก็คือสตรีสกุลเถียน
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ก็ช่างแปลกพิลึก หลังจากที่อนุเถียนเข้ามาในจวน อนุซ่งก็ได้ตั้งครรภ์และคลอดบุตรีคนแรก ซึ่งก็คือเหยาเยี่ยนอวี่ แต่ถึงอย่างไรการคลอดบุตรนั้นก็ได้ส่งผลร้ายต่อร่างกาย ทำให้ในตอนหลังนางเกิดล้มป่วยจนต้องกินยาอยู่ร่ำไป ท้ายที่สุดนางก็สิ้นใจตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่อายุหกขวบ ฮูหยินผู้เฒ่าซ่งสั่งให้คนจัดพิธีศพให้กับนางอย่างสมเกียรติ ทั้งยังซื้อที่ดินผืนหนึ่งเพื่อฝังศพของนาง
ด้วยเหตุนี้ เหยาเยี่ยนอวี่จึงไปจุดธูปหนึ่งดอกที่หอพระเล็กภายในจวนให้อนุซ่งทุกปี ทางด้านฮูหยินผู้เฒ่าซ่งเองก็จะสั่งให้บ่าวรับใช้นำผลไม้สดมาให้ สำหรับเรื่องนี้หวางฮูหยินก็ไม่ได้ว่ากล่าวตำหนิอะไร
เรื่องเหล่านี้เหยาเฟิ่งเกอล้วนรู้ดี ดังนั้นเมื่อเหยาเยียนอวี่พูดเช่นนี้ นางจึงยากที่จะปฏิเสธ เพราะถึงอย่างไรสตรีผู้นั้นก็เป็นถึงมารดาของเหยาเยียนอวี่ อีกทั้งฐานันดรศักดิ์ก็ไม่ได้ต้อยต่ำ มีสายเลือดเดียวกันกับฮูหยินผู้เฒ่า แม้นไม่เห็นแก่ผู้ใดก็ย่อมต้องให้เกียรติฮูหยินผู้เฒ่า
ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิดอยู่นานครู่หนึ่ง นางก็พยักหน้า “ความกตัญญูนี้ของเจ้า วิญญาณของซ่งอี้เหนียงที่อยู่บนสรวงสวรรค์ต้องรับรู้ได้แน่นอน แต่ที่เจ้าบอกว่าจะไปอยู่ที่วัดนานหนึ่งเดือนนั้น ถือเป็นระยะเวลาที่นานเกินไป ช่วงนี้อากาศจะยิ่งหนาวเย็นขึ้น เจ้าโดนลมหนาวอยู่ด้านนอกก็คงส่งผลเสียต่อร่างกาย ความหมายของข้าก็คือเจ้าไปอยู่เพียงสิบสองวันก็พอแล้วกระมัง”
เหยาเยี่ยนอวี่แค่ต้องการออกไปจากจวน เรื่องราวต่อจากนี้นางค่อยว่ากันอีกที ด้วยเหตุนี้นางจึงรีบขานรับ “เจ้าค่ะ ข้าเชื่อฟังคำพูดของพี่สาวเจ้าค่ะ”
“ส่วนวัด…” เหยาเฟิ่งเกอครุ่นคิดภายในใจ วัดทั่วไปนั้นย่อมไม่ได้เด็ดขาด เวลานี้เหยาเยี่ยนอวี่เป็นแขกของจวนติ้งโหว หากเกิดเรื่องใดกับนาง เกรงว่าจะเสื่อมเสียเกียรติทั้งของตนและจวนติ้งโหว ด้วยเหตุนี้นางจึงพูดขึ้น “มุ่งหน้าจากวัดต้าเปยที่อยู่ทางตะวันตกของเมืองไปตามถนนสามลี้ก็จะถึงวัดฉือซินแล้ว วัดแห่งนี้เป็นวัดของราชวงศ์เช่นเดียวกับวัดต้าเปย ทว่าเป็นวัดที่เงียบสงบ และมีกุฏิกับเรือนพำนักมากมาย ทั้งยังสะดวกแก่การพาบรรดาสาวใช้ไป พระอาจารย์จิ้งอันที่คอยดูแล ข้าเองก็รู้จักดี เจ้าไปสวดมนต์ภาวนาให้ให้อี้เหนียง[2]ของเจ้าที่นั่นเถอะ”
เหยาเยี่ยนอวี่เก็บความรู้สึกดีใจเอาไว้ แล้วกล่าวขอบคุณด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง เหยาเฟิ่งเกอเรียกผัวจื่อมาสองคน นางสั่งให้ผัวจื่อทั้งสองคอยติดตามคุณหนูรองไปด้วย แล้วให้เงินกับซานหูสี่สิบตำลึงเงินโดยกล่าวว่านี่เป็นเงินค่าธูปและน้ำมันที่ให้กับวัดฉือซิน ทั้งยังสั่งให้คนนำผ้าสะอาดออกมาอีกสี่ผืนเพื่อนำไปถวายเป็นจีวรให้กับพระอาจารย์
เมื่อเหยาเยี่ยนอวี่กลับถึงเรือนตนเอง เฝิงหมัวมัวก็จัดเตรียมข้าวของเครื่องใช้ให้กับนางอย่างครบครัน ข้าวของเครื่องใช้ของนางบรรจุเต็มสองคันรถ เช้าตรู่วันถัดมา นางไปที่เรือนของลู่ฮูหยินพร้อมกับเหยาเฟิ่งเกอ เพราะไม่ว่าอย่างไร การที่นางออกไปค้างแรมด้านนอกเป็นเวลาสิบกว่าวัน ควรที่จะบอกลู่ฮูหยินเสียหน่อย
หลังจากลู่ฮูหยินได้ยิน ก็แย้มยิ้มแล้วพูดขึ้น “เจ้าช่างเป็นเด็กที่มีจิตใจเมตตายิ่งนัก เมื่อเป็นเช่นนี้เจ้าก็ไปเถอะ แต่จงอย่าลืมว่าภายนอกจวนนั้นไม่อาจเทียบกับภายในจวนได้ ช่วงเช้าและค่ำนั้นอากาศแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง รักษาสุขภาพตนเองให้ดีด้วย”
เหยาเยี่ยนอวี่รีบลุกขึ้นแล้วขานรับ จากนั้นน้อมทำความเคารพลู่ฮูหยิน หลังจากร่ำลา นางก็ไปขึ้นรถม้าที่จอดอยู่ตรงด้านนอกประตูกลาง แล้วมุ่งหน้าไปทางตะวันตกของเมือง
“อ๊า! ในที่สุดก็ได้ออกมาแล้ว! ” เหยาเยี่ยนอวี่ที่นั่งอยู่บนรถม้าก็เหยียดแขนขึ้นสูง พลางสูดลมหายใจเข้าจนเต็มปอด รู้สึกว่าแม้แต่อากาศยังสดชื่นขึ้นมากในทันที
“สิบกว่าวันเองนะเจ้าคะ ถึงอย่างไรก็ยังต้องกลับไป” ชุ่ยเวยยิ้มบางๆ จากนั้นย้ำเตือน “ไม่รู้จริงๆ ว่าคุณหนูมีความคิดอย่างไร เหตุใดจึงชอบชีวิตท่ามกลางต้นไม้ในป่าเขาเจ้าคะ ภายในวัดล้วนเป็นอาหารมังสวิรัติ การที่คุณหนูไม่ได้กินเนื้อสัตว์นานสิบกว่าวัน ไม่รู้ว่าคุณหนูจะคุ้นชินหรือไม่”
“ขอเพียงมีชีวิตที่สงบสุข แม้นจะไม่ได้กินเนื้อสัตว์ไปชั่วชีวิต ข้าก็ยินดี! ยิ่งไปกว่านั้น การที่คอยติดตามคุณหนูเช่นข้า ใคร่กินสิ่งใดใช่ว่าจะไม่มี? มีแต่เกรงว่าเจ้าจะกินเนื้อสัตว์จนเอียนมากกว่า” อีกอย่าง ขอเพียงได้ออกมา ตนก็มีความสามารถที่จะไม่พาตัวเองกลับไปอีก ผู้ใดบอกว่าเป็นเวลาเพียงสิบสองวันกันเล่า เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้ม นัยน์ตาของนางฉายแววเจ้าเล่ห์ ซึ่งแตกต่างจากคุณหนูรองที่สุภาพเรียบร้อยและอ่อนโยนในจวนติ้งโหวอย่างสิ้นเชิง
“ไม่ใช่กระมังเจ้าคะ” ดวงตาของชุ่ยผิงเบิกกว้าง “ที่แห่งนั้นคือที่กราบไหว้บูชาพระพุทธองค์ แม้นพวกเราแค่ไปพักอาศัยชั่วคราว แต่ก็คงไม่สามารถกินเนื้อสัตว์ในที่แห่งนั้นกระมังเจ้าคะ พระอาจารย์ที่คอยดูแล จะไล่พวกเราออกมาได้นะเจ้าคะ”
“ใครบอกว่าจะกินเนื้อสัตว์ที่วัดกันเล่า?” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มแล้วพูดขึ้น “อายุของเจ้าน้อยนิด แต่เหตุใดจึงถือปฏิบัติเคร่งครัดเช่นนี้ พวกเราขึ้นไปบนหุบเขาแล้วกินอาหารป่า เผาเนื้อสัตว์มากิน เมื่อทำเช่นนี้พระอาจารย์ในวัดจะมายุ่งกับพวกเรางั้นรึ”
“…” ชุ่ยผิงเหลือบมองไปที่ชุ่ยเวย ภายในใจของนางพลางครุ่นคิด คุณหนูบอกว่าจะไปสวดมนต์ภาวนาให้นายหญิงซ่งในวิหารไม่ใช่หรือ
แม้ว่าวัดฉือซินจะเป็นสถานปฏิบัติธรรม ทว่ากฎระเบียบต่างๆ นั้นมีมากและเคร่งครัดกว่าในวัดวาอารามด้วยกัน ด้านหน้าและด้านหลังมีอุโบสถถึงสามอุโบสถ ภายในอุโบสถมีพระพุทธรูปทองคำ พระโพธิสัตว์กวนอิมและพระอรหันต์ทองคำ รูปปั้นทั้งสามนี้ตั้งสง่าโดดเด่นไม่มีสิ่งใดเทียบเทียมได้
แม้ว่าเหยาเยี่ยนอวี่จะร่ำเรียนด้านการแพทย์มาและเชื่อในเรื่องวิทยาศาสตร์ ทว่าการทะลุมิติมาในครั้งนี้ทำให้นางไม่กล้าที่จะลบหลู่เทพเซียนอีกต่อไป ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่เข้ามาในอุโบสถแล้ว นางก็ไปล้างมือให้สะอาด จากนั้นก็จุดธูปกราบไหว้พระพุทธองค์
ขณะที่กราบไหว้อยู่นั้น ก็ให้ผัวจื่อทั้งสองนำเงินและผ้าที่เหยาเฟิ่งเกอให้มาทำบุญนั้นยกขึ้นมาถวาย ผู้ที่คอยรับผิดชอบดูแลด้านการเงินของวัดฉือซิน ก็คือพระอาจารย์จิ้งอวิ๋น ท่านได้สั่งให้คนนำของถวายไปเก็บในโรงเก็บของ จากนั้นก็เชิญเหยาเยี่ยนอวี่ไปดื่มชาที่หอสงบใจ เหยาเยี่ยนอวี่จึงเล่าถึงการมาในครั้งนี้ และนางยังถวายเงินค่าธูปเทียนเพิ่มอีกสี่สิบตำลึงเงิน
วัดฉือซินคือวัดในเมืองหลวงที่ฮูหยินจากตระกูลใหญ่ที่มีฐานะมั่งมีมักจะมาทำบุญ ดังนั้นจึงมีการซ่อมบำรุงตลอดทั้งปี เรือนหลังเล็กแต่ละเรือนนั้นสะอาดและสงบเป็นอย่างมาก
พระอาจารย์จิ้งอวิ๋นให้เหยาเยี่ยนอวี่ไปพักอยู่ในเรือนหลังเล็กหลังหนึ่งภายในเรือนพำนักที่ติดกันเป็นแถวด้านทิศตะวันตกของอุโบสถหลัก ภายในเรือนนั้นปลูกต้นไผ่ม่วงเอาไว้ จึงได้ชื่อว่าเรือนจู๋ซิน เรือนนั้นมีเรือนหลักและเรือนข้างรวมสิบกว่าเรือน ทั้งสะอาดและเรียบง่าย ลมบนหุบเขาพัดโบก ต้นไผ่ภายในเรือนพลิ้วไหว มีลำธารไหลผ่านดั่งมังกรที่กำลังเคลื่อนไหว ป่าไผ่ในยามลมพัด มีเสียงกระทบกันของต้นไผ่ ภาพเช่นนี้งดงามดั่งหางหงส์
เฝิงหมัวมัวพาคนยกเครื่องนอนมา พวกเขายกเสื้อผ้าและของใช้อาบน้ำและล้างหน้ามาทั้งหมดสี่หีบ ชุ่ยเวยและชุ่ยผิงเดินเข้าออก ช่วงเวลาที่เหยาเยี่ยนอวี่ดื่มชากับพระอาจารย์จิ้งอวิ๋นและพระอาจารย์จิ้งอัน พวกนางก็จัดเรือนเสร็จเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
วันที่สิบเก้าเดือนแปด เฝิงหมัวมัวนำป้ายชื่อของซ่งอี้เหนียงมาวางไว้ภายในเอ่อร์ฝัง[3] พร้อมทั้งจัดเตรียมกระถางธูปและของเซ่นไหว้มาวางเอาไว้อย่างเรียบร้อย ทางด้านเหยาเยี่ยนอวี่ นางเปลี่ยนเป็นสวมใส่เสื้อผ้าเรียบๆ สีอ่อน จากนั้นก็เดินเข้ามาจุดธูปและสวดมนต์ เสร็จแล้วนางก็นั่งลงบนตั่งไม้ด้านข้าง แล้วคัดลอกบทสวดทั้งวัน
[1] กุ้ยเชี่ย สรรพนามเรียกหลานสาวหรือน้องสาวที่แต่งงานกับสามีของตนเอง
[2] อี้เหนียง อนุภรรยา
[3] เอ่อร์ฝังห้องขนาดเล็กที่ขนาบอยู่ด้านข้าง