รุ่งเช้าของวันที่ยี่สิบ เหยาเยี่ยนอวี่ยังคงมาจุดธูปที่อุโบสถเหมือนที่ผ่านมา จากนั้นก็นั่งสงบนิ่งสักพัก แล้วสั่งให้ชุ่ยเวยไปเอาห่อผ้าที่เตรียมไว้แล้วมา ชุ่ยเวยหันกลับไปปรายตามองผัวจื่อสองคนที่เหยาเฟิ่งเกอส่งมาด้วยที่อยู่ตรงลานพำนัก จากนั้นก็เตือนเสียงเบา “คุณหนูอดทนอีกวันดีกว่าไหม”
เหยาเยี่ยนอวี่ยกยิ้มบาง “เรือนนี้มีประตูหลัง พวกเราแอบออกไป จะกลัวไปทำไมเล่า”
ชุ่ยเวยจึงแอบเข้าไปเอาห่อผ้าในเรือนอย่างเงียบๆ จากนั้นก็เปลี่ยนเสื้อผ้าที่เป็นชุดกระโปรงผ้าต่วนของเหยาเยี่ยนอวี่เป็นชุดผ้าหยาบสีเทา แล้วแอบออกจากประตูหลังไปเงียบๆ
ในโรงน้ำชาที่ตั้งอยู่ตรงข้ามโรงหลอมเหล็กหวังจี้ เว่ยจางนั่งจิบชาอยู่ตรงริมหน้าต่างอย่างใจเย็น คนที่นั่งด้านตรงข้ามกับเขาเป็นรองแม่ทัพมีอยู่สองคนคือ เฮ่อซีและถังเซียวอี้ ส่วนคนที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะทั้งสองข้างคือเก๋อไห่และจ้าวต้าเฟิง
บรรดารองแม่ทัพทั้งสี่นายนี้ เฮ่อซีมีบุคลิกสงบเยือกเย็น ถังเซียวอี้มีบุคลิกของบัณฑิตที่สง่างาม ส่วนเก๋อไห่และจ้าวต้าเฟิง คนหนึ่งดูดุร้าย ส่วนอีกคนดูเกเร เมื่อโฉมหน้าของทั้งสี่คนมาอยู่รวมกันจึงเป็นที่น่าสนใจของผู้คนยิ่งนัก และกลายเป็นทิวทัศน์อย่างหนึ่งในโรงน้ำชา
“แม่ทัพเซ่า อีกแค่เดือนเดียว จวนของท่านก็ซ่อมแซมเสร็จแล้ว เมื่อถึงเวลานั้นพวกเราพี่น้องของท่านจะไปอวยพรท่านที่ได้ย้ายเข้าจวนใหม่” ถังเซียวอี้เป็นปัญญาชนที่มากการศึกษาและสง่าผ่าเผย ตอนที่เอ่ยวาจาออกมาจึงสละสลวย
“ย้ายเข้าจวนใหม่ ผายลมสิ! เดิมทีจวนแห่งนั้นก็คือจวนของแม่ทัพเซ่าอยู่แล้ว เพียงแค่โดนไอ้ผู้เฒ่าสารเลวนั่น…” เก๋อไห่บ่นฮึดฮัดด้วยความโมโห
“หุบปาก” เฮ่อซีถลึงตามองเก๋อไห่ “คนผู้นั้นอย่างไรก็คือท่านอาของแม่ทัพเซ่า”
“ท่านอา เน่าๆ น่ะสิ! มีท่านอาที่ทำตัวเช่นนี้ด้วยหรือ” จ้าวต้าเฟิงกระแทกถ้วยน้ำชาในมือลงบนโต๊ะ จากนั้นก็เอ่ยด้วยวาจาเชิงตำหนิ
เวลาที่เฮ่อซีกำลังพูด ที่ผ่านมาสหายพวกนี้ไม่เคยมีใครกล้าคัดค้าน นอกจากจ้าวต้าเฟิง แรกเริ่มเดิมทีเขาก็คือคนที่มีนิสัยที่ไม่กลัวฟ้าไม่กลัวดินอยู่แล้ว เขามีเรือนร่างกำยำ และมีใบหน้าที่เหี้ยมโหด ภายในใจก็มักจะกระทำเรื่องที่ผิดต่อจริยธรรมสามัญสำนึก ปกติมีเพียงเว่ยจางที่เอาเขาอยู่
“เสี่ยวอี้” เว่ยจางเคาะโต๊ะด้วยนิ้วของเขาจึงขัดจังหวะการสนทนาของพรรคพวกที่สนิทดั่งพี่น้องทั้งสี่คน
“แม่ทัพเซ่า” ถังเซียวอี้จึงรีบขานรับ
เว่ยจางครุ่นคิดอย่างเงียบๆ สักครู่หนึ่ง จากนั้นคลี่ยิ้ม ทว่ากลับไม่พูดอะไร
ถังเซียวอี้คอยไปสักพัก กลับไม่เห็นว่าเว่ยจางจะเอ่ยพูดอะไรออกมา จึงมองสหายที่อยู่ข้างๆ ด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็อดถามไม่ได้ “แม่ทัพเซ่า มีอะไรก็เชิญท่านพูดมาเถอะ”
“ใช่ หากท่านมีอะไรก็ออกคำสั่งมาได้เลย กับพี่น้อง ท่านจะอ้ำๆ อึ้งๆ ไปทำไม” เก๋อไห่เองก็คล้อยตามพวกเขา
“ตอนนี้แม่ทัพไม่เหมือนบุรุษแม้แต่น้อย!” จ้าวต้าเฟิงยังคงดูเหมือนพวกอันธพาล
เว่ยจางแค่นเสียงในลำคอพลางพูดขึ้น “จวนติ้งโหว”
“จวนติ้งโหว?” จ้าวต้าเฟิงมองเว่ยจางด้วยความสงสัย แล้วเหลือบมองถังเซียวอี้ในพริบตา
ถังเซียวอี้ยิ้มพลางพูดขึ้น “ข้าว่าแล้วต้องเป็นเรื่องนี้ แต่แม่ทัพเซ่า ท่านควรจะรออีกสองสามวัน ได้ยินมาว่าแม่นางผู้นั้นไปสวดมนต์ที่วัดฉือซิน บอกว่าจะไปพักอยู่ที่นั่นราวๆ ครึ่งเดือนจึงจะกลับมา”
เว่ยจางคลี่ยิ้ม รอยยิ้มของเขาบางยิ่งนัก แต่นัยน์ตาของเขาแฝงแววของความอบอุ่นอ่อนโยน
เฮ่อซีเหลือบตามองถังเซียวอี้แวบหนึ่ง แล้วถามเว่ยจางอย่างไม่เข้าใจ “แม่ทัพเซ่า ตอนที่ติ้งโหวซื่อจื่อได้กล่าวกับท่าน ความหมายคืออยากให้ท่านสมรสกับคุณหนูสามแห่งตระกูลซู ถึงแม้คุณหนูสามแห่งตระกูลซูจะเป็นบุตรีอนุภรรยา ทว่านางเติบโตภายใต้การดูแลขององค์หญิงต้าจั่ง นางมีหน้าตางดงาม และได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี เหตุไฉนท่านถึง…”
จ้าวต้าเฟิงยิ้มอย่างเบิกบานพลางเอ่ยถาม “เหล่าเฮ่อ คุณหนูสามแห่งตระกูลซูที่เจ้าหมายถึงคือแม่นางที่พวกเราเจอที่โรงหลอมเหล็กใช่หรือไม่ ผู้ที่ด่ากราดพวกเราว่าไร้มารยาท ผู้นั้นใช่หรือไม่”
เฮ่อซีถามด้วยความประหลาดใจ “พวกเจ้าเคยเจอกันหรือ”
“เคยเจอแล้ว! แม่นางผู้นั้นมีพลังที่ดุดันจริงๆ!” จ้าวต้าเฟิงจึงรีบเลียนแบบท่าทางที่ซูอวี้เหิงด่าทอพวกเขา และทำเสียงแหลม “พวกเจ้าคือใคร ถึงได้บังอาจเสียมารยาทเช่นนี้?!”
พวกเขาต่างก็หัวเราะเสียงดัง เฮ่อซียังคิดจะพูดอะไรออกมา ทว่าเว่ยจางกลับโบกมือ เพื่อสื่อให้เขาอย่าพูดต่ออีก
เฮ่อซีเผยสีหน้าทำอะไรไม่ถูก จากนั้นก็ส่ายหน้าพร้อมกับหยุดพูดทันที
…
ในเขตนอกเมืองหลวง ณ หุบเขาหลังวัดฉือซิน ทั้งภูเขาเต็มไปด้วยต้นก่วมแดง และกระแสลมที่พัดผ่านนั้นอย่างแผ่วเบา
เหยาเยี่ยนอวี่สวมใส่ชุดเสื้อผ้าที่ทำจากผ้าหยาบสีเทา นางเดินอยู่กลางป่าด้วยสีหน้าที่ผ่อนคลาย พร้อมกับสูดอากาศที่สดชื่น มือของนางจับต้นไม้สีเขียวชอุ่มไว้หนึ่งช่อ ขณะที่นางเดิน ก็เด็ดต้นสมุนไพรที่นางรู้จักไปด้วย ทำให้นางทั้งรู้สึกดีใจและสบายใจ
ชุ่ยเวยติดตามอยู่ข้างหลังของนาง ในมือถือห่อผ้า ขณะที่เดินติดตามก็คอยเตือนด้วยความกังวลใจ “คุณหนู เดินช้าๆ หน่อยเจ้าค่ะ! ดูทางข้างหน้าหน่อยเจ้าค่ะ! อย่าได้ทำให้ตนเองหกล้ม!”
“อ้อ ไม่เป็นไรหรอกน่ะ!” เหยาเยี่ยนอวี่โบกมืออย่างไม่เห็นด้วย “เจ้าเห็นว่าข้าเป็นหุ่นกระดาษหรืออย่างไร! เร็วๆ หน่อย! เดินตามข้ามาให้ทัน!”
ชุ่ยเวยดึงกระโปรงขึ้นแล้วรีบเดินตามไป
ทั้งนายและบ่าวสองคนเดินไปสักพัก ก็เห็นดวงอาทิตย์ขึ้นไปอยู่ตรงกลางท้องฟ้า เวลานี้เป็นเวลาเที่ยงแล้ว ชุ่ยเวยจึงเอาผ้าเช็ดหน้าซับเหงื่อของตนเอง จากนั้นก็รีบเดินไปอยู่ตรงหน้าเหยาเยี่ยนอวี่ แล้วเอาผ้ามาซับเหงื่อให้นาง
สองมือของเหยาเยี่ยนอวี่ถือพืชสมุนไพรไว้ แล้วปล่อยให้ชุ่ยเวยซับเหงื่อให้นาง จากนั้นจึงถามขึ้น “มีน้ำหรือไม่ ข้ากระหายน้ำจะตายแล้ว”
“ไม่…” ชุ่ยเวยรู้สึกเศร้าใจขึ้นมาทันที นางนึกว่าคุณหนูแค่จะออกมาสูดอากาศข้างนอกเล่นแล้วจะกลับไป นี่ก็เดินมาครึ่งวันแล้วยังไม่กลับไปอีก “ตอนออกมารีบร้อนเกินไป บ่าวเลยลืมเจ้าค่ะ…คุณหนูดูสิ ตอนนี้ก็ได้เวลากินอาหารเที่ยงแล้ว พวกเรากลับกันเถอะเจ้าค่ะ”
“กลับหรือ” เหยาเยี่ยนอวี่เงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า มองแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้และกิ่งไม้ที่ซ้อนทับกันหนาแน่น จากนั้นก็ยิ้มพลางเอ่ยพูด “ไม่กลับไป”
ชุ่ยเวยจึงหาก้อนหินที่สะอาดแล้วนั่งลง จากนั้นก็ยกแขนเสื้อซับในขึ้นมาซับเหงื่อ “ไม่กลับไป? คุณหนูไม่หิวหรืออย่างไรเจ้าคะ พวกเราเดินวนรอบป่าผืนนี้มาครึ่งวันแล้ว!”
“หากกลับไปก็คงจะออกมายาก” เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มบาง
ชุ่ยเวยเบะปากเล็กน้อย “คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูเป็นนายหญิง อยากออกมาก็ออกมา เหตุใดจึงต้องทำถึงขั้นนี้เล่า”
เหยาเยี่ยนอวี่ยิ้มพลางเอ่ยว่า “ออกจากประตูนั้นง่ายดาย เพียงแต่ข้าก็แค่เบื่อหน่ายที่มีคนติดตามมากมาย ที่คอยตามประกบหน้าประกบหลัง จะอิสระเหมือนเช่นนี้หรือ”
“เช่นนั้นข้าไม่สามารถไม่กินไม่ดื่มได้” ชุ่ยเวยถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้
เหยาเยี่ยนอวี่ชี้ไปยังทิศทางตอนเดินมา พลางกล่าวขึ้น “เมื่อครู่ตอนที่พวกเราเดินผ่านมีลำธารเล็กๆ พวกเราเดินไปตรงลำธารที่นั่นก็จะมีน้ำดื่มแล้วไม่ใช่หรือไง”
“อ้อ เช่นนั้นพวกเราจะเดินกลับไป?” ชุ่ยเวยยิ้ม ทว่ารอยยิ้มของนางนั้นดูแย่กว่าร้องไห้ สาวใช้เดินจนตุ่มแดงขึ้นเท้าแล้ว
“ไปเร็ว เดินไปสักพักก็ถึงแล้ว มันใกล้มากๆ” เหยาเยี่ยนอวี่เองก็รู้สึกเหนื่อย แต่นางรู้สึกตื่นเต้นดีใจมากกว่า ความรู้สึกที่ได้ปลดปล่อยอย่างเต็มที่ช่างดีเหลือเกิน ทำให้นางลืมความเจ็บและลืมความเมื่อยของแข้งขาเป็นปลิดทิ้ง
ชุ่ยเวยเอาต้นสมุนไพรที่เหยาเยี่ยนอวี่เด็ดใส่เข้าไปในห่อผ้า จากนั้นก็แบกห่อผ้าแล้วเดินกลับไป ถนนกลางป่านั้นเล็กและซับซ้อนยิ่งนัก แทบไม่มีทางให้เดิน ทั้งนายและบ่าวทั้งสองจึงเดินไปเดินกลับผิดทาง
ลำธารที่เห็นตอนมานั้นไม่เจออีกเลย กลับได้ยินเสียงของเด็กๆ หลายคนกำลังหัวเราะคิกคักกันอยู่
เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกดีใจขึ้นมาทันที “ชุ่ยเวย มีบ้านคนอยู่แถวนี้ พวกเราไม่เพียงแต่มีน้ำให้ดื่ม อีกทั้งยังจะมีมื้อเที่ยงให้กิน”
ชุ่ยเวยก็ถอนหายใจออกมา นางไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดี ถึงแม้นางจะเป็นสาวใช้ แต่ก็ถูกตระกูลเหยาซื้อตัวมาตั้งแต่เด็ก จึงเติบโตมาในจวนที่ใหญ่โต ทำให้ไม่คุ้นชินกับการใช้ชีวิตในกลางป่าเช่นนี้
สองนายบ่าวเดินไปตามทิศทางที่มีเสียงหัวเราะของเด็ก พอเห็นว่ามีเด็กน้อยสองคนที่มีอายุราวๆ สิบขวบกำลังปีนอยู่บนต้นไม้ ในมือของเด็กกำลังถือก้านไม้ไผ่ นางไม่รู้ว่าพวกเขากำลังต่อตัวทำสิ่งใด ในเวลานั้นเอง หนึ่งในเด็กสองคนนั้นก็พูดขึ้น “พี่ ทางโน้นๆ สูงอีกหน่อย”