เด็กอีกคนพูดขึ้นอย่างรำคาญใจ “เหตุใดเจ้าถึงพูดมากเช่นนี้! หุบปากเลยนะ”
“โธ่ พี่! เหลืออีกนิดเดียวเอง! “
“หุบปาก! เช่นนั้นเจ้ามาทำ?”
เหยาเยี่ยนอวี่และชุ่ยเวยเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เพื่อที่จะมองให้ชัดเจน ที่แท้ เด็กทั้งสองกำลังแหย่รังผึ้งขนาดใหญ่อยู่
“คุณหนู! รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ!” ชุ่ยเวยตกใจจนหน้าซีดเซียว นางดึงตัวเหยาเยี่ยนอวี่เอาไว้เพื่อที่จะพาคุณหนูของตนวิ่งหนี รังผึ้งนี้มีขนาดใหญ่พอๆ กับหัวโค หากนำลงมา เกรงว่าตัวผึ้งคงจะต่อยคนจนตายแน่
ทว่าเหยาเยี่ยนอวี่กลับมองรังผึ้งนั้นด้วยแววตาเป็นประกาย “ว้าว! รังผึ้ง!”
ชุ่ยเวยมองดูท่าทางของเหยาเยี่ยนอวี่ นางร้องไห้โดยไม่มีน้ำตา “คุณหนู! นั่นมันรังผึ้งนะเจ้าคะ! คุณหนูรู้แต่ก็ยัง…นั่นไม่ใช่แก้วแหวนเงินทอง คุณหนู…คิดจะทำอะไรเจ้าคะ”
“รังผึ้งคือสมุนไพรอย่างหนึ่งที่หายากมาก” เหยาเยี่ยนอวี่พึมพำ “มันอุดมไปด้วยโภชนาหารเชิงซ้อนมากมาย เกือบจะประกอบไปด้วยสารอาหารทั้งหมดอยู่ในน้ำผึ้ง เกสรผึ้ง ขี้ผึ้ง กาวชันผึ้ง รังผึ้งและสารอื่นๆ ซึ่งมีผลการวิจัยทางเภสัชวิทยาแล้วว่า สารสกัดจากน้ำผึ้งนั้นมีผลในการรักษาและเสริมการรักษาที่ดีต่อโรคที่เกิดจากแบคทีเรียและเชื้อรา นอกจากนี้ยังช่วยให้คอเลสเตอรอลในเลือดลดลง ช่วยลดความดันโลหิตและเพิ่มเกล็ดเลือด…”
“คุณหนูพูดสิ่งใดอยู่! รีบไปกันเถอะเจ้าค่ะ! ” ชุ่ยเวยมองดูก้านไม้ไผ่ในมือของเด็กน้อยที่กำลังจะสัมผัสกับรังผึ้ง วินาทีนั้นนางแทบจะถอดวิญญาณออกจากร่าง รีบลากตัวเหยาเยี่ยนอวี่วิ่งหนี
“เฮ้อ…” เหยาเยี่ยนอวี่ถูกชุ่ยเวยฉุดกระชากให้วิ่งมานั้น ยังคงหันไปมองอย่างอาลัยอาวรณ์ รังผึ้งขนาดใหญ่ขนาดนั้น และยังเป็นผึ้งป่าอีกด้วย ช่างน่าเสียดาย…
ไม่ไกลจากต้นไม้ที่มีรังผึ้งนี้ ไปทางทิศเหนือก็คือบันไดทางขึ้นวัดต้าเปย ตรงบันไดทางขึ้นนั้น บ่าวสี่คนกำลังหามเกี้ยวขนาดเล็กขึ้นไป โดยทำเป็นเก้าอี้ไม้ไผ่สีเขียวขนาดเล็ก ตัวเก๋งด้านบนคลุมด้วยผ้าขนสัตว์สีเขียว พวกเขากำลังเดินโงนเงนขึ้นไปด้านบน
ด้านหน้าและด้านหลังของเกี้ยวนั้นมีสาวใช้ หญิงชรารับใช้ และบ่าวรับใช้กว่าสิบคน
สิ่งที่ดึงดูดสายตาที่สุดนั้นคือคุณชายที่กำลังจับราวเกี้ยวอยู่ด้านข้างของตัวเกี้ยว คุณชายผู้นี้มีดวงหน้าดั่งหยกรูปงาม มีเรือนร่างสูงสง่า บนศีรษะสวมใส่มงกุฎหมวกสีม่วงทอง รองเท้าหุ้มส้นหนังกวาง ดวงตาดุจดอกท้อ จมูกโด่งเป็นสันรับกับริมฝีปากแดงและฟันอันขาวสะอาด บุคลิกดูสง่าผ่าเผยยิ่งนัก อีกทั้งยังสวมใส่เสื้อผ้าสาบตรงยาวสีม่วงที่ทำจากผ้าต่วนชั้นดี แล้วปกคลุมด้วยชุดคลุมสีแดง ช่างเป็นบุคคลที่ดูโดดเด่นท่ามกลางภูเขาและผืนป่าแห่งนี้
คุณชายผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่นใด แต่เป็นหลานชายที่ให้กำเนิดโดยภรรยาเอกเพียงผู้เดียวของอัครมหาเสนาบดีเฟิงจงเยี่ยที่เป็นขุนนางขั้นที่หนึ่ง และเป็นหลานชายคนเดียวของฮองเฮาเหนียงเหนียง เป็นหัวแก้วหัวแหวนแห่งตระกูลเฟิง ซึ่งนามว่าเฟิงเซ่าเชิน และฮูหยินผู้เฒ่าที่นั่งอยู่บนเกี้ยวเก้าอี้ไม้ไผ่ที่สวมเสื้อผ้าชั้นดีและมีผมขาวเต็มศีรษะ นั่นก็คือฮูหยินของอัครมหาเสนาบดี และเป็นพระสัสสุของฮ่องเต้ที่ได้รับพระราชทานให้เป็นฮูหยินหลวงขั้นที่หนึ่ง มีนามว่าเฟิงเหลียงซื่อ
ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงมาเยือนที่วัดต้าเปยเพื่อจุดธูปกราบไหว้พระโพธิสัตว์กวนอิมโดยเฉพาะ ด้วยเหตุที่ว่าฮองเฮาเหนียงเหนียงทรงพระประชวร ฮูหยินผู้เฒ่าจึงมาเยือนถึงที่เพื่อสวดมนต์ภาวนาให้พระนางปลอดภัย ถ้าหากไม่มีฝูงผึ้งที่บินมากลางอากาศพวกนั้น เดิมทีเรื่องเหล่านี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดียิ่งนัก
ทว่าเหตุการณ์ไม่ได้เป็นไปตามที่คาดไว้ พอมีฝูงผึ้งที่บินมามากมาย บรรดาสาวใช้และผัวจื่อที่ต่างก็ทาเครื่องประทินบำรุงผิวกาย ฝูงผึ้งจึงได้ต่อยหน้าพวกนาง ทันใดนั้น สถานการณ์ในตอนนี้จึงตกอยู่ในภาวะที่แตกตื่นยิ่งนัก
เหล่าสาวใช้และผัวจื่อต่างก็กรีดร้องพลางหนีหัวซุกหัวซุน ส่วนบ่าวรับใช้ต่างก็นำอาวุธขึ้นมาไล่ผึ้งพวกนั้น แต่สัตว์เช่นผึ้งที่กำลังบินว่อน จะถูกอาวุธที่งุ่มง่ามเงอะงะพวกนั้นไล่ไปหมดได้อย่างไร
เฟิงเซ่าเชินถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี บนเรือนร่างของเขาก็ทาเครื่องประทินผิวไม่น้อย ตัวของเขานั้นหอมกว่าเหล่าสาวใช้พวกนั้นเสียอีก แน่นอนว่าฝูงผึ้งต้องชื่นชอบในตัวเขาที่สุด
“โอ๊ยๆๆ…เจ็บเหลือเกิน! เจ็บเหลือเกิน!” คุณชายเฟิงกอดศีรษะของตนเองและหมุนหัวไปมาจนรู้สึกวิงเวียนศีรษะ
“คุณชาย รีบนั่งลงเจ้าค่ะ! คุณชายทางนี้ๆ ! คุณชาย…” บรรดาสาวใช้และผัวจื่อที่คอยติดตามข้างกายเขาต่างก็เอาผ้าเช็ดหน้าไล่ผึ้งไปด้วย และก็ตะโกนเช่นนี้ไปด้วย
“เชินเอ๋อร์! เชินเอ๋อร์!” ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงไม่สนใจตนเอง แค่ยื่นมือออกมาจับหลานชายที่ตนเองรักใคร่เอาไว้
“ฮูหยินผู้เฒ่า! ฮูหยินผู้เฒ่าระวังเจ้าค่ะ!” เหล่าสาวใช้และผัวจื่อที่กำลังปกป้องดูแลฮูหยินผู้เฒ่าจึงรีบแกะห่อผ้าออกแล้วตบตีผึ้ง
บ่าวที่คอยยกเกี้ยวเก้าอี้ไม้ไผ่ก็ถูกผึ้งต่อยเหมือนกัน ทั้งใบหน้ารู้สึกเจ็บแสบ จึงตั้งใจจะหลบผึ้งที่เข้ามาต่อย ทำให้เกี้ยวเริ่มโยกเยกไปมา
พวกสาวใช้ก็รู้สึกตื่นตระหนก จึงตะโกนขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกันว่า “ฮูหยินผู้เฒ่า!” สาวใช้ตื่นตกใจยิ่งนัก “ระวัง! อย่าทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าหล่น…อ๊า! ฮูหยินผู้เฒ่า…”
ตอนที่เหยาเยี่ยนอวี่จับมือกันวิ่งมากับชุ่ยเวย บังเอิญเห็นเกี้ยวเก้าอี้ไม้ไผ่ตัวนั้นเอียงไปข้างหนึ่ง จากนั้นจึงเห็นฮูหยินผู้เฒ่าคนนั้นตกลงมาจากเกี้ยว
“อ๊า!” เหยาเยี่ยนอวี่รู้สึกตกใจจนอดตะโกนไม่ได้
“ฮูหยินผู้เฒ่า!” ผู้คนที่อยู่ตรงไหล่เขาต่างก็ตกใจจนวิญญาณหลุดลอยออกมา แต่ละคนไม่สนใจว่าผึ้งจะต่อยอีกต่อไป ต่างก็เดินเข้าไปพยุงฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง และเวลานี้ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงสลบไปแล้ว และไม่ได้สติแม้แต่น้อย
“ท่านย่า! ท่านย่า!” เฟิงเซ่าเชินตะโกนร้องไห้ออกมาอย่างเศร้าโศก
เหยาเยี่ยนอวี่จึงพลันวิ่งไปข้างหน้า จากนั้นก็ผลักผู้คนที่กำลังมุงกันอย่างวุ่นวาย และก็ดึงตัวเฟิงเซ่าเชินออก พร้อมตะโกนออกมาอย่างร้อนใจ “อย่าแตะต้องนาง! อย่าเพิ่งแตะต้องตัวนาง!”
ทุกคนต่างก็ตกตะลึง ทหารที่คอยรักษาการณ์จึงเข้าไปล้อมเหยาเยี่ยนอวี่ไว้ทันที อาวุธที่อยู่ในมือต่างก็ชี้ไปที่นาง
“นี่เป็นโรคหลอดเลือดสมอง! หากไปขยับตัวนางจะเป็นอันตราย!” เหยาเยี่ยนอวี่ไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น เพียงพูดประเด็นสำคัญออกมา จากนั้นก็หันไปเรียกชุ่ยเวย “ชุ่ยเวย! ชุ่ยเวย! เอาเข็มเงินของข้ามา!”
“จะทำอะไร เจ้าจะทำอะไร! เจ้ารีบหลบไปเดี๋ยวนี้!” เฟิงเซ่าเชินเห็นแม่นางที่เหมือนคนขาดสติผู้นี้นั่งลงตรงหน้าท่านย่าของเขา แล้วยังบอกว่าจะเอาเข็มเงิน ทันใดนั้นเขารู้สึกร้อนใจขึ้นทันใดจึงกำลังจะเดินขึ้นหน้าไปผลักนางออก
เหยาเยี่ยนอวี่มองเฟิงเซ่าเชินด้วยความเย็นชา จากนั้นก็ชี้ไปยังฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนพื้น สีหน้าของนางแผ่รังสีความเย็นยะเยือกที่ไม่เคยมีมาก่อน “เจ้าอยากให้นางสิ้นใจใช่หรือไม่”
“ข้า…” เฟิงเซ่าเชินถูกเลี้ยงดูอย่างเอาอกเอาใจมาตั้งแต่เด็ก เขาจึงสะดุ้งตกใจเพราะท่าทางเช่นนี้ของเหยาเยี่ยนอวี่
“เข็มเงิน” เหยาเยี่ยนอวี่ดูหมิ่นคุณชายลูกผู้ลากมากดีเช่นนี้จากใจจริง พอเจอเรื่องอะไรหน่อย ก็รู้จักแต่ร้องไห้แล้วก็ตะโกนเสียงดังอย่างสติแตก ไม่คิดจะรับมือเหตุการณ์อะไรเลย เทียบไม่ได้กับแม่นางคนหนึ่งด้วยซ้ำ
ถึงแม้ชุ่ยเวยจะรู้สึกไม่ค่อยมั่นใจ แต่ก็ต้องฟังคำสั่ง จึงเอาตลับเข็มเงินออกมา แล้วยื่นเข็มเงินหนึ่งเข็มไปให้
ผึ้งยังคงบินวนไปวนมา เหยาเยี่ยนอวี่ปรายตามองเหล่าสาวใช้และผัวจื่อที่ใช้ผ้าเช็ดหน้าคลุมใบหน้าของตนเองไว้ ดังนั้นนางจึงสั่งชุ่ยเวย “เอาสมุนไพรพวกนั้นออกมาเผา”
“อ้อ เจ้าค่ะ” ชุ่ยเวยจึงรีบเอายาสมุนไพรที่เหยาเยี่ยนอวี่เด็ดเมื่อครู่นี้ออกมา แล้วใช้ไฟชุดโบราณจุดไฟ
ควันหนาลอยมาพร้อมส่งกลิ่นยาสมุนไพรแรงๆ ทำให้รู้สึกฉุนจมูกเล็กน้อย แต่ยังดีที่ผึ้งได้กลิ่นจึงรีบบินหนีออกจากที่นั่น
เหยาเยี่ยนอวี่ตรวจจับชีพจรของฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง และรู้ว่าความดันของนางขึ้นสูง รวมไปถึงการที่นางล้มเช่นนี้ เส้นเลือดสมองอาจจะแตกก็ได้ ในสมัยก่อนเรียกว่าโรคหลอดเลือดสมอง สำหรับยุคปัจจุบัน โรคชนิดนี้อันตรายมากๆ ถึงอาการจะดูไม่ค่อยหนัก แต่อาจจะทำให้เป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ หากอาการหนักก็อาจจะสิ้นชีพได้ทันที
จุดเน่ยกวาน[1] จุดสุ่ยโกว[2] จุดซานอินเจียว[3] จุดจี๋เฉวียน[4] และจุดฉื่อเจ๋อ[5] จุดฝังเข็มพวกนี้เป็นจุดที่ใช้รักษาอาการโรคหลอดเลือดสมอง เหยาเยี่ยนอวี่ใช้ตำราฝังเข็มมาฝังเข็มให้กับฮูหยินผู้เฒ่าเฟิง ถึงแม้นางจะไม่ได้ชำนาญมากเท่าไหร่ แต่กลับมีจิตใจที่สงบ และไม่ได้ดูกระวนกระวายเลยแม้แต่เพียงน้อย
อย่างไรก็ตาม หลังจากเวลาไม่นานก็ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงค่อยๆ ได้สติขึ้นมา จากนั้นก็ถอนหายใจยาว แล้วพึมพำเสียงต่ำ “เชินเอ๋อร์? เชินเอ๋อร์ล่ะ?”
“ท่านย่า!” เฟิงเซ่าเชินจึงรีบเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้า จากนั้นก็กุมมือฮูหยินผู้เฒ่าเฟิงไว้ ทั้งรู้สึกตื่นเต้นดีใจและตื่นตระหนกในเวลาเดียวกัน
[1] จุดเน่ยกวาน คือจุดหรือด่านสำคัญทางด้านในแขน
[2] จุดสุ่ยโกว เป็นจุดตรงกลางลำตัว
[3] จุดซานอินเจียว คือเหนือยอดตาตุ่มด้านใน 3 ชุ่นชิดขอบด้านหลังกระดูก
[4] จุดจี๋เฉวียน เป็นจุดฝังเข็มกึ่งกลางรักแร้
[5] จุดฉื่อเจ๋อ เป็นจุดของเส้นปอดที่อยู่บริเวณข้อพับศอก