บทที่ 23 ขาดหมดทั้งห้านิ้ว EnjoyBook
บทที่ 23 ขาดหมดทั้งห้านิ้ว
การต่อสู้ไม่ถึงชั่วโมงแต่กลับมีคนตายเกือบร้อย ขนาดคนที่เป็นหัวหน้าอย่างเฉินฮั่นหลงและซุนหยิงแต่พอมองเห็นซากศพนับร้อยก็กลัวจนตัวสั่น
พอมาอยู่ในสังคมแบบนี้ เรื่องเลือดตกยางออกก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่การต่อสู้เพียงครั้งเดียวตายนับร้อยพวกเขายังไม่เคยเจอมาก่อน ดูเหมือนว่าตระกูลไป๋จะเตรียมตัวมาเป็นอย่างดี เพราะไม่อย่างงั้นเรื่องใหญ่ขนาดนี้คงจะดังถึงหูตำรวจไปแล้ว
ซุนหยิงมองไปยังเฉินฮั่นหลงด้วยท่าทางเหมือนขอความช่วยเหลือ แต่เฉินฮั่นหลงก็ไม่รู้จะจัดการยังไงดี จนเขาอดไม่ได้ที่จะมองไปยังฉู่ชวิ๋น
“จะพึ่งคนพวกนี้ได้เหรอ?” ฉู่ชวิ๋นว่าแล้วก็มองไปยังลูกสมุนของกลุ่มเหยี่ยวมังกร
“คุณท่านวางใจได้เลยพวกนี้ล้วนเป็นคนที่จิตใจกล้าหาญ พึ่งได้แน่นอน” เฉินฮั่นหลงตอบอย่างมั่นใจ
ฉู่ชวิ๋นฟังแล้วพยักหน้าเล็กน้อย เพราะเรื่องที่เขาจะทำต่อไปนี้มันจะทำให้ผู้คนตกตะลึงมากจนเกินไป ถ้าเกิดเรื่องนี้แพร่ออกไป สำหรับเขาแล้วไม่มีผลอะไรแต่กลัวว่าเฉินฮั่นหลงกับซุนหยิงจะมีอันตรายมากกว่า
“บอกให้พวกที่เหลือเอาศพมากองรวมกัน” ฉู่ชวิ๋นพูดขึ้น
ซุนหยิงรีบออกคำสั่งทันที สมุนแต่ละคนก็ช่วยกันคนละไม้คนละมือใช้เวลาไม่นานก็เอาศพมากองรวมกันไว้เหมือนภูเขาลูกเล็กจนทำให้พวกเขาตัวสั่น แล้วฉู่ชวิ๋นก็บอกให้ลูกสมุนเหยี่ยวมังกรทุกคนถอยออกห่าง ไม่นานก็เหลือแค่ ฉู่ชวิ๋น เฉินฮั่นหลงและซุนหยิง เท่านั้นฉู่ชวิ๋นก้าวออกไปเดินวนรอบซากศพนั้น ร่างของเขาราวกับล่องลอยอยู่ในอากาศ การก้าวเท้าที่แปลกไปเหมือนกำลังเต้นรำ
มันเริ่มจากการเดินอย่างรวดเร็วก่อนจะค่อย ๆ ช้าลงสุดท้ายเท้าของฉู่ชวิ๋นราวกับจมลงไปในพื้น แต่ละก้าวมีพลังมากมายมหาศาลและค่อย ๆ ลอยออกมาอย่างเชื่องช้า
ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยัน!
และนี่ถือเป็นวิธีการสร้างค่ายกลอย่างหนึ่ง ค่ายกลมีทั้งหมดเก้าระดับ ระดับยิ่งสูงยิ่งมีแข็งแกร่ง ค่ายนี้ก็เหมือนเป็นค่ายกลที่ทดสอบความแข็งแกร่งของคนสร้างค่ายกล
ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยันถือได้ว่าเป็นค่ายกลระดับสองสำหรับฉู่ชวิ๋นในตอนนี้การสร้างค่ายระดับสอง ถือว่าเต็มที่แล้ว
เหลือเพียงไม่กี่ก้าวสุดท้ายใบหน้าของฉู่ชวิ๋นก็ซีดลง มีเหงื่อไหลออกตามหน้าผาก เท้าที่ค้างอยู่บนอากาศช่างยากที่จะเหยียบลงมา
เฉินฮั่นหลงกับซุนหยิงไม่เข้าใจว่าฉู่ชวิ๋นกำลังทำอะไรอยู่ แต่พอดูจากสถานการณ์แล้วน่าจะเกี่ยวกับการจัดการซากศพพวกนี้แน่ ๆ
“ปัง!”
สุดท้ายเท้าของฉู่ชวิ๋นที่ทำให้ทุกคนรู้สึกกลัวก็ย่ำลงบนพื้น ยังเหลืออีกสองก้าว อีกเพียงแค่สองก้าว ค่ายไฟโลกันตร์ก็จะสำเร็จ
แต่ถ้าสองก้าวที่เหลือนี้สำเร็จ ฉู่ชวิ๋นจะได้รับผลกระทบไม่น้อยเพราะพลังของเขาน้อยเกินไป
สีหน้าฉู่ชวิ๋นซีดขาวลงเรื่อย ๆ พร้อมกับร่างที่สั่นเทา เท้าราวกับมีอะไรมากั้นไว้ไม่ให้เหยียบย่ำลงบนพื้น ใบหน้าที่แข็งเกร็งบ่งบอกว่าฉู่ชวิ๋นกำลังกัดฟันตัวเองอยู่ แต่สายตากลับยังคงนิ่งสงบ
“ปัง!”
สุดท้ายเขาก็ย่ำลงพื้นจนได้ ท่วงท่าที่น่ากลัวนี้ทำให้พื้นสั่นไหวไปหมดเหลืออีกแค่ก้าวเดียว พลังลมปราณภายในร่างกายฉู่ชวิ๋นปรากฏออกมาโดยไม่รู้ตัว แววตานิ่งสงบแต่กลับดูดุดัน
“ค่ายกลเก้ามังกรเพลิงสุริยัน!” ฉู่ชวิ๋นตะโกนขึ้น เท้าที่ค้างอยู่บนอากาศก็เหยียบลงบนพื้น
“ปัง!” พอเท้าเขาได้เหยียบลงบนพื้น เปลวเพลิงสีแดงชาดก็ลุกลามท่วม เปลวเพลิงที่มอดไหม้ทำให้อากาศบริเวณรอบ ๆ ถูกเผาจนเกิดเสียงราวกับไฟฟ้าช๊อต “เปรี๊ยะ ๆ”
เปลวเพลิงนั้นรวมเข้าด้วยกันจนกลายเป็นก้อนครอบคลุมซากศพเอาไว้ เฉินฮั่นหลงราวกับคนโง่ที่ยืนมองเปลวเพลิงที่กำลังลุกโชน
ซุนหยิงยิ่งแล้วใหญ่ เพราะเขาอ้าปากค้างจนน้ำลายแทบไหลออกมาและยืนดูจนตัวสั่น สีหน้าของฉู่ชวิ๋นซีดลงแต่ไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกมา
เปลวเพลิงนั้นลุกโชนกว่าสามนาที ก่อนจะมอดดับลงซากศพที่กองกันเป็นภูเขาลูกเล็ก ๆ หายไปจนไม่เหลือแม้แต่ซากขี้เถ้า
“อึก…”
ซุนหยิงกลืนน้ำลายเสียงดัง สีหน้าของเฉินฮั่นหลงซีดขาวเหมือนกระดาษพร้อมกับปากที่สั่น เมื่อกี้มันเกิดอะไรขึ้น? อยู่ ๆ ก็มีก้อนไฟใหญ่ ๆ ลุกขึ้นมา
ซากศพนับร้อยใช้เวลาเพียงไม่กี่นาทีก็หายไปจนไร้ร่องรอย และที่แปลกไปกว่านั้นก็คือก้อนไฟลุกโชนอยู่เบื้องหน้าแต่พวกเขากลับไม่รับรู้ถึงความร้อนเลยแม้แต่น้อย พวกเขานับถือฉู่ชวิ๋นเป็นเทพมานานแล้ว แต่เทพทำอะไรแบบนี้ก็ได้เหรอ?
อยู่ ๆ ในใจของพวกเขาก็มีคำหนึ่งผุดขึ้นมา….บางทีฉู่ชวิ๋นอาจจะน่ากลัวยิ่งกว่าเทพ! กลางดึกในห้องโถงใหญ่ของตระกูลไป๋ ดึกขนาดนี้แต่ไฟในห้องยังคงสว่าง
“พี่ใหญ่ นานขนาดนี้แล้วพวกคนที่ส่งไปทำไมยังไม่มาอีก?” ไป๋เหรินเจี๋ยถามขึ้นด้วยอารมณ์ที่ทั้งโมโหทั้งรำคาญ
ในตอนบ่ายของวันนี้พวกเขาได้รับกล่องที่ถูกส่งมา ภายในนั้นเป็นนิ้วที่มีเลือดติดอยู่สด ๆ พร้อมกับกระดาษแผ่นหนึ่ง ที่เขียนเอาไว้ว่า : เอาเงิน ห้าร้อยล้านกับหวังซงมาแลกไป๋เซ่า
พอเห็นนิ้วนั้นแล้วไป๋เหรินเจี๋ยแทบลมจับ เพราะไป๋เซ่าเป็นลูกชายคนเดียวของเขา และในขณะที่พวกเขากำลังปรึกษากันว่าจะทำยังไงดีนั้น ทุก ๆ หนึ่งชั่วโมง จะมีนิ้วมือส่งมาหนึ่งนิ้ว
ปรึกษาไปปรึกษามาก็ยังไม่มีทางแก้ สุดท้ายก็เป็นคุณปู่ของตระกูลไป๋ที่ออกความคิดให้โจมตีกลุ่มเหยี่ยวมังกรในตอนกลางคืน
พวกเขาเชื่อว่าการส่งกลุ่มคนคุ้มกันไปกลุ่มเล็ก ๆ อย่างเหยี่ยวมังกรจะต้องยอมจำนนอย่างแน่นอนแรก ๆ พวกเขาคิดว่าจะลงมือในตอนตีสี่ แต่เป็นเพราะทุก ๆ ชั่วโมงที่ผ่านไป พวกเขาจะได้รับนิ้วมือหนึ่งนิ้ว พอถึงนิ้วที่ห้า ตระกูลไป๋ก็อดทนรอไม่ไหวเลยชิงลงมือก่อนเวลา
ป๋ายเหรินมองดูที่นาฬิกาข้อมือก่อนจะพูดออกมาอย่างมั่นใจ “วางใจได้! กลุ่มเหยี่ยวมังกรก็ใช่ว่าจะคนน้อย จะกำจัดก็ต้องใช้เวลาอยู่แล้วนี่เพิ่งจะผ่านไปชั่วโมงเดียว อย่าเพิ่งรีบร้อน รอฟังข่าวดีก็พอ”
ตระกูลไป๋หารู้ไม่ว่าคนที่ส่งไปกำลังอยู่ระหว่างเดินทาง…ระหว่างทางไปนรก ไป๋เหรินเจี๋ยรู้สึกรำคาญจนลุกขึ้นหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออกอยู่หลายครั้ง
“โทรไม่ติดเหรอ?” คุณปู่ที่อยู่ในระหว่างการพักผ่อนร่างกายลืมตาถามขึ้นมา
ไป๋เหรินเจี๋ยพยายามควบคุมอารมณ์และพยักหน้า
“ไม่น่าเป็นไปได้” คุณปู่ตระกูลไป๋ขมวดคิ้ว
“พ่อ พี่สอง พวกคุณวางใจได้ ถึงมือกลุ่มคุ้มกันแล้ว กลุ่มเหยี่ยวมังกรไม่มีทางสู้ได้แน่นอน ตอนที่ลงมือพวกนั้นจะส่งสัญญาณรบกวนออก โทรไม่ติดถือว่าปกติ คาดว่าตอนนี้พวกกลุ่มเหยี่ยวมังกรน่าจะตายกันหมดแล้ว กลุ่มคนคุ้มกันน่าจะกำลังจัดการทำลายหลักฐานอยู่” ไป๋เหรินอันจิบชาแล้วพูดขึ้นมาด้วยความมั่นใจ คุณปู่ตระกูลไป๋พยักหน้า เมื่อคิดว่าสิ่งที่ไป๋เหรินอันพูดมาก็มีเหตุผล
เวลาผ่านไปที่ละนาทีสองนาที
กระทั่งไป๋เหรินเจี๋ยเริ่มจะทนไม่ไหว ลูกน้องตระกูลไป๋ก็เคาะประตูเสียงดัง
“นายน้อยป่ายเซ่ากลับมาแล้วครับ!” ไป๋เหรินเจี๋ยได้ยินก็รีบพุ่งออกไปนอกประตูแต่ก็ไม่เห็นไป๋เซ่า ก่อนจะรีบถามขึ้น “ไหน ๆ?” ลูกน้องคนนั้นลังเลสักพักก่อนจะตอบไป “คุณชายไป๋เซ่าได้รับบาดเจ็บ สาหัสกำลังให้คุณหมอหลี่ดูอาการอยู่ครับ”
“ฉันจะไปดูเอง” ไป๋เหรินเจี๋ยอดทนรอไม่ได้ก็เลยรีบออกไป
“ไป๋เซ่าได้รับบาดเจ็บรุนแรงไหม?” ไป๋เหรินเจี๋ยถามขึ้นเสียงเรียบ พร้อมกับแววตาที่คาดเดาไม่ได้ “นิ้วมือขวาของคุณชายไป๋เซ่าขาดทั้งห้า คาดว่าในภายหน้า…”
ลูกน้องคนนั้นยังพูดไม่ทันจบทุกคนก็รู้แล้วว่าวันข้างหน้าไป๋เซ่าจะต้องกลายเป็นคนพิการ ไป๋หรินอันพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ยังดีที่ไม่ตาย” คุณปู่ตระกูลไป๋มองไปยังลูกชายคนโตพักหนึ่งก่อนจะถอนหายใจออกมา
นับแต่ไหนแต่ไรมาแล้วที่ไม่มีคำว่าครอบครัวในตระกูลผู้มีอิทธิพล เขารู้ดีว่าจริง ๆ แล้วสามพี่น้องไม่ได้รักกันเท่าไหร่ การที่ยังสามารถนั่งอยู่ด้วยกันได้ก็เป็นเพราะเขายังมีชีวิตอยู่
การที่เขาให้ไป๋เหรินอันเป็นหัวหน้าครอบครัว พี่น้องอีกสองคนก็ต้องไม่พอใจเป็นธรรมดา ในเมื่อพวกเขาไม่สามารถเป็นหัวหน้าครอบครัวได้ ก็เลยฝากความหวังไว้กับรุ่นต่อไป พวกเขาเลยลงทุนลงแรงกับลูกของตัวเองมากเพราะอยากให้เป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป
สายตาที่บ่งบอกถึงสงครามของสามพี่น้องนั้นเขารู้ดีทุกอย่าง แต่ถ้าไม่มีผลกระทบกับบ้านใหญ่ เขาก็จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น
อีกอย่าง ถ้าไม่ผ่านการคัดเลือกที่ทรหด เขาก็จะไม่รู้ว่าใครจะเหมาะสมเป็นหัวหน้าตระกูลคนต่อไป ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ตามคนที่มือไม่เคยเปื้อนเลือดจะไม่มีทางไปอยู่จุดสูงสุด นับเป็นสัจธรรมของโลกใบนี้
“พวกเราก็ไปดูกันเถอะ!” คุณปู่ตระกูลไป๋ว่าแล้วก็ลุกขึ้นเดินออกไป จะยังไงไป๋เซ่าก็ถือได้ว่าเป็นหลานชายของตัวเขา ถึงแม้ว่าความสัมพันธ์ในครอบครัวจะมีน้อย แต่เลือดก็ย่อมข้นกว่าน้ำ ไป๋เหรินอันกับป๋ายเหรินซีองก็ลุกขึ้นยืนและสบตากัน
ไป๋เหรินอันยิ้มบาง ๆ ก่อนจะรีบเดินออกไป สายตาของป๋ายเหรินซีองบ่งบอกถึงความยุ่งเหยิงพี่ใหญ่ของเขาคนนี้นับวันยิ่งร้ายกาจ
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเขาส่งคนคุ้มครองไปแทนไม่ยอมส่งตัวหวังซง แถมยังถ่วงเวลาไว้ตั้งห้าชั่วโมง ไป๋เซ่าจะเสียนิ้วถึงห้านิ้วงั้นเหรอ? ป๋ายเหรินซีองส่ายหัวก่อนจะเดินตามออกไป
บ้านตระกูลไป๋ และไป๋เซ่ากำลังร้องครวญคราง หมอหลี่เป็นหมอฝีมือดีประจำตระกูลไป๋ แต่กับเคสของไป๋เซ่าเขายอมรับเลยว่ามันยากมากจริง ๆ รอยแผลที่นิ้วขาดยังคงมีเลือดไหลอยู่ไม่หยุด ขนาดว่าเขาใช้ยาสารพัดอย่างก็ยังห้ามเลือดไม่ได้ เป็นแบบนี้ได้ยังไง? รอยแผลที่นิ้วขาดแค่มีเลือดซึมออกมาอย่างช้า แต่กลับห้ามเลือดไม่ได้
“คุณหมอหลี่ เป็นไงบ้าง ทำไมถึงห้ามเลือดไม่ได้?” ไป๋เหรินเจี๋ยพยายามสะกดอารมณ์ตัวเองแล้วถามขึ้น นี่ถ้าเกิดเป็นคนอื่นละก็เขาคงจะตะคอกออกไปนานแล้ว แต่เขาไม่สามารถทำแบบนั้นกับคุณหมอหลี่ได้ เพราะเขาได้รับเชิญมาโดยคุณปู่ตระกูลไป๋จากประเทศ M มีความสามารถมากมายจนได้รับรางวัลหลายจากประเทศ
หมอหลี่ขมวดคิ้ว สีหน้าไม่สู้ดีนัก เป็นหมอมาสิบกว่าปี โรคอะไรก็เจอมาหมดแล้ว แต่กลับหยุดเลือดจากแผลเล็ก ๆ นี่ไม่ได้ มันทำให้คนที่ภูมิใจมาตลอดอย่างเขารู้สึกไม่ชอบใจ ในหัวก็พยายามคิดหาทางอื่น ๆ มากมายเพื่อรักษาไป๋เซ่า
พอเห็นลูกชายตัวเองอยู่ในสภาพนี้ ไป๋เหรินเจี๋ยก็อดไม่ได้ที่จะตะคอกขึ้นเสียงดัง “คุณหมอ นี่ลูกผมเป็นอะไรกันแน่!!!”
หมอหลี่หลุดจากภวังค์แล้วมองไปยังไป๋เหรินเจี๋ยที่กำลังเดือดจัด ถึงแม้ว่าคนในบ้านจะเคารพเขาอยู่หน่อยแต่ยังไงตัวเองก็เป็นคนนอก
เขาพูดขึ้นอย่างกระดากใจ“รอยแผลของนายน้อยไป๋เซ่ามันแปลกมาก ๆ ผมใช้ทุกวิถีทางแล้วแต่ก็ยังห้ามเลือดไม่ได้”
ไป๋เหรินเจี๋ยฟังแล้วกระชากคอเสื้อหมอหลี่ขึ้นมา แล้วตะคอกเสียงดัง “คุณได้ชื่อว่าเป็นถึงปรมาจารย์หมอ ทำไมแค่การห้ามเลือดก็ทำไม่เป็น? คุณคิดว่าผมอารมณ์ดีมากรึไง!”
หมอหลี่ที่โดนไป๋เหรินเจี๋ยตะคอกใส่ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก “พ่อ ช่วยผมด้วย ผมไม่อยากตาย….” สีหน้าของไป๋เซ่าบ่งบอกถึงความกลัว โดนไท้ถานทรมานหลายชั่วโมงบวกกับระหว่างทางมีเลือดไหลไม่หยุด ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเขาต้องเลือดไหลจนตายแน่ ๆ
“เสี่ยวเซ่าวางใจได้ พ่อไม่ยอมให้ลูกตายแน่นอน พ่อจะพาลูกไปโรงพยาบาลตอนนี้แหละ”
เวลานี้เอง คุณปู่ตระกูลไป๋กับไป๋เหรินอันและไป๋เหรินฉงก็เดินเข้ามา “น้องสอง ยังไม่รีบปล่อยมืออีก”
พอเห็นไป๋เหรินเจี๋ยดึงคอเสื้อหมอหลี่อยู่ ไป๋เหรินอันก็พูดท่าทางตำหนิ ไป๋เหรินเจี๋ยตาแดงก่ำราวกับไม่ได้ยินที่ไป๋เหรินอันพูด “พี่สอง มีเรื่องอะไรค่อยพูดค่อยจา ปล่อยมือก่อน” ป๋ายเหรินซีเองเข้าไปห้าม
“ไสหัวไป! ขนาดห้ามเลือดยังทำไมได้ จะมีหมอแบบนี้ไว้ทำซากอะไร!” ไป๋เหรินเจี๋ยคอกเสียงดังด้วยความโกรธแค้น