บทที่ 624 การกลืนกินจากเงา โดย Ink Stone_Fantasy
ระเบิดซากศพลอยลงมาจากข้างบนพร้อมหยดเลือดที่สาดกระจายไปทั่ว ภาพที่เห็นทำเอาหลิงม่อหน้าถอดสีครั้งใหญ่
ทันใดนั้นเขาตระหนักได้ว่า ตัวเองเข้าใจบางอย่างผิดอย่างมหันต์…บางทีในสัญชาตญาณของซอมบี้สัตว์ป่าพวกนี้อาจมีอะไรบางอย่างอยู่จริงๆ แต่วิธีการคิดของพวกมันไม่เหมือนกับมนุษย์อย่างแน่นอน
อย่างเช่นซอมบี้ยักษ์หญิงตัวนี้ พฤติกรรมของมันไม่มีวันที่มนุษย์จะเข้าใจได้!
“นั่นคู่ครองของแกไม่ใช่เรอะ! ใช้ประโยชน์จากร่างกายของมันขนาดนั้นไม่เหมาะสมมั้ง เฮ้ย!”
ไม่เพียงแค่กระชากแขนหลุดเท่านั้น แต่ยังขว้างศพเข้ามาอีก!
แถมการขว้างศพครั้งนี้ก็ช่างปาได้ฉลาดลึกล้ำเหลือเกิน!
ยังไม่ต้องพูดถึงว่าหากถูกร่างกายขนาดมหึมาของซอมบี้ยักษ์ชายทับจะเป็นอย่างไร ถึงแม้จะหลบได้ แต่ยังมีเลือดมากมายที่พุ่งกระฉูดออกมาจากแผลแขนขาดของมันนั่นอีกล่ะ!
แค่เพียงเลือดพวกนั้นกระเด็นเข้าตาหรือปากของหลิงม่อเพียงหยดเดียว เขาจะต้องเจอกับปัญหาใหญ่แน่นอน
นั่นมันซอมบี้ระดับเจ้าเมืองเลยนะ! ถึงจะเป็นหลิงม่อ ก็ไม่กล้าเสี่ยงอันตรายในสถานการณ์อย่างนี้
เขารีบโฉบกายหลบออกไปด้านข้างทันที ขณะเดียวกันก็รีบดึงเสื้อขึ้นเพื่อคลุมศีรษะตัวเองให้มิด
ซอมบี้ยักษ์หญิงคิดจะหนีจริงๆ แต่ตอนนี้มันไม่อาจเอาชนะศัตรูที่มีมากกว่าได้…
ถึงแม้ระเบิดซากศพที่มันขว้างออกมาจะกำจัดหลิงม่อได้ชั่วคราว แต่ก็ยังมีซอมบี้สาวอีกสามตัว…
ขณะเดียวกับที่หลิงม่อหลบออกไป เขาก็ได้แผ่หนวดสัมผัสทางจิตออกไปกางตาข่ายให้พวกเธอ ขณะเดียวกับที่หยิบยื่นทางหลบให้พวกเธอ เขาก็ดีดร่างพวกเธอให้ตามซอมบี้ยักษ์หญิงที่กำลังจะพุ่งไปทางหน้าต่างได้ทันเวลา
เขาเพิ่งเรียนรู้วิธีนี้สดๆ ร้อนๆ โดยมีต้นฉบับซึ่งก็คือ “ระเบิดซากศพ”
ซอมบี้สาวสามตัวดิ่งลงมาจากกลางอากาศ และหยุดซอมบี้ยักษ์หญิงได้ทันเวลา เมื่อแขนขาดไปข้างหนึ่ง และไม่มีความช่วยเหลือจากซอมบี้ยักษ์ชาย บวกกับการเข้าร่วมครั้งสุดท้ายของหลิงม่อ มันจึงตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างรวดเร็ว
หลายนาทีต่อมา ท่ามกลางสภาพแวดล้อมอันยุ่งเหยิง หลิงม่อยื่นมือออกไปรับไวรัสนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองสองก้อนมาจากเย่เลี่ยน
เมื่อเห็นการตกผลึกของเชื้อไวรัสอันบริสุทธิ์ สายตาของหลิงม่อก็ดูร้อนรุ่มขึ้นมา
เหงื่อที่ไหลท่วมตัวตอนนี้ ถือว่าไม่เสียเปล่า …
และอาจเป็นเพราะขนาดของร่างกาย ขนาดของนางพญาสองก้อนนี้จึงได้ใหญ่ผิดปกติตามไปด้วย
เมื่อเทียบกับนางพญาของซอมบี้เจ้าเมืองที่หลิงม่อเคยได้มา สองก้อนนี้ใหญ่ขึ้นประมาณหนึ่งในสาม และระดับความบริสุทธิ์ก็สูงกว่ามากด้วย
เมื่อเป็นอย่างนี้ เชื้อไวรัสก็เหมือนกับน้ำมันที่เป็นแรงขับเคลื่อนของซอมบี้จริงๆ และนางพญาก็เป็นเหมือนเครื่องยนต์
นางพญาที่ใหญ่และบริสุทธิ์ยิ่งกว่า จึงจะสามารถรองรับการทำงานของเครื่องยนต์ที่ใหญ่กว่า
“เดี๋ยวๆๆๆ…” หลิงม่อตบมือหลี่ย่าหลินที่แอบยื่นเข้ามาเงียบๆ จากนั้นก็เอานางพญาสองก้อนเก็บติดตัวทันทีท่ามกลางสายตาคาดหวังของซอมบี้สาวสามตัว
“ตอนนี้ไม่ได้” หลิงม่อยกมือขึ้นเช็ดมุมปากให้เย่เลี่ยน
เบ่เลี่ยนเบิกตากว้าง จากนั้นก็ขยับปากไปมาเล็กน้อย และแลบลิ้นออกมาเลียริมฝีปาก
หลังเก็บนางพญาเสร็จ หลิงม่อก็ยกมือปาดเหงื่อ จากนั้นก็หันไปมองทางประตูทางเข้าร้านกาแฟ…
ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ที่กำลังรอให้เขาไปจัดการ…
ไม่กี่นาทีก่อนหน้านี้ ขณะที่สวี่ซูหานยกปืนขึ้นเล็งไปทางเย่เลี่ยน ร่างกายของเธอก็กระตุกสั่นอย่างควบคุมไม่อยู่
อาจเป็นเพราะความหวาดกลัวเมื่อกี้ยังไม่หายไป…สวี่ซูหานคิดอย่างนี้ในใจ
แต่ความรู้สึกที่อย่างไรก็ไม่อาจกดนิ้วลงบนไกปืนนี้ กลับทำให้จิตใจของสวี่ซูหานเต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย
ความจริงภารกิจของเธอไม่ได้ซับซ้อนเลย—พยายามโจมตีเย่เลี่ยนให้บาดเจ็บมากที่สุด เพื่อหลอกล่อความสนใจจากพวกหลิงม่อ…จะให้ดีที่สุด ก็ฆ่าเธอเลยยิ่งดี
แต่ตอนนี้ในขณะที่มองแผ่นหลังของเย่เลี่ยน สวี่ซูหานกลับทำใจลงมือไม่ได้
แต่ว่า มันคือโอกาส และเธอก็ต้องทำ…
“อ๊าาา!”
สวี่ซูหานตะโกนลั่นเสียงดัง แต่สุดท้ายเธอก็ยกปากปืนขึ้นฟ้า ยิงไปที่โคมไฟเหมือนต้องการระบายอารมณ์
ทว่าเมื่อเธอก้มหน้าลงมา ด้านหน้าก็มีใครคนหนึ่งยืนอยู่แล้ว หลิงม่อ…
แม้กระทั่งเย่เลี่ยนที่เมื่อกี้ยังดูเหมือนไม่มีท่าทีระวังเธอเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้เธอคนนั้นก็ไปปรากฏตัวอยู่อีกมุมหนึ่งของห้อง
พริบตาเดียว ขณะเดียวกับที่สวี่ซูหานถอนหายใจยาวๆ เธอก็รู้สึกเหมือนเย็นสะท้านไปทั้งตัว
……….
“ดังนั้นนายก็เลยรู้หมด?” มู่เฉินหันไปมองหลิงม่อที่ยืนพิงประตูอยู่
“ก็ประมาณนั้น…” หลิงม่อลูบจมูก “พวกนายต้องคิดตะหนีแน่นอนอยู่แล้ว เพียงแต่พวกนาย…หักมุมมาก ฉันนี่ตกใจไม่เบาเลยล่ะ ฉันคิดว่าตอนนี้พวกนายคงไม่อยากหนีอีกแล้วใช่ไหม?”
“แค่นี้ขีวิตฉันก็ลำบากมากพอแล้ว…ช่วยอย่ามาถากถางซ้ำเติมกันได้ไหม?!” มู่เฉินตอกกลับเขาพร้อมหน้าตาบูดบึ้ง จากนั้นก็หันไปมองสวี่ซูหาน
ขณะที่ทั้งสองมองตากัน ต่างคนต่างอ่านอารมณ์ “หงุดหงิด” จากสายตาอีกฝ่ายได้อย่างชัดเจน
คนหนึ่งถูกทิ้ง คนหนึ่งถูกหลอก ความรู้สึกของพวกเขาสองคนในตอนนี้เห็นชัดว่าแย่ถึงขีดสุด
กลับกลายเป็นหลิงม่อผู้อยู่ใจกลางวังน้ำวนที่ยังคงสงบนิ่ง ไม่แม้กระทั่งบันดาลโทสะ นั่นทำให้มู่เฉินและสวี่ซูหานรู้สึกละอายใจเล็กน้อย แต่พอคิดดูดีๆ ก็โล่งใจมากกว่า
อาจเป็นเพราะหลิงม่อไม่เก็บเรื่องที่พวกเขาสร้างปัญหามามองเป็นเรื่องใหญ่ ถึงได้ดูเฉยๆ อย่างนี้…
แต่ทำไมพอคิดอีกทีแล้วกลับรู้สึกว่ามันน่าเศร้าล่ะ? มู่เฉินร่ำร้องอยู่ในใจ
จู่ๆ เขาก็หันไปมองสวี่ซูหานแวบหนึ่ง แล้วถามว่า “แต่ว่า ทำไมเธอต้องทุบฉันด้วย?”
“ซย่าจื้อบอกว่าให้ฉันโจมตีเย่เลี่ยนเพื่อทำให้หลิงม่อเสียสมาธิ จากนั้นพวกนายจะลอบโจมตีเขา ฉันก็แค่ไม่อยากให้นายทำเรื่องโง่ๆ” สวี่ซูหานพูดด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“เอาเถอะ…ถึงจะเจ็บมาก แต่ฉันให้อภัยเธอ แต่ฉันก็ยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจอยู่ ทำไมเธอถึงได้เปลี่ยนใจล่ะ?” มู่เฉินถามอย่างสงสัยอีกครั้ง
เรื่องนี้คือเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงเลยแม้แต่น้อย ถ้าหากสวี่ซูหานลงมือจริงๆ ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่ ป่านนี้พวกเขาคงจบเห่ไปนานแล้ว
สวี่ซูหานนิ่งเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วส่ายหน้า “ฉันไม่รู้…”
“นี่คือความผิดพลาดของซย่าจื้อ เขาควรจะให้เธอไปลอบโจมตีหลิงม่อ” จู่ๆ มู่เฉินก็มองไปทางหลิงม่อ แล้วบอกว่า “ทำอย่างนั้นแผนทิ้งเพื่อนของเขาจึงจะสมบูรณ์”
สวี่ซูหานเองก็เงยหน้ามองหลิงม่อ แต่ไม่นาน เธอก็ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
“เธอ…” มู่เฉินนิ่งไป แล้วมองสวี่ซูหานอย่างตะลึง จากนั้นก็เบิกตากว้างหันไปมองหลิงม่อ
“เอ่อ…” จู่ๆ หลิงม่อก็เปิดปาก ตัดบทมู่เฉิน “แล้วแผนของพวกนายตอนนี้คืออะไร?”
เพิ่งจะพูดจบ หลิงม่อกลับรู้สึกว่าจู่ๆ ข้างหลังก็สว่างวูบวาบขึ้นมา
เขาหันกลับไปมองข้างนอกอย่างตะลึงเล็กน้อย
และพอมองออกไป สีหน้าของเขาก็บูดบึ้งขึ้นมาทันใด
“ซย่าจื้อของพวกนายนี่ ใจคอโหดเหี้ยมจริงๆ เลยนะ…” หลิงม่อพูดอย่างเย็นชา
เวลานี้ เปลวเพลิงกำลังโหมไหม้อยู่นอกหน้าต่าง !
“เคร้งคร้างๆ!”
ซย่าจื้อทิ้งถังน้ำมันลงบนดาดฟ้า จากนั้นก็มองไปรอบๆ
ภายใต้ท้องฟ้ายามค่ำคืน จุดสว่างสีแดงๆ มากมายกำลังเข้ามาใกล้ตึกแห่งนี้อย่างรวดเร็ว
เหล่าซอมบี้ที่กำลังวิ่งเข้ามาตามถนนเพื่อพุ่งใส่เปลวเพลิง ถึงแม้ไม่ได้แกร่งเท่าซอมบี้เจ้าเมืองสองตัวนั้น แต่ด้วยจำนวนของพวกมัน กลับสามารถสร้างปัญหาให้ยุ่งยากกว่าเดิม
ภาพนี้มากพอที่จะทำให้ผู้รอดชีวิตคนอื่นแข้งขาอ่อนได้ แต่กลับทำให้ซย่าจื้อเผยรอยยิ้มออกมา
รอยยิ้มนั้นบนใบหน้าเขาปรากฏชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และดูหยิ่งผยองได้ใจมากผิดปกติ…
“พวกแกคงคิดว่าฉันจะหนีสินะ?” จู่เขาก็ฉีกยิ้ม “แต่ฉันไม่ได้ไร้เดียงสาเหมือนพวกแกหรอกนะ…”
หลังจากพึมพำกับตัวเอง เขาก็ก้มหน้ามองฝ่ามือตัวเอง จากนั้นก็กำหมัดแน่นทันที
ความรู้สึกที่สามารถกุมชะตาชีวิตคนอื่นไว้ในมือ ช่างดีเหลือเกิน!
ใครเล่าจะคิดว่าก่อนที่ภัยพิบัติจะเกิด เขาเป็นเพียงแค่ชายคนหนึ่งที่วันๆ ต้องทำตัวสงบเสงี่ยมเมื่ออยู่ต่อหน้าหัวหน้า กลับบ้านก็ยังต้องเผชิญหน้ากับเสียงบ่นและทะเลาะ?
ตอนที่ภัยพิบัติเกิดขึ้น ตอนแรกเขาเองก็หวาดกลัว และสิ้นหวังมากเหมือนกัน…
แต่เมื่อความสามารถพิเศษในตัวถูกปลุกตื่น เขาก็รู้สึกเหมือนตัวเองไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว
บางที…นี่อาจจะเป็นโอกาส โอกาสที่จะทำให้เขาหลุดพ้นออกมาจากชีวิตที่ไร้ความน่าตื่นเต้น และน่าเบื่อสุดนั่น!
แต่ความคิดนี้ก็อยู่ได้ไม่นาน ไม่นานซย่าจื้อก็ค้นพบว่า เมื่อเทียบกับคนที่อยู่รอบตัวแล้ว ตัวเองยังคงไม่เป็นที่สะดุดตาอยู่ดี
เหมือนเมื่อก่อนไม่มีผิด! ไม่ใครสนใจเขา เวลาเดินอยู่บนถนนก็ไม่มีใครเหลียวมองเขาซักนิด เวลาอยู่ในบริษัทก็ไม่มีใครรับรู้ถึงการมีอยู่ของเขาซักคน!
ซย่าจื้อเคยคลุ้มคลั่ง และเคยหงุดหงิด แต่ไม่นาน เขาก็นึกวิธีดีๆ ออก
ในเมื่อไม่มีใครสนใจเขา ถ้าอย่างนั้น…เขาก็ซ่อนตัวเองไว้ให้มิดชิดก็แล้วกัน!
ทว่าขณะเดียวกับที่ซ่อนตัว เขาก็กำลังใช้ประโยชน์จากการเสแสร้งนี้ เพื่อค่อยๆ เข้าใกล้พวกโง่ที่สำคัญตัวเองนักหนา แต่กลับไม่ระวังตัวแม้แต่น้อย
ก็เหมือนกับว่าเขากำลังรับบทเป็นเงามาโดยตลอด จากนั้นจู่ๆ ก็เกิดคลุ้มคลั่งแล้วกลืนกินคนที่ยืนบังอยู่ตรงหน้า!
“คนอย่างพวกแก ต้องมีคนคอยเป็นตัวประกอบให้เสมอสินะ? แต่ความรู้สึกที่ถูกตัวประกอบผลักลงเหวอย่างนี้ เป็นไงบ้างล่ะ?”
ซย่าจื้อหัวเราะเย็นชา พลางส่ายหัวไปมา
ทว่าอาศัยแค่ผลักสวี่ซูหานและมู่เฉินตกลงไปในเหว ไม่มีวันเพียงพอแน่นอน…
ซย่าจื้อขยับปากไปมา แล้วพึมพำชื่อของใครคนหนึ่งออกมาเบาๆ “หลิงม่อ”
“ดื่มด่ำกับมันให้เต็มที่” พูดไป เขาก็เล็งปืนไปที่เชือกเส้นหนึ่งตรงข้างๆ เท้า
“สวบ!”
ท่ามกลางเสียงแหวกอากาศแหลมๆ ดอกไม้ไฟกลุ่มใหญ่พลันระเบิดในพริบตา ส่องแสงสว่างไปทั่วท้องฟ้า
—————————————————————————–