บทที่ 22 เดินทาง (4)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ไอร้อนมาเร็ว ไปเร็วเช่นกัน

หลังจากหายใจเข้าออกหลายครั้ง ไอร้อนนั้นยังคงวนเวียนอยู่ในร่างลู่เซิ่งอย่างรวดเร็วหลายรอบ ร่างกายค่อยๆ คุ้นชินขึ้นบ้าง

ถึงแม้อุณหภูมิร่างกายของลู่เซิ่งจะสูงขึ้นมาก แต่ไม่ได้ร้อนลวกเท่าก่อนหน้า

ปราณภายในของวิชากระเรียนหยกในร่างเขาเริ่มโคจรด้วยความเร็วสูง กระจายเส้นสายจำนวนมากออกมา ซ่อมแซมเส้นลมปราณกับอวัยวะภายในที่ได้รับความเสียหาย

ผ่านไปอีกพักหนึ่ง

สีผิวทั่วร่างของลู่เซิ่งค่อยๆ ถดถอย ฟื้นความข่าวผ่องในตอนแรกกลับมา

ฟู่ว…

ลมหายใจที่เขาพ่นออกมาก็ร้อนเช่นกัน

ทั่วทั้งร่างไม่มีจุดไหนไม่เจ็บปวด กล้ามเนื้อโครงกระดูกทั่วตัวล้วนเหมือนถูกเข็มแทง

ต่างจากสถานการณ์ตอนฝึกวิชากระเรียนหยกโดยสิ้นเชิง เขาในตอนนี้เหมือนถูกลูกตุ้มฟาดทั่วตัวครั้งแล้วครั้งเล่า

‘ดีที่ช่วงนี้วิชากระเรียนหยกสะสมลมปราณภายในไว้ไม่น้อย ตอนนี้ใช้รักษาอาการบาดเจ็บได้พอดี’

ลู่เซิ่งรู้สึกว่าวิชากระเรียนหยกในร่างเริ่มรักษาอวัยวะภายในแล้ว จึงผ่อนลมหายใจในใจ

‘คิดไม่ถึงว่าวิชาทมิฬพิฆาตเพียงระดับเบื้องต้นจะเกรี้ยวกราดถึงเพียงนี้ ถ้าภายหลังคืบหน้าถึงระดับสูง อานุภาพนั้น… สมควรจะแข็งแกร่งขนาดไหน’

เขาไม่กล้าคิดจินตนาการอยู่บ้าง

“เสี่ยวเฉี่ยว”

เขาตะโกนเรียกเสียงดัง

“มาแล้วคุณชาย!”

เสี่ยวเฉี่ยวรีบวิ่งมาจากด้านหลังบ้าน ในมือยังเปียกน้ำ คงกำลังล้างอะไรอยู่

“เอาชาโอสถมาให้ข้า”

ลู่เซิ่งกำชับ ตอนนี้ทั่วร่างของเขากำลังเจ็บปวด หนำซ้ำในร่างยังมีอัคคีแผดเผา ทำให้หยินพร่อง กระหายอย่างยิ่ง

เสี่ยวเฉี่ยวประคองชาโอสถที่จัดเตรียมไว้แล้วมาให้ ในชาโอสถนี้เติมยาหล่อเลี้ยงหยินไปไม่น้อย เช่นสือหูกระถางหยก กระดองเต่าหนานหมาน พุดซ้อนหิมะ เหมันต์หยิน… แต่ละอย่างเป็นยาแพงที่มีเฉพาะบนโลกใบนี้

ดื่มชาโอสถเข้าไปถ้วยหนึ่ง ลู่เซิ่งพลันรู้สึกว่าความเย็นสายหนึ่งไหลลงจากลำคอเข้าไปในกระเพาะ จากนั้นก็แผ่จากในกระเพาะไปยังทั่วร่าง

ความเย็นนี้ค่อยๆ แก้ไขอัคคีในร่าง

ลู่เซิ่งดื่มหมดทั้งกา

กาหนึ่งรินได้สี่ถ้วย

แม้แต่กากยาก็เคี้ยวกลืนลงไป ค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ โดยที่ยังไม่สาแก่ใจ

นอนหงายพักผ่อนอยู่บนเตียงหลายชั่วยาม จนสีท้องฟ้ากำลังจะมืดลงแล้ว

ความเจ็บปวดทั่วร่างลู่เซึ่งค่อยๆบรรเทาลง

เสี่ยวเฉี่ยวไม่เข้าใจสาเหตุ เห็นลู่เซิ่งไม่มีความผิดปกติ นึกว่าเขาแค่อยู่ๆ ก็กระหายนึกอยากดื่มน้ำ จึงเก็บกาที่เขาดื่มหมดแล้วไป ค่อยไปซักเสื้อผ้าที่ริมลำธาร

ลู่เซิ่งพักผ่อนอีกพักหนึ่ง ตอนพลบคล่ำก็ถือดาบออกไปยังตัวลานบ้าน คิดจะทดลองอานุภาพของวิชาทมิฬพิฆาตอีกครั้ง

วิชาทมิฬพิฆาตมีปฏิกิริยารุนแรงกว่าวิชากระเรียนหยกขนาดนี้ นี่ทำให้เขาเกิดความสงสัยต่อตัวมันมากกว่าเดิมว่า วิชากำลังภายในนี้มีอานุภาพขนาดไหน

ลู่เซิ่งรู้สึกคันที่หัวใจ ความเจ็บปวดค่อยๆ ดีขึ้น จึงลงจากเตียงเตรียมฝึกฝนต่อ

ในป่าที่แสงมืดครึ้ม

ลู่เซิ่งถือดาบเดินออกจากตัวลาน ออกห่างจากบ้านไม้ หาที่ว่างเงียบสงบเล็กน้อยแห่งหนึ่ง

แล้วเริ่มทดลองปรับใช้ลมปราณภายในวิชาทมิฬพิฆาต

อาณาเขตการโคจรของลมปราณภายในวิชาทมิฬพิฆาต เริ่มตั้งแต่ไตถึงท้องน้อยเหมือนกับมัดผ้ามัดเอวไว้ระหว่างเอว แปลกประหลาดยิ่ง

ลมปราณภายในนี้เพิ่งอยู่ในระดับเบื้องต้นจึงหยาบเท่าตะเกียบ

ลู่เซิ่งใช้จิตใจควบคุม แตกต่างจากวิชากระเรียนหยกจริงๆ ยื่นมือไปเบาๆ ก็ควบคุมการเคลื่อนย้ายได้

เขาทดลองเคลื่อนลมปราณภายในสายหนึ่งจากท้องน้อยไปด้านบน ไหลถึงไหล่ขวา บ่าขวา มือขวาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายจึงเป็นดาบยาว

พริบตาที่ลมปราณภายในสายนั้นไหลเข้าสู่คมดาบ

ลู่เซิ่งได้ยินเสียงลุกไหม้ดังซี่ๆ

แขนของเขาร้อนลวก จิตใจบังเกิดความคิดที่ควบคุมไม่ได้ สะบัดมืออย่างรุนแรง

ฉัวะ!

ดาบยาวพลันฟันออกไป โดนต้นไม้ที่อยู่ตรงหน้าลู่เซิ่ง

ซู่ม!

ต้นไม้ขนาดหนึ่งคนโอบ สั่นอย่างรุนแรง ใบไม้จำนวนมากหล่นลงมาเหมือนฝนตก

ดาบในมือลู่เซิ่งจมลึกเข้าไปในลำต้น

ขณะเดียวกันขอบรอยฟันบนลำต้นยังมีสีดำอ่อนที่ชัดเจน

“สีดำอ่อนหรือ”

ลู่เซิ่งชักดาบออกมา ขมวดคิ้ว ใช้มือจับไปที่จุดที่เป็นสีดำนี้

‘เหมือนถูกไฟเผา… เกิดจากอุณหภูมิสูงหรือ หรือว่าเกิดจากผลอื่นๆ’

เขาครุ่นคิด มองไปรอบๆ ซ้ายขวา จากนั้นก็วิ่งออกไปอย่างเร็ว ยื่นมือคว้าใส่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง

กระต๊าก

ไก่ป่าหลากสีตัวหนึ่งถูกเขาจับคอได้ มันหลบอยู่ในพุ่มไม้นึกว่าลู่เซิ่งไม่เห็น คิดไม่ถึงยังถูกจับแล้ว

‘ทดลองดู ถ้าหากว่าเหมือนอย่างที่เราคิดจริงๆ’

ลู่เซิ่งกลับมาถึงหน้าลำต้นไม้อย่างระวังตัว ยื่นมือใช้นิ้วขูดผงจากขอบรอยดาบลงมา

ผงสีดำยังไม่ทันหล่นลงกลางฝ่ามือ ก็ถูกเขาป้อนให้ไก่ป่าอย่างระมัดระวัง

หลังจากไก่ป่ากินผงนั้นเข้าไปแล้ว ลู่เซิ่งรอสักพัก ก็เห็นไก่ป่าร้องโหยหวน คล้ายอิดโรยไร้พลัง

เขาขูดผงลงมาให้ไก่ฟ้ากินอีกครั้ง

ครั้งนี้รอไม่นาน หลังจากไก่ป่าตัวนั้นถูกปล่อยไป เดินออกไปไม่กี่ก้าวก็เอียงล้มลงบนพื้น

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปลูบดู บนตัวไก่ป่าร้อนลวกแทบแย่ ยังมีลมหายใจ แต่ทั่วร่างอ่อนแอไร้เรี่ยวแรง เหมือนกับเป็นไข้สูง

‘ใช่จริงๆ! นี่เป็นวิชาพิษ! หนำซ้ำสมควรเป็นวิชาพิษที่มีคุณสมบัติพิษอัคคี’

ลู่เซิ่งยืนยันคุณสมบัติวิชาทมิฬพิฆาตขั้นต้นในใจ

เขาพลิกดูคัมภีร์ลับที่พกติดตัวอีก ตรวจสอบบันทึกด้านบนอย่างละเอียด

… วิชาทมิฬพิฆาต ความร้อนแผดเผา รุนแรงแข็งแกร่ง ทั้งเป็นพิษร้าย ผู้โดนหากไร้ลมปราณภายในขั้วตรงข้ามลบล้างกัดกร่อน สามวันให้หลังเสียชีวิต’

เกี่ยวกับอานุภาพของวิชาทมิฬพิฆาต บนบันทึกเพียงมีแค่คำพูดที่เรียบง่ายยิ่ง

แต่ว่าลู่เซิ่งเห็นเงื่อนงำของวิชาทมิฬพิฆาตจากด้านบนนี้ได้แล้ว

เป็นวิชาพิษที่เขาครอบครองในตอนนี้จริงๆ

‘ร้ายกาจ’

ลู่เซิ่งทอดถอนใจ

วิชาทมิฬพิฆาตนี้ต่างจากวิชาหล่อเลี้ยงชีวิตเช่นวิชากระเรียนหยก เป็นวิชากำลังภายในที่บัญญัติขึ้นเพื่อเข่นฆ่าต่อสู้

ความแตกต่างของอานุภาพมากเกินไปจริงๆ

เขาตั้งใจสัมผัสลมปราณภายในวิชาทมิฬพิฆาตในร่างตัวเอง

เมื่อครู่ดาบที่เพิ่งฟันออกไป ภายใต้การกระตุ้นปราณภายใน ใช้ปริมาณสายหนึ่งด้านใน จากนั้นเปรียบกับจำนวนรวมของปราณภายในที่เหลืออยู่

‘ระดับเบื้องต้น เราควรทนได้ราวๆ สิบดาบ มากกว่านี้ปราณภายในไม่เหลือแล้ว ปราณภายในของวิชาทมิฬพิฆาตคล้ายยังมีผลเพิ่มพลังระเบิด มีประโยชน์จริงๆ’

หลังจากทดลองประสิทธิผลแล้ว ลู่เซิ่งก็วกกลับ นี่จึงเป็นอานุภาพระดับเบื้องต้น รอยกระดับสูงกว่านี้ ไม่ทราบจะบรรลุถึงขั้นอันใด

เขาคาดหวังและรอคอยอย่างยิ่ง

กลับมาถึงลานบ้านไม้หลังน้อย เห็นมีผู้คุ้มกันจากตระกูลเจิ้งสองคนมาส่งอาหารพอดี

ทั้งสองคนเมื่อเห็นลู่เซิ่ง ก็รีบเข้ามาทักทาย

“คุณชายเซิ่ง เรื่องส่วนหนึ่งที่เกิดขึ้นในช่วงนี้ วางไว้ในกล่องอาหารแล้ว ท่านค่อยๆ อ่านดู”

ทั้งสองคนเมื่อทักทายแล้ว ก็รีบจากออกจากป่าไป

ลู่เซิ่งรับกล่องอาหาร ยืนอยู่ตรงประตูลานน้อย เปิดดูกล่องอาหาร ด้านในวางซองจดหมายที่ผนึกด้วยไขจากเทียนไว้ฉบับหนึ่ง

เขาเดินเข้าไปในลาน ส่งกล่องอาหารให้เสี่ยวเฉี่ยวที่มารับ ฉีกซองจดหมาย หยิบกระดาษที่อยู่ด้านในออกมา

‘พี่เซิ่ง คดีตระกูลสวีในเมืองก่อนหน้าถูกไขแล้ว

เป็นยอดฝีมือที่เชิญมาจากที่ว่าการไขคดี มีการจับคนกลุ่มใหญ่ในมือง วันนี้ลงโทษตัดศีรษะสิบกว่าคนที่ตลาดผักในยามอู่’

ประโยคแรกของเจิ้งเสี่ยนกุ้ยทำให้ลู่เซิ่งงงงวย

เขาอ่านต่อไปอีก

ที่แท้คดีที่เกิดติดกันในช่วงนี้สร้างความหวาดกลัวแก่คนในเมือง หลายวันก่อนหน้าถึงขั้นปรากฏความวุ่นวาย มีพวกผู้อยู่อาศัยและชาวนารับจ้างในเมืองหนีไปด้านนอก มุ่งหน้าไปยังเมืองม่วงโชติ

ที่ว่าการขุนนางจับคนได้กลุ่มหนึ่ง หิ้วตัวพวกเขากลับมา

ภายหลังเพื่อทำให้ประชาชนใจเย็นลง ที่ว่าการจับคนหลายสิบคนรวดเดียว ทั้งหมดล้วนเป็นฆาตกรในหลายคดีก่อนหน้า

ผู้คนจึงค่อยสงบลง

อ่านจดหมายจบ มุมปากลู่เซิ่งปรากฏความเย็นชา

‘ดูเหมือนที่ทำการจะยันไว้ไม่อยู่แล้ว ฆาตกรหรือ ถ้าฆาตกรจับง่ายปานนี้ ไม่ถึงกับต้องลากถ่วงมาถึงตอนนี้

‘คงหาคนจำนวนหนึ่งมาให้ครบจำนวน’

ดีที่ในจดหมายกล่าวว่า ตอนนี้คฤหาสน์ลู่ยังเป็นเหมือนเดิม ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอันใด

เหล่าคุณชายเช่น ลู่เฉินซินที่เที่ยวเล่นก็เที่ยวเล่น คล้ายไม่ได้รับผลกระทบใดแม้แต่น้อย

ธุรกิจหอคณิกากับสถานเริงรมย์ในเมืองช่วงนี้เป็นที่นิยมยิ่ง

เห็นได้ชัดว่าภายใต้ความหวาดกลัวของผู้คน แรงกดดันมีมากเกินไป เกิดขึ้นเพราะไม่มีที่ระบาย

ลู่เซิ่งสูดหายใจลึกๆ คำหนึ่ง

‘วิธีนี้สามารถสร้างความสงบได้พักหนึ่ง เพียงแต่ว่า แบบนี้เหมือนดื่มยาพิษดับกระหาย คดียังไม่ถูกไขจริงๆ เกิดปรากฏคดีคล้ายๆ กันอีก…’

เขาเก็บจดหมาย สงบจิตใจ

ตอนนี้คฤหาสน์ลู่ในเมืองเก้าประสาน เมื่อเผชิญหน้ากับเรื่องประหลาดเหล่านั้น ไม่มีพลังต่อต้านอันใดเหมือนชาวบ้านร้านถิ่น

เกิดประสบเรื่องราวทำนองนี้จริงๆ ผลลัพธ์ไม่ต้องพูดก็เป็นที่เข้าใจ

ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องทำในตอนนี้เพียงหนึ่งเดียวคือพยายามยกระดับตัวเอง ทำให้ตัวเองแข็งแกร่งกว่าเดิมอย่างเต็มที่

ค่อยมีความเป็นไปได้ในอนาคต ตอนที่ประสบเรื่องราวลี้ลับแบบนั้นจริงๆ จะได้มีพลังปกป้องตัวเอง!

เขาไม่ทราบว่าต้องแข็งแกร่งเท่าไร จึงจะรับมือเรื่องราวเหล่านั้นได้มากพอ ดังนั้นเขาได้แต่กระทำถึงระดับใหญ่สุดที่ตนไปถึงได้

หลังจากเก็บจดหมาย ลู่เซิ่งก็เริ่มกินตัวยาบำรุงราคาแพงที่นำออกมาด้วยจำนวนมาก

ทุกๆ วันหลังสามมื้ออาหาร ต่างให้เสี่ยวเฉี่ยวต้มน้ำแกงโอสถที่เข้มข้นให้เขา

ภายใต้การสนับสนุนจากฤทธิ์ยาที่ดี เพียงสามวัน ผลข้างเคียงจากการยกระดับวิชาทมิฬพิฆาตเป็นระดับเบื้องต้นก็หายไปเป็นส่วนใหญ่แล้ว

สี่วันให้หลัง…

‘เพิ่มระดับครั้งที่สอง!’

ลู่เซิ่งยืนอยู่หน้าลำต้นของต้นไม้ใหญ่เมื่อก่อนหน้านี้ต้นนั้น

รอยดาบเมื่อหลายวันก่อนมีระดับความลึกหนึ่งในห้าส่วนของลำต้น ยังเหลือรอยอยู่บนลำต้น ขอบแห้งกรังหล่นร่วงแล้ว

ต้นนี้เป็นหนึ่งในต้นไม้ที่หยาบสุดกลางป่าแห่งนี้ ตอนนี้ดูเหี่ยวแห้งไม่แข็งแรง

ลู่เซิ่งเลือกที่นี่เป็นสถานที่เลื่อนระดับครั้งที่สองของตัวเอง

เขานั่งพิงต้นไม้ ประคองน้ำแกงโอสถในกล่องอาหารออกมา จากนั้นนั่งขัดสมาธิ

ลมปราณภายในวิชาทมิฬพิฆาตไหลตามเส้นทางระหว่างท้องน้องกับไตทั้งสองข้างอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย

‘ดีปบลู’

ลู่เซิ่งนึกขึ้นในใจ

เครื่องมือปรับเปลี่ยนสีน้ำเงินโผล่ขึ้นด้านหน้าเขา ลู่เซิ่งมองกรอบของวิชาทมิฬพิฆาต

ความคิดกดปุ่มปรับเปลี่ยน

กรอบกะพริบ

ลู่เซิ่งสีหน้าพลันเคร่งขรึมขึ้นมา

‘เพิ่มวิชาทมิฬพิฆาตหนึ่งระดับ!’

เขานึกในใจ

ฟุ่บ

สถานะของวิชาทมิฬพิฆาตเดิมทีเป็นระดับเริ่มต้น ตอนนี้พร้อมกับที่ความคิดลู่เซิ่งเคลื่อนไหว คำว่าเบื้องต้นก็กะพริบทีหนึ่ง กลายเป็นคำว่าระดับหนึ่ง

ลู่เซิ่งยังไม่ทันมีสีหน้ายินดี ก็รู้สึกว่าไอร้อนที่เมื่อเทียบกับก่อนหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ไหลไปทั่วร่างในพริบตา

ทั้งนอกทั้งในร่างกายของเขาเหมือนถูกเตาไฟอบ ซ้ำยังเป็นการอบระยะใกล้

เพียงแค่เวลาหายใจสั้นๆ ไม่กี่ครั้ง ลู่เซิ่งเหงื่อไหลออกมาเหมือนสายฝน ผิวทั่วตัวแดงขึ้นอีกครั้ง

ดีที่ครั้งนี้ร่างกายเคยชินขึ้นมาก ไม่ได้ลำบากเหมือนครั้งแรก

เพียงแค่ชั่วเวลาชาหายร้อยสั้นๆ หรือก็คือสิบกว่านาที

ลู่เซิ่งค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ

ถึงแม้ร่างกายยังเจ็บปวดมาก ทุกที่ล้วนปวดไปหมด เส้นลมปราณใหม่ส่วนหนึ่งถูกปราณภายในวิชาทมิฬพิฆาตพุ่งแหวกเข้าไป เริ่มเข้าไปในเส้นสายโคจร เส้นลมปราณที่ถูกพุ่งแหวกจำเป็นต้องฟื้นฟู การฟื้นฟูก็จำเป็นต้องใช้เวลา

แต่ความรู้สึกของเขาในตอนนี้

เหมือนกับทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยปราณ กำลังจะระเบิดแล้ว

‘ทดลองอีกรอบ!’

ลู่เซิ่งยืนขึ้น ชักดาบยาวจากด้านหลังเอว

………………………………………….