บทที่ 23 เกิดเรื่อง (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

ลู่เซิ่งภายใต้การเร่งความคิด ปราณภายในทมิฬพิฆาตสายหนึ่งเคลื่อนย้ายออกมาอย่างรวดเร็ว

ครั้งนี้เป็นปราณทมิฬพิฆาตระดับหนึ่ง

ระดับความร้อนมากกว่าก่อนหน้ามาก ลู่เซิ่งรู้สึกว่าตอนตัวเองเคลื่อนย้ายปราณภายใน กล้ามเนื้อ โครงกระดูก ผิวหนังระหว่างที่ปราณผ่านเหมือนกับกำลังลุกไหม้

ปราณทมิฬพิฆาตไหลออกจากไตทั้งสองข้างสู่แขนขวา จากนั้นเข้าสู่ฝ่ามือขวา ทะลุสู่ดาบยาวผ่านหลังเอว

ควับ!

คมดาบแหวกอากาศ ส่งเสียงทะลวงเหมือนฉีกกระดาษ

จากนั้นก็ฟันใส่ลำต้นตรงหน้าอย่างดุดัน

ดาบนี้ฟันลึกใส่ลำต้น จนจมเข้าไปครึ่งหนึ่งของต้นไม้ใหญ่ จึงค่อยติดอยู่กับที่

‘ดี!’

ลู่เซิ่งบังเกิดความยินดีในใจ

เขารู้ว่าตนพัฒนาไปก้าวใหญ่

ลู่เซิ่งลากร่างที่เจ็บปวด กลับห้องไปพักผ่อน

หลายวันต่อจากนั้น เขาไม่ได้ทำอะไรเลย เพียงเคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อย ใช้เวลาส่วนใหญ่นอนหลับพักผ่อน

อย่างมากสุดก็เร่งความเร็วโคจรวิชากระเรียนหยก เพื่อทำให้ฟื้นฟูร่างกายของเขาให้เร็วยิ่งขึ้น

เขาจะต้องเตรียมตัวเพื่อเลื่อนระดับอีกสองระดับต่อจากนี้

คัมภีร์ที่ไม่สมบูรณ์ของวิชาทมิฬพิฆาตมีสามระดับให้ฝึกฝน!

เมืองเก้าประสาน คฤหาสน์ลู่

อวี๋เจี่ยกำลังถือตะกร้า ในตะกร้าวางไข่ไก่ต้มไว้หลายใบ มีขนมถั่วเหลืองส่วนหนึ่ง และยังมีเนื้อเค็มแห้งอีกสองชิ้น

นางเดินออกมาจากทางด้านข้างของคฤหาสน์ลู่อย่างคุ้นทาง ทักทายกับคนเฝ้าประตูคำหนึ่ง จากนั้นก็เดินออกไปตามทางที่เป็นตรอกเล็กๆ สายหนึ่ง

ปากตรอกมีเด็กน้อยมัดผมแกละหลายคนวิ่งผ่านไปเพื่อแย่งถังหูลู่ไม้หนึ่งในมือของเด็กน้อยอีกคนที่อยู่ด้านหน้า

อวี๋เจี่ยเห็นดังนั้นก็ถอนใจ นางคิดขึ้นว่าตอนเด็กเสี่ยวปาน่าก็รักแบบนี้เช่นกัน มักวิ่งไปวิ่งมาด้านหน้าของนางเพื่อขอถังหูลู่

ตอนนั้นนางยังเด็ก เพิ่งสิบกว่าขวบ ทุกครั้งที่ทำงานในคฤหาสน์ลู่ บางคราวได้เงินรางวัลมาเล็กน้อย แต่ไม่ได้มอบให้บิดามารดา นับเป็นเงินค่าขนมที่เหลืออยู่ของตัวเอง

ใช้เงินนี้ซื้อขนมเล็กน้อยให้เสี่ยวปา ในตอนนั้นเสี่ยวปาเพิ่งอายุไม่กี่ขวบ

แต่ตอนนี้…

พอคิดถึงสภาพสีหน้าผิดปกติในยามนี้ของเสี่ยวปา อวี๋เจี่ยจิตใจรับไม่ได้จริงๆ

เดินไปตามทางใหญ่หน้าประตูคฤหาสน์ระยะหนึ่ง อวี๋เจี่ยกระทำเหมือนปกติ สงบจิตใจ คิดว่าจะเลือกของเล่นเล็กน้อยบนแผงลอยไปให้ลูกที่บ้าน

วันนี้เป็นเวลาหยุดงานที่หายาก เธอจึงจะกลับบ้านเพื่อพักผ่อน นางยังคิดจะมอบความประหลาดใจแก่สามีและบุตร

“ลูก ลูกของข้า!”

ทันใดนั้นนางเห็นที่มุมกำแพง มีสตรีผมเผ้ากระเซิงนางหนึ่งนั่งนิ่งอยู่ตรงนั้น บ่นพึมพำคนเดียว

ใบหน้าของสตรีนางนั้น นางรู้สึกคุ้นเคยอยู่บ้าง คล้ายเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เพียงนึกไม่ออกชั่วขณะ

นางเพียงมองดูอยู่ครู่หนึ่ง รู้สึกสงสารอยู่บ้าง

จึงหยิบขนมเปี๊ยะอบชิ้นหนึ่งมาจากในตะกร้า วางไว้ตรงหน้าสตรีนางนั้น

“ท่านกินเถอะ โลกใบนี้… เฮ้อ”

นางยืดตัวขึ้น หมุนตัวไปเลือกของที่ตัวเองต้องการต่อ

หมับ

ทันใดนั้นนางรู้สึกว่ามือขวาของตัวเองถูกมือที่เย็นเยียบและเปียกชื้นจับอย่างแรง

“เจ้าเห็นลูกข้าแล้วหรือ”

เสียงหนึ่งกล่าว

อวี๋เจี่ยตกใจ หันกลับไปมอง เป็นสตรีที่ตอนแรกนั่งอยู่บนพื้นนางนั้น

นางมองดวงตาที่เต็มไปด้วยสายเลือดทั้งสองข้างของนางที่จับจ้องตัวเองเขม็ง เหมือนลูกตากำลังจะถลนออกมาจากเบ้าก็ไม่ปาน

“เจ้าทำอะไร ปล่อยนะ!”

อวี๋เจี่ยตกใจ รีบใช้แรงสลัดหลุดออกมา ถอยหลังไปสองก้าว

“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ!”

สตรีนางนั้นกลับเหมือนไม่ได้ยิน ยังคงจ้องมองนาง

อวี๋เจียด่าในใจว่าโชคร้าย รีบก้มหน้าหมุนตัวจากไป ไม่คิดซื้อของแล้ว เพียงรู้สึกว่ามือข้างที่ถูกจับเมื่อครู่ปวดอยู่บ้าง

ทะลุถนนเส้นนี้ นางเลี้ยวเข้าตรอกเล็กสายหนึ่ง เป็นถนนที่จะกลับบ้าน

เดินบนถนนเส้นนี้แม้จะเย็นยะเยือกอยู่บ้าง แต่ก็ประหยัดเวลาไปไม่น้อย ไม่ต้องอ้อมทาง

ตรอกต้องเลี้ยวหลายโค้ง ระยะทางยาวยิ่ง สองข้างทางต่างเป็นบ้านที่สูงเพียงตัวคนที่มีอยู่ทั่วไป บนพื้นเต็มไปด้วยน้ำครำกับขยะที่ทิ้งเกลื่อน

อวี๋เจี่ยมองข้อมือของตัวเอง จุดที่ถูกจับเมื่อครู่แดงเล็กน้อย

“โชคร้าย! โชคร้ายจริงๆ เฮ้อ… กลับไปต้องซื้อยาแล้ว”

นางข้ามแอ่งน้ำครำแอ่งหนึ่ง แต่ว่ารองเท้าผ้าลายสีชมพูกลับเปื้อนน้ำไปเล็กน้อย จิตใจนางพลันย่ำแย่กว่าเดิม

ออกแรงกระทืบเท้า นางเดินไปข้างหน้าอีกหลายก้าว

โครม

ทันใดนั้นนางชนใส่ใครบางคน

เมื่อเงยหน้าขึ้นไปมอง

“เจ้าเห็นลูกข้าแล้วหรือ”

ถึงกับเป็นสตรีที่นางเห็นเมื่อครู่นางนั้น!

นางเพียงรู้สึกสะดุ้ง หัวใจแทบกระดอนออกมาจากทรวงอก

นางถอยหลังตุบๆ ไปหลายก้าว เท้าข้างหนึ่งย่ำลงไปในแอ่งน้ำครำโดยไม่รู้ตัว

“เจ้า เจ้า เจ้า!”

สตรีนางนี้สองตาแดงก่ำ มองอวี๋เจี่ยเขม็ง

“ลูก ลูกของข้า!”

อวี๋เจี่ยหมุนตัวคิดวิ่งหนี

หมับ

มือผอมแห้งข้างหนึ่งจับแขนนางอย่างแรง

“เจ้าเห็นลูกของข้าแล้วหรือ”

สตรีนางนั้นยังคงมีสีหน้าแข็งกระด้าง ทวนประโยคนี้ซ้ำ

“ช่วย…!”

เสียงครึ่งหนึ่งแว่วมาจากในตรอก จากนั้นก็เงียบไป ไม่มีเสียงอีก

สามวันให้หลัง คฤหาสน์ตระกูลลู่

มารดารองหลิวชุ่ยอวี้ นั่งอยู่บนเตียงไม้ ขมวดคิ้ว มองดูญาติของอวี๋เจี่ยที่มารายงานข่าวอยู่ตรงหน้า

“อวี๋เจี่ยยังไม่กลับไปหรือ นางขอลาหยุดกลับไปเยี่ยมญาติที่บ้านเมื่อสามวันที่แล้ว”

ชายฉกรรจ์ผู้เป็นญาติคนหนึ่ง บนร่างยังมีกลิ่นโคลนที่มีเฉพาะในผืนนา ยืนอยู่ในโถงข้างที่คับแคบไปบ้าง

“พี่ใหญ่ปกติจะกลับไปแต่เช้าตรงเวลา แต่ครั้งนี้คนในบ้านออกมารอซ้ายรอขวาก็ไม่เห็นคน จึงเป็นห่วงขึ้นมา พร้อมกับช่วงนี้ในเมืองเกิดเรื่องขึ้นมากมาย จึงให้ข้าน้อยมาถามดู…”

หลิวชุ่ยอวี้ส่ายหน้า

“นางออกไปนานแล้วจริงๆ ยังนำเนื้อแห้งกับขนมเปี๊ยะอบแห้งส่วนหนึ่งจากห้องครัวไปด้วย หลายวันขนาดนี้ นางไม่กลับไปบ้านจะยังไปที่ใดได้”

เริ่มเป็นห่วงบ้างแล้ว

“แย่แล้วๆ!”

ทันใดนั้นมีเสียงร้องแตกตื่นที่เร่งร้อนดังมาจากด้านนอกห้อง

หญิงรับใช้คนหนึ่งตกใจหน้าถอดสีวิ่งเข้ามา

“ฮูหยินสอง! แย่แล้ว! อวี๋เจี่ยเกิดเรื่องแล้ว!”

“เกิดอะไรขึ้น” มารดารองหลิวชุ่ยอวี้พลันผุดกายลุกขึ้น สีหน้าเปลี่ยนไป

ชายฉกรรจ์คนนั้นก็หน้าซีด มองไปทางหญิงรับใช้ที่ถลันเข้ามา

“ร่างของอวี๋เจี่ยถูกคนพบในตรอกเส้นหนึ่งกลางเมือง หมดลมหายใจมาหลายวันแล้ว!”

คำพูดของหญิงรับใช้นางนี้ทำให้มารดารองกับชายฉกรรจ์คนนั้นตกตะลึง

“หมดลมหายใจ… แล้วหรือ”

หลิวชุ่ยอวี้นั่งลงอีกครั้งอย่างสับสน

หลายวันให้หลัง…

ลู่เซิ่งสัมผัสความรู้สึกที่คมดาบในมืออย่างละเอียด

ปราณทมิฬพิฆาตไหลจากร่างเข้าสู่ตัวดาบ เหมือนกับไอร้อนสายหนึ่งค่อยๆ ทะลักออกจากในร่าง จากนั้นเจือจางลงกระจายลงบนดาบด้วยความเร็วสูง

อาการบาดเจ็บของร่างกายฟื้นฟูขึ้นมากแล้ว

เขากะว่าจะยกระดับวิชาทมิฬพิฆาตให้ถึงระดับสองในวันนี้

ตอนนี้ร่างกายยิ่งมายิ่งคุ้นเคยกับความรุนแรงของปรานทมิฬพิฆาต อาการบาดเจ็บที่เกิดจากการยกระดับสมควรผ่อนคลายกว่าก่อนหน้าถึงจะถูก

ควับ!

เขาเริ่มฝึกฝนวิชาดาบพยัคฆ์ดำ

วิชาดาบพยัคฆ์ดำมีทั้งสิ้นสามกระบวนท่า แต่สามารถแบ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงได้หลายสิบกระบวนท่า

เขารวบรวมกระบวนท่าตามความเข้าใจของตัวเองและส่วนหนึ่งที่ลุงจ้าวถ่ายทอดให้ เปลี่ยนแปลงและผสมผสานเข้าด้วยกัน กลายเป็นวิชาดาบที่ซับซ้อนมากชุดหนึ่ง

บนที่ว่างหน้าบ้าน ลู่เซิ่งมือถือดาบ ประกายดาบวิบวับ เสียงแหวกอากาศดังไม่หยุด

ประกายดาบสีเงินพลิกหมุนเป็นกลุ่มอยู่ด้านข้างของเขา แทบห่อหุ้มตัวเขาไว้

วิชาดาบพยัคฆ์ดำเน้นสภาวะ และกระบวนท่าพลิกแพลงมากมาย ดังนั้นพอฝึกจึงเกิดสำนึกดุร้ายสายหนึ่งขึ้น

ลู่เซิ่งใช้กระบวนท่าดาบทั้งสามท่าซ้ำไปซ้ำมาหลายสิบรอบ เลือดลมทั่วร่างพลุ่งพล่าน ปราณทมิฬพิฆาตถ่ายเข้าสู่ดาบยาวตลอดเวลา เพิ่มอานุภาพให้กระบวนท่า

อาศัยจังหวะที่เลือดลมเคลื่อนตัว เขาเก็บดาบอย่างรวดเร็ว นึกในใจ

‘ดีปบลู!’

อินเตอร์เฟซเครื่องมือปรับเปลี่ยนเด้งออกมา

ลู่เซิ่งเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว กดปุ่มปรับเปลี่ยน จากนั้นเพ่งสมาธิไปที่กรอบวิชาทมิฬพิฆาต

‘เพิ่มระดับวิชาทมิฬพิฆาตหนึ่งระดับ!’

เขายืนยันความคิด

ฟุ่บ

ทันใดนั้นสถานะวิชาทมิฬพิฆาตเด้งจากระดับหนึ่งเป็นระดับสอง

เพียงแต่ความเร็วการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ช้าไปบ้าง ไม่ได้เร็วเท่าก่อนหน้า

ลู่เซิ่งเพิ่งจะยืนยันการปรับเปลี่ยน

ก็รู้สึกว่าปราณทมิฬพิฆาตในร่างเพิ่มขึ้นอย่างรุนแรง ปราณทมิฬพิฆาตจำนวนมากเหมือนโผล่มาจากท่ามกลางความว่างเปล่า เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วจนเป็นปราณสองกลุ่มขนาดเท่ากำปั้น แยกกันอยู่ที่ไตทั้งสองข้าง

‘ครั้งนี้ร่างกายคล้ายชินแล้ว หนำซ้ำระดับสองเป็นเพียงการเพิ่มปราณทมิฬพิฆาตอย่างเดียว น่าจะไร้ปัญหา’

ลู่เซิ่งเคยอ่านคัมภีร์ลับ รู้ว่าระดับสองเป็นระดับที่ปลอดภัยที่สุด ดังนั้นจึงกล้าเลื่อนระดับตอนฝึกดาบ

หลังเลื่อนสู่ระดับที่สองแล้ว ลู่เซิ่งรู้สึกว่าคลังเก็บข้อมูลในร่างเมื่อก่อนหน้าถูกใช้ไปจนว่างเปล่าอีกครั้ง

โดยเฉพาะการสั่งสมวิชากระเรียนหยก

วิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิตชนิดนี้เดิมภายใต้การฝึกฝนทุกวันของเขา ปราณเริ่มผนึกเป็นก้อนแล้ว รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อนอยู่ตรงกลางหน้าอก

กลุ่มปราณนั้นเป็นสิ่งบ่งบอกว่าหลังจากปราณภายในมีขนาดถึงขีดจำกัด ก็จะเริ่มทำการกักเก็บโดยอัตโนมัติ

หากแต่ว่า วิชาทมิฬพิฆาตเมื่อเลื่อนระดับครั้งหนึ่ง ก็ใช้กลุ่มปราณวิชากระเรียนหยกกลุ่มนี้จนหมดสิ้น

ไม่แค่นั้น ยังลดขนาดของปราณภายในวิชากระเรียนหยกที่ตอนแรกหยาบใหญ่ให้เล็กจนเท่าเข็ม

หลังจากเลื่อนถึงระดับสอง ลู่เซิ่งจิตใจมั่นคง คำนวณเวลา ก็ถึงเวลากินอาหารกลางวันแล้ว

“คุณชาย จดหมายใหม่มาแล้ว!”

เสี่ยวเฉี่ยวถือกล่องอาหารเดินเข้ามาจากประตูลาน มือหนึ่งยังถือซองจดหมายสีเหลืองที่ผนึกด้วยไขเทียนสีแดง

“เอามาให้ข้าอ่าน”

ลู่เซิ่งเสียบดาบเข้าไปในฝักที่แขวนไว้ด้านข้าง

รับซองจดหมายที่เสี่ยวเฉี่ยวส่งมาให้

นำจดหมายออกมาเปิดอ่าน เขาอ่านรอบหนึ่ง สีหน้าค่อยๆ เคร่งขรึมขึ้น เก็บกระดาษจดหมายไว้

“เสี่ยวเฉี่ยว พวกเราควรกลับไปแล้ว”

เขากล่าวเสียงราบเรียบ

“กลับคฤหาสน์ลู่หรือ”

เสี่ยวเฉี่ยวงงงัน จากนั้นก็ยินดี

“ใช่แล้ว กลับบ้าน” ลู่เซิ่งพยักหน้า

ทั้งสองคนเก็บสัมภาระข้าวของ กินอาหารอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ทิ้งกระดาษใบหนึ่งไว้ที่ประตูลาน แล้วเร่งเดินทางไปเมืองเก้าประสาน

จากป่าน้อยที่บ้านไม้อยู่ถึงเมืองเก้าประสานมีระยะทางประมาณเจ็ดแปดลี้

ลู่เซิ่งแขวนดาบยาวไว้หลังเอว ตัวดาบสร้างจากโลหะธรรมดา ไม่ใช่อาวุธมีชื่ออันใด แต่ว่ายังดีที่หนาหนัก ไม่หักง่าย

พอทั้งสองคนกลับมาถึงเมืองเก้าประสาน เสียวเฉี่ยวก็เหนื่อยแทบแย่ กลางทางเป็นลู่เซิ่งที่อุ้มนางเดินทางมาระยะหนึ่งจึงทนไหว

ลู่เซิ่งตอนนี้ฝึกฝนวิชาทมิฬพิฆาต บวกกับวิชาดาบที่ฝึกฝนทุกวัน ร่างกายแข็งแรงกว่าก่อนหน้ามาก

โดยเฉพาะการกระตุ้นให้แข็งแกร่งขึ้นของวิชาทมิฬพิฆาต

ทุกครั้งที่โคจรปราณรอบหนึ่งในร่าง ก็รู้สึกเหมือนมีไอร้อนที่ร้อนจัดกลุ่มหนึ่งหล่อเลี้ยงกล้ามเนื้อกระดูกในกาย

………………………………………….