บทที่ 24 เกิดเรื่อง (2)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

แทบทุกวันที่ตื่นเช้ามา ลู่เซิ่งล้วนสัมผัสได้ว่ากล้ามเนื้อของตัวเองยิ่งมายิ่งแข็งแรง ร่างกายยิ่งมายิ่งหนัก

ราคาที่ต้องจ่ายก็คือ อาหารทุกมื้อของเขาอย่างน้อยต้องเป็นสองเท่าของก่อนหน้า หนำซ้ำยังเป็นปลาและเนื้อ และยังมีน้ำแกงโอสถที่แพงทุกๆวัน

แค่ค่าใช้จ่ายอาหารที่กินไปพวกนี้ก็มากพอจะทำให้บ้านทั่วไปล้มละลายแล้ว

ลู่เซิ่งไม่เสียเวลา พอเข้าเมือง ก็รีบมาถึงประตูคฤหาสน์ลู่อย่างคุ้นทาง

คนเฝ้าประตูที่อยู่ตรงประตูพอเห็นเขาก็รีบออกมาต้อนรับ

“คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว!”

“อืม” ลู่เซิ่งขานรับ สาวเท้าเดินเข้าไปในคฤหาสน์

ในคฤหาสน์มีบรรยากาศที่แปลกประหลาดอยู่บ้าง

แต่ว่าเหล่าคนรับใช้ที่เดินผ่านมา พอเห็นเขากลับมาแล้ว ต่างพากันเข้ามาทักทาย

“คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว!”

มีคนตะโกนขึ้น

“คุณชายใหญ่! คุณชายใหญ่กลับมาแล้ว!”

“เป็นคุณชายใหญ่!”

เหล่าข้ารับใช้ชายหญิงแต่ละคนพากันวิ่งเข้ามา ใบหน้าปรากฏความประหลาดใจและยินดี เหมือนกับคนที่ขวัญหนีดีฝ่อพลันพานพบฟางช่วยชีวิต

“ท่านพ่อเล่า”

“ท่านประมุขตระกูลให้ท่านรีบไปหาทันที”

หญิงรับใช้นางหนึ่งที่วิ่งเข้ามารีบตอบ

“อืม”

ลู่เซิ่งปลดดาบมาแบกไว้บนหลัง

เดินเข้าไปยังลานด้านใน

ในลานด้านในเงียบสงบ เงียบสงบจนประหลาดอยู่บ้าง ถึงขั้นเย็นยะเยือก

หญิงรับใช้และข้ารับใช้ส่วนหนึ่งต่างมีสีหน้าไม่ดี คนที่อยู่ใกล้ก็ทักทายเขา

คนที่อยู่ไกลหน่อยมองไม่เห็น แต่ก็ยังสนทนากันโดยไม่สนใจรอบข้าง

มีเสียงลอยตามลมมาแต่ไกล

“เมื่อคืนในห้องอวี๋เจี่ยมีเสียงร่ำไห้ของสตรีอีกแล้ว…”

“ข้าก็ได้ยินเช่นกัน เหมือนดังมาจากสถานที่ที่ไกลยิ่ง มีข้ารับใช้ผ่านมา กลับไม่เห็นคนในห้อง แม้แต่เงาก็ไม่มี…”

“โอ๊ยอย่าได้พูดแล้ว น่ากลัวจริงๆ”

“หรือว่าจะเป็นผีสาวอันใด”

“อย่าได้กล่าวส่งเดช! ระวังจะถูกทุบตี”

ตอนลู่เซิ่งแบกดาบผ่านสะพานหิน ก็ได้ยินเสียงเหล่าข้ารับใช้ในบ้านคุยกัน

จากบทสนทนาของคนเหล่านั้น ห้องดอกบัวในลานหลังบ้านที่อวี๋เจี่ยอยู่กลายเป็นสถานที่หวงห้ามของคฤหาสน์ลู่ไปแล้ว

ไม่ต้องให้ใครเตือน ก็ไม่มีคนกล้าเข้าไปใกล้

เขาเงียบเสียงลงเล็กน้อย รวมกับเนื้อหาในจดหมาย จิตใจพลันหนักอึ้งกว่าเดิม

ในที่สุด เรื่องที่เขากังวลมาตลอดก็เกิดขึ้นแล้ว

โลกใบนี้เดิมทีเต็มไปด้วยวิกฤติการณ์ สำหรับเรื่องราวลี้ลับแต่ละอย่าง คนทั่วไปไร้พลังตอบโต้โดยสิ้นเชิง

แต่สิ่งที่เขาเป็นห่วงก็คือ ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในตระกูลสวี จะมาถึงตระกูลลู่ในสักวันหนึ่ง

ถึงตอนนั้น เขาจะเอาอะไรมาป้องกัน ใช้อะไรช่วยเหลือตัวเอง

ใช้อะไรช่วยครอบครัวในชาตินี้

‘ผีสาวหรือ ข้ากลับต้องการดูว่าผีสาวตนใดสามารถป้องกันดาบของข้าได้!’ ดวงตาสาดประกายดุร้าย ลู่เซิ่งจิตใจบังเกิดความอำมหิต สาวเท้าก้าวไปยังโถงใหญ่ที่ลานด้านใน

เขาฝึกปรือมานานขนาดนี้ มิใช่เพื่อวินาทีนี้หรอกหรือ

เดินเข้าไปในโถงใหญ่ที่ลานด้านใน แวบแรกลู่เซิ่งก็เห็นลู่เฉวียนอันที่มีสีหน้าซูบโทรมบนตำแหน่งประธาน ด้านข้างของเขายังมีพวกมารดารอง มารดาสามที่เร่งรีบมา

น้องชายน้องสาว ลูกพี่ลูกน้องที่เหลือล้วนอยู่ครบ

เป็นครั้งแรกที่ครอบครัวมารวมตัวกันครบแบบนี้ทั้งที่ไม่ใช่ช่วงเทศกาล

ทุกคนเห็นลู่เซิ่งที่ร่างกำยำ แบกดาบอยู่บนไหล่ เดินเข้าประตูมา

บนใบหน้าลู่เฉียนอันปรากฏความยินดี แต่ก็ยังฉายแววกังวล

“เสี่ยวเซิ่ง เจ้า… เฮ้อ เจ้าไม่สมควรกลับมา…”

“ท่านพ่อ บอกมาเถอะ เกิดเรื่องอะไรขึ้น อวี๋เจี่ยตายแล้วหรือ”

ลู่เซิ่งไม่พูดพร่ำ ตัดตรงเข้าเรื่องหลัก

ช่วงนี้เขาฝึกดาบ บวกกับปราณทมิฬพิฆาตโคจรไหลเวียน บนร่างยังทิ้งกลิ่นอายดุร้ายสายหนึ่ง

ทุกคนเห็นดังนั้น จึงค่อยนึกออกว่าก่อนหน้านี้พี่เซิ่งสังหารผู้ร้ายตามประกาศจับที่น่ากลัวที่สุดไปสองคน นี่เป็นคนที่สามารถฆ่าโจรร้ายได้

พอคิดได้แบบนี้ จิตใจของทุกคนที่เดิมทีมีความหวาดหวั่น พลันค่อยๆ ได้รับการบรรเทาลง

“ให้ข้าเล่าให้เจ้าฟังเถอะ” มารดารองหลิวชุ่ยอวี้ถอนใจกล่าว

ลู่เซิ่งหาตำแหน่งนั่งลงทางด้านขวา

“มารดารองโปรดเล่า”

หลิวชุ่ยอวี้ใคร่ครวญ เรียบเรียงความคิด

“เรื่องนี้ต้องพูดถึงก่อนหน้านี้ที่อวี๋เจี่ยตายอย่างกะทันหัน”

นางถอนใจอีกรอบ

“วันนั้น มีคนในบ้านอวี๋เจี่ยมาบอกข้าว่า อวี๋เจี่ยสุดท้ายไม่ได้กลับบ้านไป แต่ข้าบอกว่ากลับไปนานแล้ว

“คนผู้นั้นบอกว่า ในบ้านไม่อาจรอคน จึงมาหาคนที่คฤหาสน์

“ข้าเองก็สงสัย กำลังจะส่งคนไปตรวจสอบ ก็ได้รับข่าวจากที่ว่าการส่งมาว่า อวี๋เจี่ยตายในตรอกแห่งหนึ่ง ผ่านมาหลายวัน ศพแข็งไปหมดแล้ว”

“ภายหลัง ข้าจึงให้เงินพวกเขาไป นับเป็นเงินช่วยทำศพอวี๋เจี่ย

แต่ว่าเรื่องนี้เพิ่งผ่านไปสองวัน ในคฤหาสน์ก็มีอีกคนหายไป ข้าส่งคนออกไปค้นหา พบเป็นศพอยู่ในแม่น้ำด้านนอกเมืองอีกแห่งหนึ่ง”

หลิวชุ่ยอวี้พอเล่าถึงตรงนี้ ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความทุกข์

“ตั้งแต่วันนั้น ทุกวันในคฤหาสน์มีคนหายไปหนึ่งคน ตรวจสอบอย่างไรก็ตรวจสอบไม่ได้! ตอนนี้เป็นวันที่ห้าแล้ว

“ทุกวันพอตกดึก ห้องที่อวี๋เจี่ยเคยอยู่จะแว่วเสียงร้องไห้ของสตรี เหมือนมีเหมือนไม่มี เข้าไปค้นหาก็ไม่เจอคน

“ในบ้านนั้นเดิมมีคนอยู่ห้าคน ตอนนี้ห้าคนนี้หายไปแล้วสามคน…”

ลู่เซิ่งพอฟังถึงตรงนี้ สีหน้าพลันเคร่งขรึมลง

“คนของที่ว่าการว่าอย่างไร”

“จะว่าอย่างไรได้ พอไม่เจออะไร ก็หาข้ออ้างมาบอกปัด แล้วก็จากไป”

ลู่เฉินซินอดสอดปากไม่ได้ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความคับข้อง

“ข้าให้ลุงใหญ่ของเจ้าส่งทหารมาเฝ้ายามแล้ว แต่ก็ยังคงไร้ประโยชน์ ตอนที่คนมากเสียงนั้นไม่โผล่มา รอจนคนน้อยแล้วจึงค่อยได้ยิน” ลู่เฉวียนอันส่ายหน้ากล่าว

“ชิงชิงเล่า” ลู่เซิ่งพลันพบว่าลู่ชิงชิงถึงกับไม่อยู่

“นางไปตระกูลเจิ้งเพียงคนเดียวแล้ว ทางตระกูลเจิ้งก็เกิดเรื่องเช่นกัน” ลู่เฉวียนอันกล่าวอย่างจนปัญญา

“ตระกูลเจิ้งก็เกิดเรื่องแล้วหรือ”

ลู่เซิ่งจิตใจตึงเครียด

“แต่ไม่ใช่เรื่องเหมือนพวกเรา พวกเขาเจอโจรปล้นชิง ปล้นขบวนพ่อค้าของพวกเขาระหว่างทาง เด็กน้อยชิงชิงไม่ทราบเอาเบาะแสมาจากไหน สงสัยว่าโจรมีความเกี่ยวข้องกับคดีตระกูลสวี เมื่อวานออกไปตรวจสอบ ถึงตอนนี้ยังไม่กลับมา”

มารดารอง หลิวชุ่ยอวี้ตอบ

ลู่เซิ่งแค่นเสียง

“เด็กน้อยผู้นี้ยิ่งมายิ่งไม่เชื่อฟังแล้ว

นอกจากนี้ ภายในคฤหาสน์ เรื่องนี้ก็ไม่ใช่ผีสาวอันใด ยอดฝีมือมีความสามารถคนหนึ่งถ้ากำลังภายในดี ก็สามารถกระทำเรื่องทำนองนี้ได้!

“ลุงจ้าวเล่า เขาว่าอย่างไร”

“ลุงจ้าวกับท่านอาของเจ้าอีกหลายคนล้วนถูกเรียกตัวไปที่ว่าการ ไปช่วยเสริมทัพด้านนอก ตอนนี้ก็ยังไม่กลับมา” ลู่เฉวียนอันตอบ

“นี่หมายความว่า มีคนฉวยโอกาสที่พวกลุงจ้าวไม่อยู่ กล้ามาแสร้งเป็นเทพปลอมเป็นปีศาจที่คฤหาสน์อย่างนั้นหรือ”

ลู่เซิ่งพอเอ่ยปากก็มองเรื่องนี้ว่าเป็นการกระทำของมนุษย์ มิใช่ภูตผีปีศาจอันใด

ไม่ว่าเรื่องนี้จะเป็นเรื่องที่ภูตผีปีศาจกระทำขึ้นหรือไม่ แต่ก็สามาถเป็นการกระทำของคนได้เช่นกัน!

ไม่อย่างนั้นตระกูลลู่ที่ยิ่งใหญ่เกรงว่าจะระส่ำระส่าย

ลู่เฉวียนอันเข้าใจเหตุผลนี้ทันนี้ พยักหน้าตอบรับ

“พอพูดแบบนี้ ก็เหมือนการกระทำของคนจริงๆ…”

“ห้องของอวี๋เจี่ยในตอนกลางคนมีเสียงสตรีร้องไห้กระมัง คืนนี้ข้าจะไปอยู่ที่นั่น ดูว่าจะมีคนหายตัวอีกหรือไม่”

ลู่เซิ่งเอ่ยปากกำหนดแผนการ

“แต่ว่าเสี่ยวเซิ่ง…”

ลู่เฉวียนอันยังคิดจะพูดอะไร แต่ก็ถูกยกมือห้ามไว้

“ท่านพ่อวางใจ ในใจข้ามีแผนการ”

ลู่เซิ่งกล่าวอย่างสงบ

ไม่ว่าอีกฝ่ายเป็นผีหรือเป็นคน แต่ในเมื่อมันกลัวคนจำนวนมาก เช่นนั้นก็หาวิธีแก้ไขได้

ถ้าหากว่าอุปสรรคเล็กๆ เช่นนี้ยังผ่านไปไม่ได้ เกิดว่าเจอตัวละครดุร้ายที่ล้างตระกูลได้ในหนึ่งคืนเพราะหนึ่งวาจาไม่ลงรอย ไหนเลยไม่ใช่ได้แต่ปล่อยให้คนเชือดเฉือน

“เสี่ยวเซิ่ง… ต้องระวังตัวนะ…”

หลิวชุ่ยอวี้เอ่ยอย่างเป็นห่วง

คนที่เหลือกลับมีสีหน้าดุจปลดภาระที่หนักอึ้ง

ในเมื่อพี่เซิ่งผู้สังหารผู้ร้ายตามประกาศจับ บอกว่าเป็นการกระทำของคน เช่นนั้นก็เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะเป็นการกระทำของคนจริงๆ

มีพี่เซิ่งอยู่ เชื่อว่าคนเลวนั่นจะต้องถูกจับแน่

หลังจากพวกลู่เฉินซิน ลู่เทียนหยาง ลู่อิ๋งอิ๋งแยกย้ายกันไป ก็ส่งข่าวนี้ออกไปทันที

อย่างรวดเร็วก็ถึงตอนพลบค่ำ ทั่วทั้งคฤหาสน์ลู่ล้วนทราบแล้วว่าคุณชายใหญ่ลู่เซิ่งกลับมาแล้ว เขายังบอกว่าเรื่องราวนี้เป็นการกระทำของคน!

คืนนี้ยังตัดสินใจ จะไปเฝ้ายามที่ห้องดอกบัว

ข่าวนี้พอแพร่ออกไป ทั่วทั้งคฤหาสน์ต่างโล่งอก

หลายวันมานี้ทั่วทั้งคฤหาสน์ลู่เคร่งเครียดเกินไปแล้ว สายพิณที่ตึงเช่นนี้อาจจะขาดได้ตลอดเวลา

ชั่วขณะนั้นจิตใจของทุกคนรู้สึกปลอดภัยขึ้นไม่น้อย

ถึงแม้วิกฤติการณ์จะยังไม่แก้ไข แต่ว่าบรรยากาศหวาดกลัวก่อนหน้านี้ก็บรรเทาลงมาก

อย่างน้อยมีคุณชายใหญ่ลู่เซิ่งปกป้องอยู่ตรงหน้า ไปยังห้องดอกบัวด้วยตัวเอง เรื่องนี้ต้องมีคุณชายใหญ่ป้องกันอยู่ด้านหน้าก่อน

หลังจากถามไถ่ต้นสายปลายเหตุของเรื่องราวอย่างละเอียดจนเข้าใจดีแล้ว ลู่เซิ่งก็ให้คนไปจัดข้าวของในห้องดอกบัว เช่นจำพวกเตียงและของประดับ ตนเองจะเข้าไปตอนกลางคืน

คนที่เหลือพากันเกลี้ยมกล่อมเขา เมื่อเห็นเขาไม่หวั่นไหวแม้แต่น้อย ได้แต่ยอมแพ้

ลู่เซิ่งให้เสี่ยวเฉี่ยวกลับห้องเดิมของตัวเอง เขาคนเดียวถือดาบนำชาโอสถกาหนึ่งเดินเข้าไปในห้องดอกบัว

ห้องดอกบัว ห้องใบบัว ห้องรากบัวที่เบียดชิดติดกัน ทั้งสามห้องต่างเป็นสถานที่ที่ให้หญิงรับใช้ในคฤหาสน์พักอาศัย

ห้องดอกบัวตั้งอยู่ตรงกลาง

ลู่เซิ่งถือดาบมาถึงหน้าห้องดอกบัว ลานสองข้างต่างไร้ผู้คน เห็นได้ชัดว่าถูกเสียงร่ำไห้ยามกลางคืนขู่ขวัญจนหนีไปแล้ว

เขาผลักเปิดประตูเข้าไป ด้านในทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว ผ้าปูเตียงถูกปูไว้อย่างดี

กล่องอาหารสำหรับกินวางอยู่บนโต๊ะหินในลานน้อย

นอกจากนี้ ด้านในไม่มีคนสักคน

โต๊ะหินสีขาวอมเทายังมีร่องรอยผงสีส่วนหนึ่งเหลือไว้คล้ายกับเป็นผงชาดที่สตรีใช้แล้วตกลงไป

ลู่เซิ่งเหลือบมองไปที่ห้องนอนห้องกับลานน้อยเหมือนกล่องสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่เชื่อมติดกันสองใบ ห้องแบ่งเป็นห้องเดี่ยวห้าห้อง จัดเรียงอยู่ด้วยกัน ปากประตูเป็นระเบียง นอกระเบียงเป็นลานน้อย ในลานมีบ่อน้ำบ่อหนึ่ง โต๊ะหินม้านั่งหินวางอยู่ข้างบ่อ

ลู่เซิ่งนั่งลงข้างบ่อเหมือนยอดอาชาดาบทองคำ เปิดกล่องอาหารสีแดงก่ำ หยิบกับข้าวด้านในแล้วยกออกมาวางไว้บนโต๊ะหิน

มีกับสามอย่าง น้ำแกงหนึ่งอย่าง

บวกกับข้าวสวยที่ร้อนกรุ่น

ลู่เซิ่งถือตะเกียบคีบกินคำโต

ข้าวมื้อหนึ่งกินเกือบครึ่งชั่วยาม เขายกกับข้าวกวาดกินจนเกลี้ยง จึงค่อยหยุดลง เรอออกมาคำหนึ่ง

สีท้องฟ้าค่อยๆ มืดลงแล้ว ลู่เซิ่งจุดเทียนไข จุดกรงตะเกียง ให้ส่องสว่างทั่วลานน้อยและห้องของอวี๋เจี่ย

ห้องทั้งห้าห้องจัดเรียงตัวกัน ห้องของอวี๋เจี่ยอยู่ด้านในสุด แสงมืดยิ่ง เสียงด้านนอกแว่วมาทางนี้ก็เบายิ่ง

หลังจากลู่เซิ่งกินอาหารแล้ว ก็ถือดาบเดินผ่านระเบียงเข้าไปในห้อง

ในห้องจัดวางเตียงไม้สีดำเตียงหนึ่ง โต๊ะสี่เหลี่ยมหนึ่งตัว เก้าอี้สามตัว

นอกจากนี้ก็เป็นตู้เสื้อผ้าหลังหนึ่ง โต๊ะเครื่องแป้งตัวหนึ่ง

ด้านหลังโต๊ะเครื่องแป้งเป็นหน้าต่าง ตอนนี้หน้าต่างไม้บานนั้นเปิดไว้ครึ่งหนึ่ง เผยให้เห็นตรอกน้อยที่มืดสลัวด้านนอก

แสงเทียนไขส่องจากโต๊ะหนังสือทางขวามือของประตูลงมา ส่องห้องมากกว่าครึ่งให้สว่าง กลับขับเน้นหน้าต่างไม้ที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งนั้นให้มืดกว่าเดิม

ลู่เซิ่งเดินเข้าไป ยื่นหัวจากหน้าต่างออกไปมองดู

ตรอกที่อยู่นอกหน้าต่างไม้ พอดีอยู่ตรงข้ามประตูบานหนึ่งของคฤหาสน์ลู่

มองจากหน้าต่างไปด้านนอก เห็นได้อย่างชัดเจนว่ามีตรอกเล็กเส้นหนึ่งตรงดิ่งเชื่อมไปยังประตูสีขาวที่เปลี่ยวร้างอยู่บ้าง

………………………………………….