บทที่ 25 เฝ้ายาม (1)

ยอดวิถีแห่งปีศาจ

แอ๊ด…

ลู่เซิ่งปิดหน้าต่างไม้ หันกลับไปมองภายในห้อง

เขาถอดเสื้อนอกออก วางไว้บนราวไม้ด้านหลังประตู

จากนั้นเปิดตู้เสื้อผ้าออกดู ด้านในเป็นเสื้อสตรีสีออกเทาๆ ที่อวี๋เจี่ยสวมใส่ ปิดตู้ลง ลู่เซิ่งมองไปที่โต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง

เป็นโต๊ะเครื่องแป้งที่เรียบง่ายลวดลายอันใดก็ไม่มี มีคันฉ่องสำริดใบหนึ่งวางอยู่ตรงกลาง

คันฉ่องสำริดเปื้อนผงสีชมพูเป็นจุดๆ ลู่เซิ่งยื่นมือไปแตะ แล้วเอามาดม

‘เป็นผงหอมทั่วไปที่สตรีใช้’

ลู่เซิ่งพลันขมวดคิ้ว

‘อวี๋เจี่ยจำได้ว่านางไม่ใช่คนชอบใช้ผงหอม’

ฟู่ว…

ทันใดนั้นลมเย็นหอบหนึ่งพัดมา แสงเทียนส่ายไหวขึ้น

ลู่เซิ่งกำดาบอย่างรวดเร็ว กวาดมองทั้งห้องรอบหนึ่ง

ฟุ่บ

ตรงร่องแยกประตูที่ยังไม่ปิดสนิทมีชายเสื้อสีขาวผืนหนึ่งผ่านแวบไป

ลู่เซิ่งเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว

‘จำได้ว่าหลังจากเข้ามา ปิดประตูไว้ดีแล้วนี่’

เขาลูบสลักไม้ ด้านบนยังมีกลอนแขวนที่อ้าอยู่

เขาเปิดประตูออก เดินไปถึงระเบียงด้านนอกแล้วมองดู

ระเบียงว่างเปล่า เย็นเยียบสุดเปรียบปาน

ความเย็นสายหนึ่งพัดมาทางนี้ไม่หยุด

ลู่เซิ่งกวาดมองอย่างใจเย็นรอบหนึ่ง ไม่พบปัญหาอันใด

กลับมาถึงห้อง

มีเสียงดังเอี๊ยดเมื่อประตูปิดลง

เขาเดินไปถึงข้างโต๊ะทรุดนั่งลง กดดาบลงบนผิวโต๊ะ ใช้มือกำไว้

เขานั่งอยู่เช่นนี้ รอคอยเสียงร้องไห้ของสตรีที่ว่ากันอย่างช้าๆ

แสงไฟตะเกียงดุจถั่วเหลือง

เวลาค่อยๆ ผ่านไป

ลู่เซิ่งมีวิชากระเรียนหยกช่วย จึงไม่รู้สึกง่วง นั่งอยู่ข้างโต๊ะ รอคอยเสียงร้องไห้ด้วยสติแจ่มใส

รอถึงตอนท้าย หากไม่มีเรื่องจริงๆ เขาก็ใช้ความคิดเร่งความเร็วการโคจรปราณวิชากระเรียนหยก

ตรงกันข้ามวิชาปราณหล่อเลี้ยงชีวิตนี้มั่นคงเกินไป ต่อให้เขาคิดจะสกัดกั้นปราณก็ทำไม่ได้

เวลาผ่านไปไม่น้อยอย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว

จนกระทั่งนอกหน้าต่างแว่วเสียงไก่ขันที่กระจ่างใสดังมา นอกหน้าต่างที่เดิมทีมืดสนิทค่อยๆ กลายเป็นสีขาวจางสายหนึ่ง

ลู่เซิ่งจึงได้รู้สึกตัวว่า ตนเองนั่งแบบนี้มาหนึ่งคืนแล้ว

‘เสียงสตรีร้องไห้เล่า ตอนกลางคืนไม่มีอะไรเลย’

เขาเห็นแสงสว่างยามฟ้าสางด้านนอกผ่านหน้าต่างเข้ามาได้แล้ว

ลู่เซิ่งถือดาบ ลุกขึ้นเคลื่อนไหวร่างกายเล็กน้อย

เปิดประตูเดินออกไป ทางระเบียงมีแสงส่วนหนึ่งลอดเข้ามา เขามาถึงลานห้องดอกบัว อาหารชามตะเกียบที่กินเมื่อวานยังวางอยู่ที่เดิม

ด้านนอกลานได้ยินเสียงคนสนทนากันเลือนราง

ลู่เซิ่งเดินไปออกแรงเปิดประตูใหญ่

บิดาลู่เฉวียนอัน ลู่อิ๋งอิ๋ง ลู่อีอี ยังมีญาติในบ้านทุกคน รอเขาอยู่ด้านนอกแต่แรกแล้ว

เมื่อเห็นประตูห้องเปิด ทุกคนพากันตกใจ ถอยหลังไปก้าวหนึ่ง

พอเห็นเป็นลู่เซิ่ง ลู่เฉวียนอันก็รีบเดินมาข้างหน้า

“เสี่ยวเซิ่ง! ไม่เป็นไรกระมัง!”

ใบหน้าเต็มไปด้วยความเป็นห่วง

ลู่เซิ่งเห็นทุกคนในมือยังชูคบเพลิง ตอนที่คนคุ้มกันส่วนหนึ่งรีบรุดมาถึง ในมือยังถือดาบและกระบี่อยู่ในฝัก จิตใจเกิดความสงสัย

“เป็นไรแล้ว เกิดเรื่องอะไรขึ้น” เขาถามเสียงกังวาน

ลู่เฉวียนอันถอนใจยาว

“เมื่อคืนในบ้านหายไปอีกหนึ่งคน”

“หือ?”

ลู่เซิ่งพลันตาโต

มารดารองหลิวชุ่ยอวี้ค่อยเข้ามา บอกเล่าเรื่องราวรอบหนึ่ง

ที่แท้ตอนที่ลู่เซิ่งเฝ้ายาม คนที่เหลือรอบๆ ไม่ได้ยินเสียงสตรีร้องไห้อันใดอีกจริงๆ

ตอนที่ทุกอย่างเพิ่งเริ่มเป็นปกติ คนคุ้มกันที่ลานตระเวนอยู่ก็ลาดตระเวนไป คนไม่น้อยอยู่ที่ห้องของตัวเองในคฤหาสน์ บอกว่าจะพักผ่อน ความจริงส่วนใหญ่นอนไม่หลับ ล้วนรอคอยผลลัพธ์

แต่ว่าภายหลังก็เกิดเรื่องขึ้นแล้ว

“ปาจวิ้น เขา… เขาบอกจะไปห้องห้องน้ำ คิดไม่ถึงว่าไปแล้วก็ไม่กลับมาอีก…”

สตรีร่างอวบคนหนึ่งถือผ้าเช็ดหน้ากล่าวสะอึกสะอื้น

สตรีนางนี้เป็นน้องสาวของของซุนเยี่ยนมารดาบังเกิดเกล้าของลู่เซิ่ง และเป็นน้าของเขา ซุนจื่อนิ่ง

คนที่หายไปในครั้งนี้ เป็นซุนปาจวิ้นลูกพี่ลูกน้องของลู่เซิ่ง

ลู่เซิ่งไม่สนิทกับซุนปาจวิ้น เด็กน้อยผู้นี้ชมชอบเล่นพนัน ทั้งเอาแต่กินเอาแต่นอน เขาทนดูไม่ได้ มักสั่งสอนตำหนิเขาหลายประโยค

เด็กน้อยนั่นจึงไม่ชอบเขาเพราะเรื่องนี้เช่นกัน ปกติเห็นหน้าล้วนเดินอ้อมหนีไป

คิดไม่ถึงคนที่หายไปในครั้งนี้ถึงกับเป็นเขา

ลู่เซิ่งหัวคิ้วขมวดมุ่น

“เมื่อคืนข้าไม่ได้นอน นั่งฟังการเคลื่อนไหวอยู่ในห้อง ไม่ได้ยินเสียงสตรีร้องไห้อันใด”

ทุกคนพอฟัง จิตใจเย็นเยียบอยู่บ้าง

“นี่ความจริงเป็นเรื่องอะไรกันแน่!”

ซุนจื่อนิ่งผู้เป็นน้าร้องไห้

“จื่อนิ่ง ใจเย็นก่อน ต้องมีวิธีจัดการ” มารดารองงดึงนางไปปลอบ

“ไปโถงใหญ่ก่อน ทุกคนไปปรึกษากันถึงมาตรการรับมือ”

ลู่เฉวียนอันถอนใจกล่าว

ภายใต้ความจนปัญญา ทุกคนได้แต่ออกจากที่นี่ไปก่อน

ลู่เฉวียนอันเรียกลู่เซิ่งกับญาติสายตรงไปไม่กี่คน ยังมีลุงใหญ่ก็มาด้วย

โถงใหญ่ปิดประตูแน่น แต่ละคนนั่งบนที่นั่ง บรรยากาศอึดอัด

ลุงใหญ่ลู่อันผิงเป็นบุรุษวัยกลางคน ใบหน้าเหลี่ยม คิ้วหนาตาโต ดูเคร่งขรึม

เขาสวมเกราะเกล็ดเงินครึ่งตัวที่เห็นได้บ่อยในต้าซ่ง เอวพกดาบโค้งสำหรับประดับเล่มหนึ่ง นั่งอยู่ข้างลู่เฉวียนอัน สีหน้าเคร่งเครียด

“ปัญหาในตอนนี้สมควรให้กองกำลังของที่ว่าการเข้าร่วมหรือไม่” ลุงใหญ่เอ่ยปากแช่มช้า “ถ้าพวกเราหาต้นตอไม่เจอ เกรงว่าภายหลังไม่อาจไม่ยืมกำลังจากภายนอกมาช่วยเหลือแล้ว”

“เชิญเทพมาง่ายส่งเทพออกยาก…” ลู่เฉวียนอันถอนใจ วันหนึ่งๆ ไม่ทราบว่าเขาถอนใจกี่ครั้งแล้ว

หลายวันมานี้พลังใจของเขาอ่อนล้า ชราลงอย่างรวดเร็ว

ลู่เซิ่งนั่งตำแหน่งรองประธาน เงียบขรึมไม่พูดจา

ลู่เฉวียนอันมองบุตรชายแวบหนึ่ง

“เสี่ยวเซิ่ง เจ้ามีอะไรจะพูดไหม เจ้าเป็นผู้คุมหางเสือในอนาคตของตระกูลลู่ ภายหลังทรัพย์สมบัติล้วนเป็นของเจ้า สภาพจนตรอกในตอนนี้สมควรแก้ไขอย่างไร เจ้ามีแผนการในใจหรือไม่”

ลู่เซิ่งหลับตาลง จากนั้นก็ลืมตาขึ้น ขณะที่กำลังจะเอ่ยปากตอบคำ

“แย่แล้วๆ!”

อยู่ๆ นอกประตูก็แว่วเสียงร้องของเสี่ยวเฉี่ยว

“คุณชายใหญ่! พี่เซิ่ง! คนในคฤหาสน์คิดหนีแล้ว!”

ลู่เซิ่งลุกขึ้น ก้าวยาวๆ ไปเปิดประตู เห็นเสี่ยวเฉี่ยวรออยู่หน้าประตูด้วยใบหน้าแดงก่ำ

“คุณชาย คนในคฤหาสน์หายไปอีกคน หัวหน้าผู้คุ้มกันหวังฉง ลอบพาคนหลายคนหนีแล้ว! ข้าได้ยินพี่น้องบอก จึงรีบวิ่งมาแจ้งท่าน”

“หนีแล้วหรือ”

ลู่เซิ่งเบิกสองตา

เขาคาดว่าอาจจะเกิดปรากฏการณ์หลบหนีขึ้นเพราะความหวาดกลัวแผ่ขยาย กลับคิดไม่ถึงว่าจะเกิดเร็วปานนี้

“ตอนนี้หวังฉงอยู่ไหน”

“ไม่ทราบ พวกเขาหนีไปแล้ว พวกเราค่อยพบ ตอนนี้พวกจ้าวฟางหู่ รวมตัวกันในลานใหญ่ ข้าเกรงว่าพวกเขาก็คิดหนีเหมือนกัน”

เสี่ยวเฉี่ยวกล่าวอย่างเร่งร้อน

จ้าวฟางหู่เป็นอีกคนที่เป็นหัวหน้าคนคุ้มกันในบ้าน

“พวกเขารวมตัวกันกี่คน”

ลู่เฉวียนอันถามอย่างรวดเร็ว

“ไม่แน่ใจ แต่ว่ามีหลายคน!” เสี่ยวเฉี่ยวรีบตอบ

“ข้าจะไปดู!”

ลู่เซิ่งสีหน้าเคร่งขรึม ก้าวยาวๆ ไปยังลานใหญ่

ลู่เฉวียนอันกับลุงใหญ่ลู่อันผิงก็ติดตามไปติดๆ ด้วยใบหน้าอึมครึม

พวกเขามาถึงลานใหญ่อย่างรวดเร็ว

คนยี่สิบกว่าคนรวมตัวกันอยู่ในลาน ส่วนใหญ่เป็นผู้คุ้มกันและข้ารับใช้ ยังมีหญิงรับใช้ด้วยอีกสองสามคน

บนใบหน้าพวกเขามีความหวาดหวั่นแผ่กระจาย

ในมือคนส่วนหนึ่งเก็บสัมภาระเรียบร้อยแล้ว เตรียมพร้อมไปจากคฤหาสน์ลู่ทุกเวลา

พอเห็นพวกลู่เซิ่งมาถึง บรรยากาศที่เดิมวุ่นวายก็ค่อยๆ สงบลง

“ผู้ใดคิดจะไป”

ลู่เซิ่งเดินไปถึงตรงหน้าผู้คน ถามด้วยสีหน้าเย็นชา

“พวกเราต่างคิดจะไป!”

บุรุษที่เป็นผู้คุ้มกันคนหนึ่งก้าวออกมา ถึงกับเป็นจ้าวฟางหู่ บนใบหน้าของเขายังมีแววหวาดกลัวอยู่

“คุณชายใหญ่ พวกเราก็เป็นคน มีชีวิตเหมือนกัน ความยุ่งยากในตอนนี้ของตระกูลลู่ไม่ใช่การกระทำของคนอันใด หากเป็นปีศาจสาว!”

เขาลืมตาโพลง ในแววตาล้วนเป็นความหวาดกลัว

“เหลวไหล!”

ลู่เซิ่งตัดบทเขา เสียงดุดัน

“ผู้ใดมอบความกล้าให้เจ้า ใช้เรื่องปีศาจมาล่อลวงคน!”

“แต่ข้าเห็นชัดเจน! เงาขาวนั่น! ตระกูลลู่ของพวกท่านอย่าได้คิดลากพวกเราคนส่วนใหญ่…”

ฉูด!

เลือดพลันกระจายเต็มพื้น

ศีรษะของผู้คุ้มกันพลันลอยขึ้นกลางอากาศ แล้วกลิ้งตกลงบนพื้น ชนใส่เท้าหญิงรับใช้ที่ถือห่อสัมภาระอยู่

“กล้าใช้วาจาปีศาจล่อลวงคน ตาย!”

ลู่เซิ่งกระชากเสียง ถือดาบจ้องมองคนที่กำลังหวาดกลัวตรงหน้ากลุ่มนี้

ตุบ

ตอนนี้ศพที่ไร้ศีรษะของผู้คุ้มกันคนนั้นค่อยล้มลงกับพื้น

กรี๊ด!

หญิงรับใช้คนนั้นกรีดร้อง

“หุบปาก!”

ลู่เซิ่งบนร่างแผ่รังสีอำมหิตสายหนึ่งออกมา ตากวาดมองไป พลันทำให้สตรีที่กำลังกรีดร้องตกใจ ต้องปิดปาก ร้องไห้เบาๆ

เหล่าข้ารับใช้และผู้คุ้มกันไหนเลยจะเคยเห็นภาพที่โหดร้ายคาวโลหิตเช่นนี้

ทุกคนต่างตกใจตัวสั่น ใบหน้าซีดขาว แต่กลับไม่กล้าส่งเสียงแม้แต่น้อย

“ทั้งหมดล้วนไสหัวกลับไป หากกล้าก่อเรื่องอีก ฆ่า!”

ลู่เซิ่งกล่าวเสียงดุดัน

ในดวงตาทุกคนปรากฏความหวั่นเกรงอย่างล้ำลึก

ถูกกดดันเพราะบารมีของลู่เซิ่ง พวกเขาถึงค่อยนึกออกว่า คุณชายใหญ่ผู้นี้สังหารตัวละครร้ายอย่างโจรตามประกาศจับไปหลายคนด้วยตัวคนเดียว

ทันใดนั้นผู้คนก็แยกย้ายสลายตัวไป เหมือนกับหลบหนีภัยพิบัติ

ศพผู้คุ้มกันที่ล้มอยู่บนพื้น มีผู้คุ้มกันที่ก่อนหน้าไม่ได้ก่อเรื่องมาเก็บไป

ผู้คุ้มกันและข้ารับใช้เหล่านี้ก่อนเข้าตระกูลลู่ ล้วนเขียนสัญญาขายตัว

คิดไปก็จะไป ยึดถือพวกเขาตระกูลลู่เป็นผู้ใจบุญ จิตใจมีเมตตามือไม้อ่อนหรือ

รอจนคนไปแล้ว ลู่เซิ่งหันกลับมา ลู่เฉวียนอันกับลุงใหญ่ลู่อันผิงต่างมองเขาด้วยสีหน้าประหลาดใจและซับซ้อน

“ใช้ความรุนแรงปราบความรุนแรง เป็นแค่แผนการชั่วคราว” ลุงใหญ่ส่ายหน้าเอ่ย

“ขอแค่สะกดไว้ได้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็พอ ถ้าเรื่องนี้ไม่อาจจัดการได้ในระยะเวลาอันสั้น เช่นนั้นพวกเราตระกูลลู่ก็ต้องหนีเหมือนกัน”

ลู่เซิ่งเอ่ยอย่างสงบ

“ดูเหมือนครั้งนี้ต้องไปขอความช่วยเหลือจากที่ว่าการแล้วจริงๆ…” ลู่เฉวียนอันถอนใจกล่าว “ยังดีที่ครั้งนี้มีเสี่ยวเซิ่งเจ้าอยู่ด้วย”

การจัดการอย่างเด็ดขาดของลู่เซิ่งทำให้เขาเห็นว่าบุตรชายมีความรับผิดชอบ มีด้านวางแผนการ จึงชื่นใจขึ้นมาก

ลู่เซิ่งเอ่ยเสียงทุ้ม

“คืนนี้ข้าจะเฝ้ายามอีกครั้ง ข้ากลับต้องการดูว่า เป็นของเล่นอันใดถึงกล้ามาทำชั่วในบ้านข้า!

“ท่านพ่อวางใจ เมื่อคืนข้าแม้ไม่พบอะไร แต่สัมผัสเงื่อนงำได้จุดหนึ่งแล้ว”

“วาจานี้เป็นจริงหรือ” ลู่เฉวียนอันคึกคักขึ้นมา

“พันจริงหมื่นแท้!”

“จำเป็นต้องให้ข้าเรียกทหารมาไหม”

ลุงใหญ่กล่าวอย่างจริงจัง

“ตอนนี้อย่าได้เคลื่อนไหววู่วาม ข้ากลัวว่า หากว่าคนมากกลับเป็นตัวถ่วง ผีสางเหล่านี้ ผู้ใดไม่รู้ว่ามีความสามารถอันใด คนมากอาจจะขวางทาง สามารถเรียกมาเฝ้านอกคฤหาสน์ได้”

ลู่เซิ่งส่ายหน้า

“ถูกต้อง เสี่ยวเซิ่ง ครั้งนี้ทั้งหมดขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว!” ลุงใหญ่พยักหน้า ยื่นมือมาตบบ่าลู่เซิ่ง

เขาแม้เป็นรองผู้บัญชาการ แต่ว่าไม่ใช่จอมยุทธ์ในยุทธภพ บวกกับขุนนางบู๊ของต้าซ่งไม่ได้สู้รบมาหลายปีแล้ว

ในความจริงกล่าวไปแล้ว ตำแหน่งขุนนางของเขาอาศัยการทดสอบกลยุทธ์ทางทหาร และทำข้อสอบได้มา ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับการต่อสู้

ต้าซ่งเน้นบุ๋นมองข้ามบู๊ เป็นธรรมเนียมที่ไม่ดีมาหลายปีแล้ว ดังนั้นตอนนี้เสาหลักของตระกูลต่างอยู่บนตัวลู่เซิ่ง

“ไม่ต้องห่วง” ลู่เซิ่งหวนนึกถึงชายเสื้อสีขาวที่ตนเห็น ในใจเกิดความเคลือบแคลง

ถ้าหากว่าจับเจ้าของชายเสื้อขาวนั้นได้ บางทีอาจจะจัดการคดีคนหายต่อเนื่องได้

………………………………………….