เล่ม 1 ตอนที่ 28 หลีอ๋อง

ยอดหญิงลิขิตสวรรค์

หรงเจินเชิดคอตั้งมองฉู่หลิวเยว่

แม้มือและใบหน้าจะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่สีหน้ากลับนิ่งสงบไม่แยแสสักนิด ร่างไร้วิญญาณของอสูรงูหลามทองคำอยู่ข้างหลังนางแท้ๆ แต่นางก็ยังหัวเราะได้!

ราวกับปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก!

ตอนนี้หรงเจินก็เหมือนกับต่อสู้ในสงครามเย็น

ทันใดนั้นนางก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉู่หลิวเยว่คนนี้ ภายนอกเหมือนไม่มีพิษสงอะไรแต่กลับรังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!

ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือเข้าใกล้อีกนิด

“องค์หญิงสี่เพคะ แก่นปราณของอสูรงูหลามทองคำเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นเลิศทีเดียว พระองค์ได้โปรด…”

แก่นปราณนั้นเต็มไปด้วยเลือดข้นเหนียวสีแดงเข้ม กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งออกมาทำให้รู้สึกขยะแขยงพะอืดพะอมยิ่งนัก!

หรงเจินหน้าซีดเผือด แต่ต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้ นางจะไม่รับ ‘ของขวัญตอบแทน’ ชิ้นนี้ของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้!

ในขณะที่ทางมีท่าทีลำบากใจ หรงจิ้นที่อยู่ข้างกันนั้นก็เอ่ยปากขึ้น

“ทหาร เอาของขวัญขององค์หญิงชิ้นนี้ไปเก็บเอาไว้ดีๆ”

เมื่อสิ้นเสียงเขา ทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับเอาแก่นปราณนี้ไป

แต่ฉู่หลิวเยว่กับหลีกมือของทหาร ดวงตาของนางจ้องหรงเจินอย่างไม่ลดละ

“ตอนแรกหม่อมฉันคิดว่า ชื่อบนโฉนดที่ดินผืนนั้นเป็นชื่อของหม่อมฉัน ก็ต้องเป็นของของหม่อมฉัน หากขายไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้องค์หญิงสี่ขุ่นข้องหมองพระทัยได้ เมื่อเรื่องกลับตาลปัตรเยี่ยงนี้ ถือเสียว่านี่เป็นของขวัญชดใช้ แต่เสียดายที่องค์หญิงสี่ไม่ชอบ หรือว่าพระองค์ยังไม่พอพระทัยเพคะ”

หัวใจของหรงเจินสั่นสะท้าน

แม้นางจะมีนิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แต่นางก็ไม่ได้เป็นคนโง่เง่า

นี่หมายความว่าฉู่หลิวเยว่ต้องการให้นางรับเองกับมือ!

หากนางไม่รับเอาไว้ ก่อนหน้านี้ที่นางบีบคั้นให้ฉู่หลิวเยว่จนตรอกก็จะดูโหดเหี้ยมไร้ความปรานีอย่างเห็นได้ชัด

สายตาของคนในตำหนักใหญ่จับจ้องมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ประทับที่นี่ด้วย!

หากนางทำลายชื่อเสียงของตัวเองแล้วจะทำไม ถึงอย่างไรนางก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากทำให้ราชวงศ์พลอยถูกตำหนิไปด้วย เช่นนั้นนางก็มิอาจทนรับได้!

นางสามารถเอาอกเอาใจเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะนางรู้วิธีปฏิบัติตนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่านางจะก่อเรื่องวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม

“ข้าต้องพอใจอยู่แล้ว”

หรงเจินลุกขึ้นกัดฟัน แล้วให้ทหารถอยไป จากนั้นจึงหยิบแก่นปราณนั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง

เมื่อมือสัมผัสความหนืดเหนียว นางรู้สึกขยะแขยงจนแทบโยนมันทิ้งไปซะ

ตอนแรกคิดว่าจะสามารถจัดการกับฉู่หลิวเยว่ได้ง่ายดาย แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะถูกนางเอาคืนอย่างเจ็บแสบ!

นางจ้องฉู่หลิวเยว่เขม็ง จากนั้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดทีละถ้อยทีละคำ

“ฉู่! หลิว! เยว่! เจ้า…ดี! ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”

ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเจือจางตอบกลับตามมารยาท

“ขอบพระทัยองค์หญิงที่นึกถึงหม่อมฉันเพคะ”

ความกรุ่นโกรธจุกอยู่ที่อกของหรงเจินจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว!

“พอได้แล้ว”

หรงจิ้นเอ่ยเตือน หรงเจินจึงทำได้เพียงข่มไฟโทสะเอาไว้ในใจ

หรงจิ้นมองนาง ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจ

“ยังไม่รีบเก็บกวาดอีก สกปรกขนาดนี้ สภาพดูได้ที่ไหน”

เสียงนั้นลดลง ทุกคนในตำหนักก็เงียบไปครู่หนึ่ง

ดูเหมือนองค์ชายรัชทายาทจะเอ่ยกับองค์หญิงสี่ แต่อันที่จริงเขากำลังแอบประชดฉู่หลิวเยว่ต่างหาก

มือขององค์หญิงสี่เปื้อนคราบเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งต่อสู้กับอสูรงูหลามทองคำ สภาพนางตอนนี้เปื้อนเลือดจนเกือบทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว

คำว่า “สกปรก” นี้หมายถึงนางอย่างไรเล่า!

เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากทุกแห่งหนในตำหนักใหญ่

ทุกสายตาจับจ้องมาที่นางด้วยการเสียดสีและเยาะเย้ย

ในวังหมิงชุ่ยที่สว่างไสวนี้ ทุกคนเปล่งประกายสวยงาม สะอาดและหรูหรา

มีนางเพียงคนเดียวที่เปื้อนเลือด เพราะปิ่นปักผมถูกดึงออกมา จึงทำให้เรือนผมลงมายุ่งเหยิง

ดูจากสภาพแล้วกระเซอะกระเซิงเสียจริง

เมื่อหรงซิวก้าวเข้ามา ก็เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว

สิ่งที่เขาเห็นก็คือหญิงสาวร่างผอมบางยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่

ด้านข้างของนางเป็นกรงสัตว์สีดำขนาดใหญ่ที่ได้รับความเสียหาย พร้อมกับซากของอสูรงูเหลือมทองคำที่นอนขดจมกองเลือด

และพื้นก็เจิ่งนองไปด้วยเลือด

ใบหน้าและมือของนางเปื้อนเลือดสีแดงสดเต็มไปหมด

แม้ร่างกายนางจะผอมบาง แต่หลังกับตั้งตรงสง่างามราวกับต้นสนบนทิวเขา ต่อให้เกิดลมแรงโหมกระหน่ำแค่ไหนก็ไม่มีทางหักงอ

ดวงตาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนของเขาพลันเย็นชาขึ้นมาทันที!

แต่เพียงชั่ววินาทีเดียว เขาก็กลับไปมีสายตาอบอุ่นดังเดิม

“หลีอ๋องเสด็จ!”

เสียงนี้ทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในตำหนักใหญ่ และทุกคนต่างเบิกตาด้วยความตกตะลึง

หลีอ๋องหรือ

องค์ชายเจ็ดอย่างนั้นหรือ

เขามาได้อย่างไร

เสด็จกลับมาเมืองหลวงหนึ่งเดือนแล้ว เพราะป่วยออดๆ แอดๆ จึงหมกตัวอยู่ในตำหนักหลีอ๋องตลอด และไม่เคยเข้าร่วมงานสังสรรค์ใดๆ วันนี้ทำไมถึงได้…

ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นและหันหน้ามองเขาโดยไม่รู้ตัว

นางก็เห็นว่ามีร่างอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งปรากฏที่ตำหนักใหญ่แห่งนี้

โคมแก้วทรงแปดเหลี่ยมที่แขวนอยู่นอกประตูตำหนักฉายแสงอันอบอุ่นและนุ่มนวลสะท้อนร่างสูงโปร่งของเขา

ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ในช่วงคิมหันต์อันร้อนระอุนี้ เขายังคงสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว

เมื่อเขาเดินเข้ามาในตำหนัก ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ชัดเจน

แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้านี้ แต่ฉู่หลิวเยว่ก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้

คิ้วทรงกระบี่คมเฉียงเข้าไรผม จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาเรียวดุจหงส์ลุ่มลึก แสงไฟที่ส่องแสงประกายก็มิอาจพร่างพรายได้เทียบเท่าทะเลดาวนับล้านที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขาเลยสักนิด

ราวกับว่าเพียงแค่สบตาก็สามารถทำให้เต็มใจจมดิ่งไปกับสายตาของเขาได้

เขาสวมเสื้อคลุมทับเสื้อสีขาวดั่งหิมะ แขนเสื้อและชายเสื้อปักด้วยลวดลายสีทองเข้ม ช่างดูพลิ้วไหวราวกับแสงจันทร์ยามที่เขาก้าวเดิน

เมื่อเขาปรากฏตัว ประโยคหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของทุกคน

บุรุษที่ดูสูงส่งสง่างามเช่นนี้ ราวกับเพชรที่ได้รับการเจียระไนด้วยฝีมืออันประณีต

เขาช่างดูบริสุทธิ์สง่างามจริงๆ ทั้งยังดูอ่อนโยนราวกับหยก

หญิงสาวจากตระกูลขุนนางทั้งหลายต่างพากันหน้าแดง และจ้องหรงซิวด้วยแววตาเป็นประกาย

“ที่แท้เขาก็คือหลีอ๋องนี่เอง…คิดไม่ถึงว่าจะรูปงามเพียงนี้!”

“คราวก่อนที่เขากลับเมืองหลวงก็เมื่อสามปีที่แล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี่จะกลับมาอีกครั้ง โตเป็นหนุ่มขนาดนี้…รูปร่างหน้าตาเยี่ยงนี้ เกรงว่าบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวงคงเทียบไม่ติดหรอกกระมัง”

“เหอะ ก็แค่คนอมโรค มีอะไรน่ามองกัน! ต่อให้สูงส่งเสียดฟ้าก็เป็นได้แค่อ๋องจอมเกียจคร้าน!”

ทุกคนในตำหนักต่างพากันซุบซิบนินทา

เมื่อฉู่หลิวเยว่มองใกล้มากขึ้น นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อย

ไม่น่าแปลกใจที่คนเหล่านั้นจะพูดกันเช่นนี้ เพราะว่าริมฝีปากของหรงซิวซีดเล็กน้อย และเขาดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่

ขณะนั้นเองหรงซิวก็หันมามองนางพอดี

ทั้งสองต่างสบตากันและกัน

ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา

วินาทีต่อมา หรงซิวก็เดินตรงมาที่นาง จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง

ทุกคนต่างมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้

ฉู่หลิวเยว่อึ้งเล็กน้อย

นี่เขาคิดจะทำอะไร

หรือเป็นเพราะนางบุกรุกทะเลสาบคลื่นมรกตของเขาเมื่อคราวที่แล้ว เขาก็เลยมาคิดบัญชีกับนาง

ขณะที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็เห็นหรงซิวยื่นมือออกมาและยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้นาง

ฉู่หลิวเยว่เข้าใจความหมายของเขาทันที

นี่เขาหมายถึง… ให้นางเช็ดเลือดออกจากใบหน้า

ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ที่พบเจอกันครั้งแรกก็ลอยเข้ามาในหัว

เขายื่นมือออกมาเช็ดเลือดจากใบหน้าของนางเบาๆ ด้วยปลายนิ้วของเขา และกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉู่ ก็คงมิอาจกลับไปด้วยรอยคราบเลือดอันน่าอนาถเช่นนี้เป็นธรรมดา”

สถานการณ์ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน

ฉู่หลิวเยว่รับผ้าเช็ดหน้าไว้แล้วเช็ดตามร่างกาย

“ขอบพระทัยหลีอ๋องเพคะ”

หรงซิวมองดูแม่นางน้อยของเขาที่หมุนไปรอบ เมื่อเห็นนางดูเชื่อฟังซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงที่มีท่าทางที่ระแวดระวังตัวและเย็นชา เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด