หรงเจินเชิดคอตั้งมองฉู่หลิวเยว่
แม้มือและใบหน้าจะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่สีหน้ากลับนิ่งสงบไม่แยแสสักนิด ร่างไร้วิญญาณของอสูรงูหลามทองคำอยู่ข้างหลังนางแท้ๆ แต่นางก็ยังหัวเราะได้!
ราวกับปีศาจที่ผุดขึ้นมาจากขุมนรก!
ตอนนี้หรงเจินก็เหมือนกับต่อสู้ในสงครามเย็น
ทันใดนั้นนางก็คิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ ฉู่หลิวเยว่คนนี้ ภายนอกเหมือนไม่มีพิษสงอะไรแต่กลับรังแกไม่ได้ง่ายๆ เลย!
ฉู่หลิวเยว่ยื่นมือเข้าใกล้อีกนิด
“องค์หญิงสี่เพคะ แก่นปราณของอสูรงูหลามทองคำเป็นยาบำรุงร่างกายชั้นเลิศทีเดียว พระองค์ได้โปรด…”
แก่นปราณนั้นเต็มไปด้วยเลือดข้นเหนียวสีแดงเข้ม กลิ่นคาวลอยคละคลุ้งออกมาทำให้รู้สึกขยะแขยงพะอืดพะอมยิ่งนัก!
หรงเจินหน้าซีดเผือด แต่ต่อหน้าธารกำนัลมากมายเช่นนี้ นางจะไม่รับ ‘ของขวัญตอบแทน’ ชิ้นนี้ของฉู่หลิวเยว่ไม่ได้!
ในขณะที่ทางมีท่าทีลำบากใจ หรงจิ้นที่อยู่ข้างกันนั้นก็เอ่ยปากขึ้น
“ทหาร เอาของขวัญขององค์หญิงชิ้นนี้ไปเก็บเอาไว้ดีๆ”
เมื่อสิ้นเสียงเขา ทหารองครักษ์ที่อยู่ข้างๆ ก็ก้าวมาข้างหน้าเพื่อรับเอาแก่นปราณนี้ไป
แต่ฉู่หลิวเยว่กับหลีกมือของทหาร ดวงตาของนางจ้องหรงเจินอย่างไม่ลดละ
“ตอนแรกหม่อมฉันคิดว่า ชื่อบนโฉนดที่ดินผืนนั้นเป็นชื่อของหม่อมฉัน ก็ต้องเป็นของของหม่อมฉัน หากขายไปก็คงไม่มีปัญหาอะไร แต่คิดไม่ถึงว่าจะทำให้องค์หญิงสี่ขุ่นข้องหมองพระทัยได้ เมื่อเรื่องกลับตาลปัตรเยี่ยงนี้ ถือเสียว่านี่เป็นของขวัญชดใช้ แต่เสียดายที่องค์หญิงสี่ไม่ชอบ หรือว่าพระองค์ยังไม่พอพระทัยเพคะ”
หัวใจของหรงเจินสั่นสะท้าน
แม้นางจะมีนิสัยเย่อหยิ่งเอาแต่ใจ แต่นางก็ไม่ได้เป็นคนโง่เง่า
นี่หมายความว่าฉู่หลิวเยว่ต้องการให้นางรับเองกับมือ!
หากนางไม่รับเอาไว้ ก่อนหน้านี้ที่นางบีบคั้นให้ฉู่หลิวเยว่จนตรอกก็จะดูโหดเหี้ยมไร้ความปรานีอย่างเห็นได้ชัด
สายตาของคนในตำหนักใหญ่จับจ้องมากมายขนาดนี้ โดยเฉพาะเสด็จพ่อเสด็จแม่ก็ประทับที่นี่ด้วย!
หากนางทำลายชื่อเสียงของตัวเองแล้วจะทำไม ถึงอย่างไรนางก็มีอารมณ์ฉุนเฉียวอยู่เสมอ แต่ถ้าหากทำให้ราชวงศ์พลอยถูกตำหนิไปด้วย เช่นนั้นนางก็มิอาจทนรับได้!
นางสามารถเอาอกเอาใจเสด็จพ่อและเสด็จแม่ได้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะนางรู้วิธีปฏิบัติตนอยู่เสมอ ถึงแม้ว่านางจะก่อเรื่องวุ่นวายแค่ไหนก็ตาม
“ข้าต้องพอใจอยู่แล้ว”
หรงเจินลุกขึ้นกัดฟัน แล้วให้ทหารถอยไป จากนั้นจึงหยิบแก่นปราณนั้นขึ้นมาด้วยตัวเอง
เมื่อมือสัมผัสความหนืดเหนียว นางรู้สึกขยะแขยงจนแทบโยนมันทิ้งไปซะ
ตอนแรกคิดว่าจะสามารถจัดการกับฉู่หลิวเยว่ได้ง่ายดาย แต่คิดไม่ถึงว่าสุดท้ายจะถูกนางเอาคืนอย่างเจ็บแสบ!
นางจ้องฉู่หลิวเยว่เขม็ง จากนั้นเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันพูดทีละถ้อยทีละคำ
“ฉู่! หลิว! เยว่! เจ้า…ดี! ข้าจะจำเจ้าเอาไว้!”
ฉู่หลิวเยว่ยิ้มเจือจางตอบกลับตามมารยาท
“ขอบพระทัยองค์หญิงที่นึกถึงหม่อมฉันเพคะ”
ความกรุ่นโกรธจุกอยู่ที่อกของหรงเจินจนแทบจะระเบิดออกมาอยู่แล้ว!
“พอได้แล้ว”
หรงจิ้นเอ่ยเตือน หรงเจินจึงทำได้เพียงข่มไฟโทสะเอาไว้ในใจ
หรงจิ้นมองนาง ดูเหมือนจะมีความไม่พอใจ
“ยังไม่รีบเก็บกวาดอีก สกปรกขนาดนี้ สภาพดูได้ที่ไหน”
เสียงนั้นลดลง ทุกคนในตำหนักก็เงียบไปครู่หนึ่ง
ดูเหมือนองค์ชายรัชทายาทจะเอ่ยกับองค์หญิงสี่ แต่อันที่จริงเขากำลังแอบประชดฉู่หลิวเยว่ต่างหาก
มือขององค์หญิงสี่เปื้อนคราบเลือดเพียงเล็กน้อยเท่านั้น แต่ฉู่หลิวเยว่ที่เพิ่งต่อสู้กับอสูรงูหลามทองคำ สภาพนางตอนนี้เปื้อนเลือดจนเกือบทั่วทั้งตัวเลยทีเดียว
คำว่า “สกปรก” นี้หมายถึงนางอย่างไรเล่า!
เสียงหัวเราะเยาะดังมาจากทุกแห่งหนในตำหนักใหญ่
ทุกสายตาจับจ้องมาที่นางด้วยการเสียดสีและเยาะเย้ย
ในวังหมิงชุ่ยที่สว่างไสวนี้ ทุกคนเปล่งประกายสวยงาม สะอาดและหรูหรา
มีนางเพียงคนเดียวที่เปื้อนเลือด เพราะปิ่นปักผมถูกดึงออกมา จึงทำให้เรือนผมลงมายุ่งเหยิง
ดูจากสภาพแล้วกระเซอะกระเซิงเสียจริง
เมื่อหรงซิวก้าวเข้ามา ก็เห็นสถานการณ์เป็นเช่นนี้แล้ว
สิ่งที่เขาเห็นก็คือหญิงสาวร่างผอมบางยืนอยู่กลางตำหนักใหญ่
ด้านข้างของนางเป็นกรงสัตว์สีดำขนาดใหญ่ที่ได้รับความเสียหาย พร้อมกับซากของอสูรงูเหลือมทองคำที่นอนขดจมกองเลือด
และพื้นก็เจิ่งนองไปด้วยเลือด
ใบหน้าและมือของนางเปื้อนเลือดสีแดงสดเต็มไปหมด
แม้ร่างกายนางจะผอมบาง แต่หลังกับตั้งตรงสง่างามราวกับต้นสนบนทิวเขา ต่อให้เกิดลมแรงโหมกระหน่ำแค่ไหนก็ไม่มีทางหักงอ
ดวงตาที่เคยอบอุ่นอ่อนโยนของเขาพลันเย็นชาขึ้นมาทันที!
แต่เพียงชั่ววินาทีเดียว เขาก็กลับไปมีสายตาอบอุ่นดังเดิม
“หลีอ๋องเสด็จ!”
เสียงนี้ทำลายบรรยากาศอึมครึมภายในตำหนักใหญ่ และทุกคนต่างเบิกตาด้วยความตกตะลึง
หลีอ๋องหรือ
องค์ชายเจ็ดอย่างนั้นหรือ
เขามาได้อย่างไร
เสด็จกลับมาเมืองหลวงหนึ่งเดือนแล้ว เพราะป่วยออดๆ แอดๆ จึงหมกตัวอยู่ในตำหนักหลีอ๋องตลอด และไม่เคยเข้าร่วมงานสังสรรค์ใดๆ วันนี้ทำไมถึงได้…
ฉู่หลิวเยว่ใจเต้นและหันหน้ามองเขาโดยไม่รู้ตัว
นางก็เห็นว่ามีร่างอันคุ้นเคยของคนผู้หนึ่งปรากฏที่ตำหนักใหญ่แห่งนี้
โคมแก้วทรงแปดเหลี่ยมที่แขวนอยู่นอกประตูตำหนักฉายแสงอันอบอุ่นและนุ่มนวลสะท้อนร่างสูงโปร่งของเขา
ฉู่หลิวเยว่ตกตะลึงไปชั่วขณะ ในช่วงคิมหันต์อันร้อนระอุนี้ เขายังคงสวมเสื้อคลุมขนจิ้งจอกขาว
เมื่อเขาเดินเข้ามาในตำหนัก ใบหน้าของเขาก็ค่อยๆ ชัดเจน
แม้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้เห็นใบหน้านี้ แต่ฉู่หลิวเยว่ก็อดรู้สึกหวั่นไหวไม่ได้
คิ้วทรงกระบี่คมเฉียงเข้าไรผม จมูกโด่งเป็นสัน ดวงตาเรียวดุจหงส์ลุ่มลึก แสงไฟที่ส่องแสงประกายก็มิอาจพร่างพรายได้เทียบเท่าทะเลดาวนับล้านที่อยู่ในดวงตาคู่นั้นของเขาเลยสักนิด
ราวกับว่าเพียงแค่สบตาก็สามารถทำให้เต็มใจจมดิ่งไปกับสายตาของเขาได้
เขาสวมเสื้อคลุมทับเสื้อสีขาวดั่งหิมะ แขนเสื้อและชายเสื้อปักด้วยลวดลายสีทองเข้ม ช่างดูพลิ้วไหวราวกับแสงจันทร์ยามที่เขาก้าวเดิน
เมื่อเขาปรากฏตัว ประโยคหนึ่งแวบเข้ามาในหัวของทุกคน
บุรุษที่ดูสูงส่งสง่างามเช่นนี้ ราวกับเพชรที่ได้รับการเจียระไนด้วยฝีมืออันประณีต
เขาช่างดูบริสุทธิ์สง่างามจริงๆ ทั้งยังดูอ่อนโยนราวกับหยก
หญิงสาวจากตระกูลขุนนางทั้งหลายต่างพากันหน้าแดง และจ้องหรงซิวด้วยแววตาเป็นประกาย
“ที่แท้เขาก็คือหลีอ๋องนี่เอง…คิดไม่ถึงว่าจะรูปงามเพียงนี้!”
“คราวก่อนที่เขากลับเมืองหลวงก็เมื่อสามปีที่แล้ว คิดไม่ถึงว่าตอนนี่จะกลับมาอีกครั้ง โตเป็นหนุ่มขนาดนี้…รูปร่างหน้าตาเยี่ยงนี้ เกรงว่าบุรุษทั่วทั้งเมืองหลวงคงเทียบไม่ติดหรอกกระมัง”
“เหอะ ก็แค่คนอมโรค มีอะไรน่ามองกัน! ต่อให้สูงส่งเสียดฟ้าก็เป็นได้แค่อ๋องจอมเกียจคร้าน!”
ทุกคนในตำหนักต่างพากันซุบซิบนินทา
เมื่อฉู่หลิวเยว่มองใกล้มากขึ้น นางก็เลิกคิ้วเล็กน้อย
ไม่น่าแปลกใจที่คนเหล่านั้นจะพูดกันเช่นนี้ เพราะว่าริมฝีปากของหรงซิวซีดเล็กน้อย และเขาดูไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไหร่
ขณะนั้นเองหรงซิวก็หันมามองนางพอดี
ทั้งสองต่างสบตากันและกัน
ฉู่หลิวเยว่หรี่ตา
วินาทีต่อมา หรงซิวก็เดินตรงมาที่นาง จนสุดท้ายก็มาหยุดอยู่ตรงหน้านาง
ทุกคนต่างมองมาด้วยความสงสัยใคร่รู้
ฉู่หลิวเยว่อึ้งเล็กน้อย
นี่เขาคิดจะทำอะไร
หรือเป็นเพราะนางบุกรุกทะเลสาบคลื่นมรกตของเขาเมื่อคราวที่แล้ว เขาก็เลยมาคิดบัญชีกับนาง
ขณะที่นางกำลังคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ นางก็เห็นหรงซิวยื่นมือออกมาและยื่นผ้าเช็ดหน้าสีขาวให้นาง
ฉู่หลิวเยว่เข้าใจความหมายของเขาทันที
นี่เขาหมายถึง… ให้นางเช็ดเลือดออกจากใบหน้า
ทันใดนั้นภาพเหตุการณ์ที่พบเจอกันครั้งแรกก็ลอยเข้ามาในหัว
เขายื่นมือออกมาเช็ดเลือดจากใบหน้าของนางเบาๆ ด้วยปลายนิ้วของเขา และกล่าวว่า “คุณหนูใหญ่แห่งตระกูลฉู่ ก็คงมิอาจกลับไปด้วยรอยคราบเลือดอันน่าอนาถเช่นนี้เป็นธรรมดา”
สถานการณ์ครั้งนี้ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน
ฉู่หลิวเยว่รับผ้าเช็ดหน้าไว้แล้วเช็ดตามร่างกาย
“ขอบพระทัยหลีอ๋องเพคะ”
หรงซิวมองดูแม่นางน้อยของเขาที่หมุนไปรอบ เมื่อเห็นนางดูเชื่อฟังซึ่งแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงที่มีท่าทางที่ระแวดระวังตัวและเย็นชา เขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาทันใด