บทที่ 21 นายท่านตัวเหม็นเป็นคนขี้โกหก!

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาต้องใช้เวลาทำนานกว่าข้าวผัดไข่ เพราะต้องตั้งไฟไว้ให้เดือดสักพัก ด้วยเหตุนี้ปู้ฟางจึงทำทั้งน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาและข้าวผัดไข่ไปพร้อมๆ กัน

ระหว่างห้องครัวกับห้องอาหารมีหน้าต่างอยู่ ซึ่งดูเหมือนว่าระบบเพิ่งสร้างขึ้นเมื่อครู่ ปู้ฟางวางข้าวผัดไข่ที่ทำเสร็จแล้วลงบนขอบหน้าต่างนั้น ก่อนตะโกนเรียกเด็กหญิงให้มารับไป

“นี่ข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุง เอาไปให้ลูกค้าเสีย” ปู้ฟางเอ่ย จากนั้นก็เมินใบหน้าเหวอๆ ของเด็กหญิงแล้วกลับเข้าครัวไป

“ไอ้หมอนี่… กล้าสั่งให้ข้าเอาอาหารไปให้ลูกค้าจริงๆ รึ!” ดวงตาของโอวหยางเสี่ยวอี้เบิกกว้าง ใบหน้าเต็มไปด้วยความประหลาดใจ ด้วยสถานะของนาง ย่อมไม่มีใครหน้าไหนกล้าสั่งให้นางใช้แรงงาน แน่นอนว่าการเอาอาหารไปบริการเหมือนข้ารับใช้นั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง

เด็กหญิงมองไปทางปู้ฟาง ย่นจมูก ก่อนส่งเสียงฮึ่มฮั่มออกมาอย่างโอหัง

นางถือชามด้วยมือทั้งสองข้าง กลิ่นหอมของข้าวผัดโชยกรุ่นขึ้นใส่หน้า ทำให้เด็กหญิงผู้ยังไม่ได้กินข้าวเช้ารู้สึกหิวขึ้นมาทันที

“เหตุใดจึงหอมถึงเพียงนี้!” โอวหยางเสี่ยวอี้กำลังจะเป็นบ้า ราวกับว่าข้าวผัดไข่สีทองชามนี้กำลังปล่อยกลิ่นยั่วให้นางหิวจนไส้จะขาด

“ให้ข้ามาทำงานเยี่ยงสาวรับใช้นี่มันชั่วช้าเกินไปแล้ว!” นางก่นด่าในใจ จากนั้นก็วางข้าวผัดไข่ลงเบื้องหน้าเจ้าอ้วนจินพร้อมพ่นลมด้วยโทสะ “ไอ้อ้วนนี่กล้าให้ข้าเอาอาหารมาให้มันได้อย่างไรกัน!”

เมื่อเจ้าอ้วนจินเห็นโอวหยางเสี่ยวอี้เดินเอาอาหารออกมาให้ด้วยตนเอง เขาก็รีบลุกขึ้นต้อนรับนางด้วยสีหน้าปลื้มปริ่ม

โอวหยางเสี่ยวอี้เมินอีกฝ่ายก่อนรีบเดินหนีไปทันทีที่วางอาหารลงบนโต๊ะเรียบร้อย นางกลัวว่าตนเองจะทนความหิวไม่ไหวแล้วกินข้าวผัดไข่เสียเอง

ปู้ฟางวางข้าวผัดไข่อีกชามบนหน้าต่าง ใบหน้าชะงักกึกเมื่อเห็นสภาพโอวหยางเสี่ยวอี้ที่เดินกลับมา

เด็กหญิงเอาผ้าเช็ดหน้าพันรอบศีรษะโดยทำปมไว้ตรงโพรงจมูก หน้าตาท่าทางดูเหมือนโจรวิ่งราวไม่มีผิด

“เป็นอะไรไป” ปู้ฟางถามหน้าตาย

“นายท่านตัวเหม็น! รู้หรือไม่ว่าการที่บริกรอย่างข้าต้องทนต่อความอยากกินนั้นมันยากเพียงใด!” เด็กหญิงพูดพร้อมกลอกตาอย่างหัวเสียให้ปู้ฟาง

ปากของชายหนุ่มเปิดกว้าง แต่ไม่ได้ยิ้ม

หนึ่งเค่อต่อมา น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาก็พร้อมกิน กลิ่นหอมเข้มโชยออกจากครัวไหลบ่าเข้าท่วมทั่วทั้งร้านทันที

เจ้าอ้วนจินที่กำลังกินข้าวผัดไข่อยู่หยุดชะงัก เงยหน้าขึ้นดมในอากาศ ราวกับอยากจะสูดกลิ่นหอมนี้เข้าปอดไปเสียให้หมด

“หอมเหลือเกิน! กลิ่นไม่เหมือนข้าวผัดไข่เสียด้วย! หรือว่านี่จะเป็นกลิ่นของอาหารจานใหม่!” เจ้าอ้วนจินพึมพำกับตนเอง จากนั้นดวงตาก็เป็นประกายขึ้นพร้อมเหลือบไปมองทางครัวด้วยความคาดหวัง

ชามที่ใส่น้ำแกงเต้าหู้หัวปลานั้นใหญ่กว่าชามปกติมาก ปู้ฟางจึงไม่ปล่อยให้เด็กหญิงเป็นคนนำมาให้ลูกค้า เขาถือชามค่อยๆ เดินออกจากครัวมา

ทันทีที่เดินออกมายังห้องอาหาร ทุกคนก็หันมาจับจ้องเขาเป็นตาเดียว ต่างคนต่างพากันมองชามยักษ์ในมือปู้ฟางด้วยความสงสัยใคร่รู้ ส่วนเจ้าอ้วนจินก็เริ่มกระสับกระส่าย

“เร็วเข้า! เร็วเข้า!” เจ้าอ้วนจินแทบทนความต้องการลิ้มรสอาหารไม่ไหว และจ้องปู้ฟางที่กำลังเดินทอดน่องมาทางเขาอย่างกระสับกระส่าย

ชามน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาที่วางลงตรงหน้าเจ้าอ้วนจินมีน้ำแกงปลาสีขาวราวน้ำนม เนื้อปลาอวบอ้วนอ่อนนุ่มใสแจ๋วเหมือนผลึกแก้ว และเต้าหู้ที่งามราวหยก กลิ่นหอมหวนเข้มข้นโชยออกจากชามไม่หยุดยั้ง

“นี่น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาที่สั่ง กินให้อร่อย” ปู้ฟางพูดเรียบๆ

ทุกคนเข้ามาล้อมวงรอบเจ้าอ้วนจินอย่างกระตือรือร้น ส่งเสียงอึกทึกครึกโครมไปทั่ว ต่างผลักปู้ฟางและเสี่ยวอี้ออกไปให้พ้นทางด้วยร่างอวบหนา

ปู้ฟางไม่ได้ใส่ใจอะไรนัก เขาเดินกลับไปขดตัวบนเก้าอี้ที่ทางเข้าร้านด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ แต่โอวหยางเสี่ยวอี้นั้นเดือดดาลเป็นอันมาก “ไอ้อ้วนพวกนี้! กล้าดีอย่างไรมาผลักข้า!”

นางกัดฟันกรอด สายตาจ้องกลุ่มชายอ้วนตรงหน้าอยู่สักพัก ก่อนจะรู้สึกว่าตนเองก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน เด็กหญิงตัวน้อยจึงพ่นลมโกรธออกมาก่อนล้มเลิกความพยายาม

เอื๊อก!

กลุ่มชายอ้วนกลืนน้ำลายเสียงดัง ดวงตาจับจ้องไปที่เจ้าอ้วนจินซึ่งกำลังกินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาด้วยสีหน้ามีความสุขล้นปริ่มอย่างอิจฉาตาร้อน

“เจ้าจินเพื่อนยาก ไอ้น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาชามนี้อร่อยถึงเพียงนั้นเชียวหรือ” ชายอ้วนคนหนึ่งในกลุ่มถามด้วยความสงสัย ความอยากอาหารพุ่งถึงขีดสุดด้วยกลิ่นหอมเกินบรรยาย

เจ้าอ้วนจินพ่นก้างปลาออกจากปาก ใบหน้าอิ่มเอมมีความสุขจนตาเล็กหยี “น้ำแกงปลานี้อร่อยเหาะเกินบรรยาย ยากที่จะจินตนาการได้ว่ามันเป็นแค่น้ำแกงปลาใส่เต้าหู้ เนื้อปลาทั้งอวบอ้วนและอ่อนนุ่ม ความแข็งจัดได้ว่ากำลังพอดี ตอนเคี้ยวนั้นรู้สึกราวกับกำลังถูกนวดเฟ้น เต้าหู้ยิ่งยอดเยี่ยมเข้าไปใหญ่ ทันทีที่เข้าปากข้ามันก็ละลายหายไป! อ้อ นอกจากนี้ยังมีความรู้สึกชาๆ หลังจากที่กินเนื้อปลาเข้าไปอีกด้วย ต้องเป็นเนื้อของอสูรเวทประเภทสายฟ้าเป็นแน่ ข้ารู้สึกได้ถึงพลังปราณที่เพิ่มมากขึ้นขณะกิน โดยรวมแล้ว น้ำแกงเต้าหู้หัวปลานี้คุ้มค่าทุกผลึกทุกเหรียญที่เสียไปเลยทีเดียวเชียว!”

บทสรรเสริญเกียรติคุณของน้ำแกงเต้าหู้ปลาที่ออกจากปากเจ้าอ้วนจินทำให้กลุ่มชายมั่งมีหายสงสัยไปได้ ในที่สุดชายอ้วนผู้ถามคำถามก็ตัดสินใจบางอย่างได้ เขาหันไปหาปู้ฟางแล้วเอ่ยสั่ง “เถ้าแก่ปู้ ข้าอยากสั่งน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาหนึ่งชาม!”

ปู้ฟางโงหัวขึ้นอย่างเกียจคร้านเพื่อมองหน้าชายอ้วนคนนั้น ก่อนตอบอย่างไร้อารมณ์ “ไม่ได้ พลังปราณของเจ้าต่ำเกินไป เจ้าสั่งไม่ได้”

ชายอ้วนผู้นั้นงุนงงเป็นอันมาก จึงพูดขึ้นอย่างกระสับกระส่าย “เถ้าแก่ ข้ามีเงินจ่ายนะ! ข้ามีเงินจ่ายจริงๆ !”

“หากระดับพลังปราณของเจ้าไม่ถึงเกณฑ์ก็สั่งไม่ได้ นี่เป็นกฎของร้าน ไม่เกี่ยวกับเรื่องเงิน” ปู้ฟางพูดเสียงเรียบ รังสีที่เขาแผ่ออกมานั้นเย็นเยียบราวกับไม่สนใจใหญ่ดีในทรัพย์สินเงินทองแม้แต่น้อย แต่ในความเป็นจริงแล้วภายในจิตใจของชายหนุ่มกลับกำลังทรมานเหลือแสน…

ยี่สิบผลึกเชียวนะโว้ย! กว่าจะได้มาแต่ละผลึก เลือดตาแทบกระเด็น!

คำปฏิเสธแสนเย็นชาของปู้ฟางไม่ได้ทำให้คนอื่นประหลาดใจแต่อย่างใด ไม่มีใครซักไซ้ต่อเนื่องจากรู้ดีว่าร้านเล็กๆ ของฟางฟางนี้เคร่งครัดเรื่องกฎเป็นอันมาก

เจ้าอ้วนจินพอใจเป็นที่สุด หลังจากจ่ายค่าอาหารเรียบร้อย เขาก็โบกมือให้ปู้ฟางและกำลังจะจากไป แต่ก่อนที่จะได้ทำเช่นนั้น เด็กหญิงก็หยุดเขาเอาไว้ก่อน ทั้งสองซุบซิบกันอยู่สักพัก

จากนั้นเด็กหญิงก็เดินยิ้มแฉ่งกลับมาราวกับเพิ่งเดินไปเห็นเงินตกอยู่บนพื้น

“นายท่านตัวเหม็น ขอข้าวผัดไข่กับน้ำแกงเต้าหู้หัวปลา” เด็กหญิงตะโกนสั่งอาหารกับปู้ฟางด้วยน้ำเสียงจับใจ ขณะสาวเท้าเดินเข้าไปใกล้ครัว

ปู้ฟางเลิกคิ้วขึ้น “จะชักดาบอีกรึ”

“ข้ามีเงินน่า! รีบไปทำมาให้ข้ากินเร็ว!” เด็กหญิงกระเง้ากระงอดอย่างหัวเสีย

“พลังปราณของเจ้าสูงไม่พอ สั่งน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาไม่ได้” ปู้ฟางลุกขึ้นยืน หากเด็กนี่มีเงินก็ไม่เป็นปัญหา จากที่เขาเห็น นางน่าจะไปยืมเงินมาจากเจ้าอ้วนจิน

“ไอ้คนขี้โกหก! เมื่อวานข้าก็กินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเข้าไปแล้วไง!” เด็กหญิงตอกกลับอย่างหัวเสีย นางกำลังคาดโทษว่าปู้ฟางตั้งใจทำให้ชีวิตนางยุ่งยาก

ปู้ฟางนิ่งไปสักพักก่อนเอ่ยตอบ “ตอนลองชิมอาหารจานใหม่นั้นไม่มีข้อจำกัดใดๆ เจ้าไม่ได้สังเกตรึว่าพลังปราณในตัวเจ้าไม่ได้เพิ่มขึ้นเลยทั้งๆ ที่เมื่อวานกินเข้าไปเยอะถึงเพียงนั้น ข้าเอาพลังปราณเที่ยงแท้ออกจากอาหารแล้ว เจ้าจึงกินเข้าไปได้อย่างไรเล่า”

ในความเป็นจริงแล้วระบบต่างหากที่เป็นฝ่ายเอาพลังปราณออกจากน้ำแกง เนื่องจากระดับพลังปราณของปู้ฟางต่ำเกินไป หากกินเข้าไปคงเป็นอันตรายแน่นอน ด้วยเหตุนี้ระบบจึงเอาพลังปราณออกจากอาหารจานใหม่ระหว่างที่เขาลองชิมเสมอ ปู้ฟางเพียงแค่ต้องลิ้มรสสัมผัสและรสชาติของอาหารจานใหม่ที่ตนเองทำเท่านั้นเด็กหญิงอับจนด้วยคำพูด นางสังเกตเห็นว่าพลังปราณเที่ยงแท้ของเจ้าอ้วนจินเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมากหลังจากที่กินน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเข้าไป แปลว่าข้อจำกัดนั้นเป็นเรื่องจริง

“เช่นนั้น… เอาข้าวผัดไข่มาให้ข้าชามหนึ่ง” เด็กหญิงรู้สึกเหมือนตนเองโดนหลอก ขณะพูดตอบอย่างหดหู่

“ได้ ขอเวลาสักครู่” ปู้ฟางพูดแล้วเดินกลับเข้าครัวไป

หลังจากที่ชายหนุ่มเดินเข้าครัวไปแล้ว ร่างสามร่างก็ปรากฏขึ้นที่ทางเข้าร้าน หนึ่งในนั้นคือจีเฉิงเสวี่ย องค์ชายสามผู้สง่างาม ส่วนอีกสองคนที่เหลือคือสองพี่น้องรูปงามตระกูลเซียว

ทันทีที่ทั้งสามเดินเข้าร้านมาก็ต้องตกใจชะงักค้าง เมื่อเห็นเด็กหญิงที่กำลังนั่งหน้าบูดอยู่บนเก้าอี้

“เสี่ยวอี้ เจ้ามาทำอะไรที่นี่ แม่ทัพโอวหยางตามหาตัวเจ้าแทบพลิกแผ่นดิน! นครหลวงทั้งนครโกลาหลเหมือนภัยพิบัติเข้า!” เซียวเยียนอวี่ตะโกนด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นเด็กหญิง

ในตอนนั้นเองโอวหยางเสี่ยวอี้ก็เห็นผู้มาเยือนทั้งสาม พอนางหันไปเห็นคนเหล่านั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน

………………………………..