บทที่ 22 ปลาดองเหล้ากลิ่นหอมรัญจวนใจ

ทะลุมิติมาเปิดร้านอาหารอยู่ต่างโลก: GOURMET OF ANOTHER WORLD

เมื่อโอวหยางเสี่ยวอี้เห็นเซียวเยียนอวี่ เด็กหญิงก็พลันหมุนตัวกลับแล้วโกยแน่บไปที่ห้องตนเอง นางอยากหลีกหนีไปให้ไกลที่สุดทันทีที่รู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้น

แต่ผู้ที่นางกำลังหนีคือเซียวเยียนอวี่ สตรีอัจฉริยะอันดับหนึ่งแห่งนครหลวง ผู้มีปราณระดับสี่ขั้นจิตยุทธการ เซียวเยียนอวี่ปรากฏตัวขึ้นข้างเด็กหญิงราวเคลื่อนย้ายมาในพริบตา พร้อมดึงเสื้อโอวหยางเสี่ยวอี้เอาไว้

“ตายแล้ว! พี่หญิงเยียนอวี่ ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้” โอหยางเสี่ยวอี้กะพริบตาปริบ เมื่อรู้ตัวว่าหนีไปไหนไม่รอด นางก็หันไปมองเซียวเยียนอวี่ที่มีสีหน้าเย็นเยือกราวน้ำแข็ง พร้อมปั้นหน้าใสซื่อบริสุทธิ์

เซียวเยียนอวี่เอามือตีศีรษะเด็กหญิงเบาๆ ด้วยความหงุดหงิด “เจ้าเด็กบ้า ปีกกล้าขาแข็งเสียจริง! รู้จักหนีออกจากบ้านเสียด้วย! เจ้ารู้ไหมว่าท่านปู่ของเจ้าเป็นห่วงใจแทบขาดเพียงใด!”

เซียวเสี่ยวหลงและจีเฉิงเสวี่ยเดินเข้ามาหาคนทั้งสองด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า เซียวเสี่ยวหลงหลิ่วตาให้เด็กหญิงเสียด้วยซ้ำ “พับผ่าสิ นครหลวงแทบเกิดสงครามกลางเมืองด้วยฝีมือของแม่ทัพเฒ่าเพราะเจ้าเด็กแสบนี่ แต่ตัวต้นเรื่องกลับมาซ่อนอยู่ในร้านมีความสุขกับอาหารอร่อยไปเสียได้ ข้าอยากรู้นักว่าท่านแม่ทัพเฒ่าโอวหยางจะกระอักเลือดออกมาหรือไม่เมื่อรู้ข่าว”

“เสี่ยวอี้ เป็นเด็กดีหน่อยสิ ท่านแม่ทัพเฒ่าเป็นห่วงเจ้านะ กลับบ้านเถิด ทำให้ผู้หลักผู้ใหญ่โกรธมันไม่ดี” จีเฉิงเสวี่ยที่ใส่ชุดขาวทั้งตัวมองเด็กหญิงด้วยสายตาอ่อนโยน

โอวหยางเสี่ยวอี้เกาหัวด้วยสีหน้าจริงจัง ก่อนตอกกลับ “ข้าไม่กลับ ปู่เอาแต่บังคับให้ข้าฝึกวิชาทุกวัน ทั้งๆ ที่แขนขาเล็กๆ บอบบางของข้าไม่ได้เหมาะกับการต่อสู้สักนิด แล้วดูสิว่าข้าน่ารักเพียงใด ให้คนน่ารักเช่นข้าไปฝึกวิทยายุทธ์มันไม่เสียของหรอกรึ”

เซียวเยียนอวี่ขำออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดของเด็กหญิง ทั้งสองโตมาด้วยกันตั้งแต่อ้อนแต่ออก นางจึงชินกับนิสัยของโอวหยางเสี่ยวอี้เป็นอย่างดี

“จักรวรรดิวายุแผ่วนั้นเป็นอาณาจักรการยุทธ์ แม่ทัพเฒ่าโอวหยาง ท่านปู่ของเจ้าก็มาจากพื้นเพนักรบ ทั้งยังคอยรับใช้ข้างกายท่านจักรพรรดิระหว่างเดินทางหลายต่อหลายครั้ง แน่นอนว่าท่านย่อมต้องให้ความสำคัญกับวิทยายุทธ์เป็นธรรมดา และต้องการให้ลูกหลานของท่านสืบทอดความสามารถด้านการรบไป เจ้ารู้หรือไม่ว่ามีผู้ฝึกตนกี่คนที่อยากฝึกวิชากับท่านปู่เจ้า มีเพียงเจ้าคนเดียวเท่านั้นที่ไม่เข้าใจว่าตนเองโชคดีเพียงใด”

แต่โอวหยางเสี่ยวอี้ก็ยังรู้สึกเหมือนโดนละเมิดสิทธิ์อยู่ดี นางปิดปากสนิท หันหน้าขวับไปอีกทางอย่างดื้อดึง

เมื่อเห็นดังนั้น จีเฉิงเสวี่ยและเซียวเสี่ยวหลงก็ระเบิดเสียงหัวเราะออกมา ทั้งสองเป็นห่วงไม่น้อยเมื่อได้ยินว่าโอวหยางเสี่ยวอี้หนีออกจากบ้านมา แต่ตอนนี้ก็รู้สึกวางใจได้แล้ว

องค์ชายสามลูบหัวโอวหยางเสี่ยวอี้แล้วพูดอย่างจริงจัง “เสี่ยวอี้ กลับบ้านเสียเถิด ตอนนี้มีผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ จากหลายสำนักกระจายตัวอยู่ทั่วนครหลวง จึงไม่ใช่เวลาที่เจ้าจะมาพยศ หากถูกลักพาตัวไป จะกลายเป็นตัวถ่วงท่านปู่เจ้าไปเสีย”

โอวหยางเสี่ยวอี้ยังพอมีความเกรงกลัวจีเฉิงเสวี่ยผู้สง่างามอยู่บ้าง นางจึงกะพริบตาปริบแล้วพยักหน้าด้วยสีหน้าจริงจัง

ตอนนั้นเองปู้ฟางก็ทำข้าวผัดไข่เสร็จ หลังจากวางเอาไว้บนขอบหน้าต่างเรียบร้อย เขาก็ตะโกนเรียกเสียงเย็น “เจ้าเปี๊ยก ข้าวผัดไข่ของเจ้าเสร็จแล้ว”

“อ๊ะ! มาแล้วๆ !” เมื่อได้ยินว่าข้าวผัดไข่ของตนเองทำเสร็จเรียบร้อย โอวหยางเสี่ยวอี้ก็สดใสขึ้นมาทันที นางกระโดดดึ๋งอย่างตื่นเต้นแล้วพุ่งตัวไปที่หน้าต่าง

เด็กหญิงวิ่งถือชามข้าวผัดไข่กลิ่นหอมกลับมาวางลงบนโต๊ะ โอวหยางเสี่ยวอี้ที่กำลังหิวโซไม่สนใจคนอื่นในร้านอีกต่อไป นางเริ่มกินอย่างเอร็ดอร่อยทันที

“เจ้าเด็กนี่… ไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะหาที่แห่งนี้เจอ” เซียวเสี่ยวหลงมีสีหน้าอ่อนโยนขณะดูเด็กหญิงกินข้าวอย่างมูมมาม

“เถ้าแก่ปู้ ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงหนึ่งชาม” องค์ชายสามตะโกนสั่งไปทางห้องครัวอย่างสุภาพ

“จะสั่งอะไรก็บอกเด็กนั่น” ปู้ฟางตอบโดยไม่ออกจากครัว

จีเฉิงเสวี่ย เซียวเสี่ยวหลง และเซียวเยียนอวี่ชะงักไป

เด็กหญิงที่กำลังสาละวนกับการกินสะดุ้งทันที นางเงยหน้าขึ้น ใบหน้ามีเมล็ดข้าวสองสามเมล็ดติดอยู่ จากนั้นก็พูดด้วยท่าทางน่ารัก “ตอนนี้ข้าทำงานเป็นบริกรที่ร้านนี้อยู่ หากจะสั่งอะไรก็บอกข้า”

“เจ้าเนี่ยนะเป็นบริกร” เซียวเสี่ยวหลงตาเบิกกว้าง เขาจ้องโอวหยางเสี่ยวอี้ด้วยสีหน้าประหลาด “เถ้าแก่ปู้ช่างเป็นชายที่น่ากลัวจริงๆ ! เขาถึงกับกล้าจ้างเด็กนี่เป็นบริกร ไม่กลัวพี่ชายป่าเถื่อนสามคนจากตระกูลโอวหยางเลยรึ”

เซียวเยียนอวี่มุ่นคิว “เสี่ยวอี้ เพียงเท่านี้เถ้าแก่ปู้ก็บริหารร้านยากแล้ว อย่าทำให้เขากลุ้มใจไม่ได้หรือ”

จีเฉิงเสวี่ยพยักหน้าอย่างเคร่งขรึมจริงจังเช่นกัน

โอวหยางเสี่ยวอี้มองหน้าคนทั้งสามอย่างไร้อารมณ์ นางอยากพ่นข้าวในปากใส่หน้าสามคนนี้เป็นอันมาก หมายความว่าอย่างไรกันที่ว่านางทำให้คนอื่นกลุ้มใจ นางนี่ช่าง… น่ายำเกรงถึงเพียงนั้นเชียวรึ!

เป็นเพราะไอ้นายท่านตัวเหม็นนั่นแท้ๆ ที่มาข่มขู่บังคับให้นางจ่ายหนี้ด้วยร่างกาย

โอวหยางเสี่ยวอี้กลืนข้าวผัดไข่ในปาก ก่อนพ่นลมเยาะ “รีบๆ หน่อย จะสั่งก็สั่งมา! ข้าไม่มีเวลามาเสียกับพวกท่านหรอกนะ”

ตอนนั้นเองทั้งสามก็ตระหนักได้ว่าเถ้าแก่ปู้ให้โอวหยางเสี่ยวอี้ทำงานเป็นบริกรที่ร้านจริงๆ พวกเขารู้สึกประทับใจในความกล้าหาญของปู้ฟางไม่น้อย ทุกคนรู้ดีว่านายหญิงน้อยแห่งตระกูลโอวหยางเป็นตัวแสบอันดับหนึ่งในนครหลวง การสร้างความวุ่นวายคือนิสัยของนาง

“หา มีรายการอาหารใหม่ด้วยรึ” เซียวเสี่ยวหลงอุทานด้วยความตื่นเต้น ตาโตเป็นไข่ห่านเมื่อเห็นชื่ออาหารใหม่บนป้าย

เซียวเยียนอวี่และจีเฉิงเสวี่ยเองก็หันไปมองด้วยความสนใจเช่นกัน การที่เถ้าแก่ปู้ขายอาหารจานใหม่นั้นไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ที่จะมองข้ามไปได้

“ปลาดองเหล้ากับน้ำแกงเต้าหู้หัวปลารึ” เซียวเสี่ยวหลงอ่านออกเสียง จากนั้นดวงตาของเขาก็หยีเล็ก มุมปากกระตุก “จานละยี่สิบผลึก… อาหารเถ้าแก่ปู้นี่แพงหูฉี่ไม่ทิ้งลายจริงๆ”

“น้ำแกงเต้าหู้หัวปลาอร่อยเหาะไปเลย! ข้าลองกินดูแล้วเมื่อวาน! ขอบอกเลยว่าอร่อยมากๆ ! เป็นน้ำแกงที่รสเลิศที่สุดที่ข้าเคยกินมา! อร่อยกว่า ‘น้ำแกงปลากระจกวิจิตรเจ็ดดาว’ ของลุงอ้วนเสียอีก” โอวหยางเสี่ยวอี้พูด ดวงตาเป็นประกาย

เซียวเยียนอวี่ประหลาดใจมาก ลุงอ้วนที่โอวหยางเสี่ยวอี้พูดถึงคือหัวหน้าพ่อครัวหลวงประจำพระราชวัง น้ำแกงปลานี้เทียบเท่าอาหารจานเอกของลุงอ้วนจริงๆ น่ะหรือ

“ข้าอยากกินเหลือเกิน ในเมื่อเสี่ยวอี้โฆษณาเช่นนี้แล้ว ข้าจะลองสั่งดูก็แล้วกัน… เอาปลาดองเหล้า” จีเฉิงเสวี่ยยิ้มจนตาหยีอย่างสง่างาม

โอวหยางเสี่ยวอี้จ้องหน้าองค์ชายด้วยสีหน้าราบเรียบ ความสัมพันธ์อันดีระหว่างเราระเหยหายไปไหนแล้วกันนะ

“เช่นนั้นข้าสั่งน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาก็แล้วกัน” เซียวเยียนอวี่สั่งเสียงเบา เสียงของนางไพเราะราวบทเพลงของนกน้อย

“ข้า… ข้าขอข้าวผัดไข่สูตรปรับปรุงเหมือนเดิม” เซียวเสี่ยวหลงรู้สึกเจ็บกระดองใจเหลือเกิน… เขาไม่ได้คาดคิดมาก่อนว่าปู้ฟางจะมีอาหารจานใหม่ จึงเอาผลึกมาไม่พอจ่าย หนำซ้ำร้านนี้ยังไม่อนุญาตให้ลูกค้าติดไว้ก่อนเสียด้วย

“ได้ รอสักครู่” เด็กหญิงจำรายการอาหารที่ทั้งสามสั่งอย่างจริงจัง จากนั้นก็เดินไปที่หน้าต่างครัวเพื่อบอกปู้ฟาง

“ได้ รับทราบ” ปู้ฟางพยักหน้าอย่างไร้อารมณ์ แล้วจึงหันหลังกลับไปเตรียมวัตถุดิบ

“มีคนสั่งปลาดองเหล้าด้วยรึ” ปู้ฟางเองก็อยากเห็นหน้าตาของจานนี้เช่นกัน

ชายหนุ่มเดินไปที่ถังสุราแล้วเปิดผ้าปิดถัง กลิ่นหอมเข้มพวยพุ่งออกจากถังสุราทันที ทำให้ใบหน้าของชายหนุ่มกลายเป็นสีแดงเล็กน้อยจากกลิ่นที่ชวนให้ดื่มด่ำเมามาย

เขาหยิบปลาทะเลน้ำแข็งระดับสามออกมา เห็นแล้วว่าเนื้อที่เคยเป็นสีฟ้าอ่อนบัดนี้กลับกลายเป็นสีชมพูจากกระบวนการหมัก ปลาทะเลน้ำแข็งนี้ถูกธัญพืชหมักเหล้าที่ทั้งเหนียวและเข้มข้นคลุมไว้อย่างถ้วนทั่ว

ปู้ฟางปาดธัญพืชหมักเหล้าออกจากผิวของปลาทะเลน้ำแข็ง จากนั้นก็วางปลาลงบนเขียง แล้วบั้งเนื้อปลาด้วยมีดสองถึงสามครั้ง เพื่อดึงรสชาติของปลาให้ออกมาอย่างเต็มเปี่ยมขณะนึ่ง

ชายหนุ่มวางปลาทะเลน้ำแข็งลงบนจานอย่างระมัดระวัง ก่อนใส่ลงในซึ้งไม้ไผ่ แล้วเริ่มกระบวนการนึ่งปลา

กระบวนการนี้ใช้เวลาเกือบหนึ่งเค่อ ปู้ฟางหันไปเริ่มเตรียมน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเป็นอันดับต่อไป ชายหนุ่มคุ้นชินกับวิธีทำ เนื่องจากเตรียมอาหารจานนี้มาสองสามครั้งแล้ว การเคลื่อนไหวของเขาจึงต่อเนื่องสวยงามไร้ที่ติ

เมื่อน้ำแกงเต้าหู้หัวปลาเริ่มเดือด ปู้ฟางก็ทำข้าวผัดไข่เป็นจานต่อไป เนื่องจากเป็นจานที่ใช้เวลาทำน้อย จึงเสร็จอย่างรวดเร็ว

โอวหยางเสี่ยวอี้ใช้วิธีอุดจมูกสุดแปลกของนางในการเอาอาหารออกไปให้ลูกค้าอีกครั้ง มุมปากของปู้ฟางกว้างออกแต่ไม่เป็นรอยยิ้ม ในตอนนั้นเองที่กลิ่นหอมหวนลอยล่องออกจากซึ้งไม้ไผ่ กลิ่นชวนฝันนี้เป็นกลิ่นปลาเคล้ากลิ่นสุรา

เมื่อจีเฉิงเสวี่ยได้กลิ่นที่ลอยออกจากห้องครัว ดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นทันที เนื่องจากจอมยุทธ์ย่อมชอบร่ำสุราโดยธรรมชาติ เพียงได้กลิ่นหอมเข้มนี้ องค์ชายสามก็รู้แล้วว่าสุราดังกล่าวเป็นสุราชั้นเลิศ เขาเริ่มน้ำลายสอด้วยความอยากอาหาร จิตใจจดจ่ออยู่กับช่วงเวลาที่ตนเองจะได้กิน

เมื่อครบเวลาที่กำหนด ปู้ฟางก็เปิดฝาซึ้งไม้ไผ่ ไอน้ำพุ่งออกจากซึ้งลอยขึ้นสู่เบื้องบน กลิ่นของไอน้ำนั้นสดชื่นและหอมอ่อนๆ น้ำที่ใช้นึ่งเต็มไปด้วยพลังชีวิต เป็นน้ำที่นำมาจากทะเลสาบมังกร อันเป็นถิ่นที่อยู่ของเป็ดอสูรเวทระดับเจ็ด ที่อาศัยอยู่ ณ เทือกเขาน้ำพุมังกร

ปู้ฟางหยิบปลาดองเหล้าออกมาวางบนโต๊ะในห้องครัว

หลังผ่านกระบวนการหมักและนึ่งเรียบร้อย หนังสีฟ้าของปลาทะเลน้ำแข็งก็เปลี่ยนเป็นสีแดงอมชมพูระเรื่อ หนังนั้นสว่างใสเหมือนหยก ดูราวกับกำลังส่องประกายสุกสกาว ธัญพืชหมักเหล้าทะลักออกจากรอยผ่าที่ท้องปลา น้ำขลุกขลิกจากกระบวนการนึ่งนั้นข้นและดูกลมกล่อม เนื้อปลาที่บั้งเอาไว้เปิดกว้างเพราะการนึ่ง เผยให้เห็นมันระยิบระยับที่ไหลออกจากเนื้อปลา

ปู้ฟางเองยังยืนกลืนน้ำลาย ใบหน้าแดงเรื่อจากกลิ่นสุราหอมหวน

ชายหนุ่มไม่ได้ให้โอวหยางเสี่ยวอี้นำอาหารจานนี้ออกไปให้ลูกค้า เนื่องจากเป็นอาหารรายการใหม่ เขาจึงอยากนำมาให้ด้วยตนเอง

ขณะที่ชายหนุ่มเดินออกจากครัว กลิ่นสุราหอมรัญจวนก็แผ่ซ่านออกจากปลาดองเหล้าเข้าปกคลุมไปทั่วร้าน

……………………………………..