ตอนที่ 21 ขโมยนาฬิการาคาห้าล้านหยวน

เขยที่โดนทิ้ง (แท้จริงแล้วเป็นประธานบริษัท!?)

พอฉินหงเหยียนสูบบุหรี่เสร็จก็ชันตัวลุกขึ้น แล้วบอกลาคนตระกูลหวัง

“คุณนายหวัง ท่านผู้บริหารทั้งสอง ที่บริษัทยังมีงานต้องสะสาง หงเหยียนขอตัวก่อนนะคะ”

พวกคุณนายหวังก็มาส่งเจ้าหล่อนที่ประตู

“คุณฉินคะ เรื่องร่วมลงทุนคงต้องรบกวนคุณฉินแล้ว”

คุณนายหวังกล่าวพลางจับมือฉินหงเหยียน

ฉินหงเหียนตอบรับเสียงสดใส “วางใจเถอะค่ะ”

เมื่อเห็นฉินหงเหยียนเดินไปแล้ว จงเหว่ยก็กล่าวต่อ “คุณนายหวัง คุณหวังผมเองก็ต้องไปแล้ว”

เมื่อแขกคนอื่นเห็นตระกูลหวังเกิดเรื่อง มิหนำซ้ำเจ้าของกำไลก็ยังไม่ยอมปรากฏตัวสักทีจึงต่างเริ่มทยอยบอกลา

และแล้วในงานจึงเหลือเพียงแค่คนตระกูลหวังอย่างรวดเร็ว

คุณนายหวังมองซูหลานแล้วเอ่ยถาม “เจียเหยาบอกว่ายังไง? ทำไมพอหย่ากันเสร็จถึงจับได้ว่าเขาขโมยของ?”

ก่อนแต่งงานเย่เฉินกับเจียเหยาได้ทำข้อตกลงเอาไว้ว่าทรัพย์สินของทั้งสองฝ่ายจะไม่เกี่ยวข้องกัน ตอนหย่าเย่เฉินจะไม่ได้เงินของตระกูลหวังแม้แต่สตางค์แดงเดียว

แต่ในตอนที่หย่า หวังเจียเหยากลับเอาเงินที่เย่เฉินได้มาจากการส่งอาหารไปหมด

ซูหลานตอบว่า “เจียเหยาบอกว่าเย่เฉินไปจองห้องเพรสซิเด้นท์สวีทของโรงแรมที่ซีจื่อหูไว้หนึ่งสัปดาห์ ใช้เงินไปเกือบหกแสนหยวน เลยเดาว่าเขาน่าจะขโมยของๆ คุณแม่ไป”

คุณนายหวังลนลานเล็กน้อย เพราะพุดเดิ้ลที่ตนเองรักนั้นชอบเย่เฉินมาก ตลอดสามปีที่ผ่านมาจึงมักเรียกเย่เฉินไปที่บ้านเพื่อเล่นกับสัตว์เลี้ยงของตนเอง

เย่เฉินมีโอกาสจะขโมยของในบ้านแน่!

คุณนายหวังรีบกล่าว “กลับบ้านเดี๋ยวนี้!”

แต่หวังหยวนหยวนกลับดึงคุณนายหวัง “คุณย่า อย่าเพิ่งรีบไปสิคะ ไม่แน่ว่าอีกเดี๋ยวคนที่ตามจีบหนูเขาอาจจะมาถึงก็ได้!”

แม่สาวหุ่นร้อนแรงคนนี้ยังจินตนาการถึงคนที่ตามจีบตัวเอง ชายที่มอบกำไลให้คุณย่า

คุณนายหวังครุ่นคิดแล้วกล่าว “ซ่าวเจี๋ย จื้อหย่วน ซูหลานพวกแกไปบ้านฉัน ไปดูว่ามีของอะไรหายไปหรือเปล่า จื้อเฉียง ซู่ซิน หยวนหยวน พวกแกอยู่กับฉันที่นี่รอต่ออีกหน่อย”

“ครับ/ค่ะ!”

หวังซ่าวเจี๋ยขับรถพาหวังจื้อหย่วนและซูหลานกลับไปที่วิลล่าเขตซีซานอย่างรวดเร็ว

สิ่งของราคาแพงของคุณนายหวังนั้นเก็บไว้สองห้อง ห้องแรกเก็บพวกเครื่องประดับ เหล้าและนาฬิกา ส่วนอีกห้องเก็บพวกของโบราณ รูปวาดต่างๆ

ถึงจะมีจำนวนเยอะแต่ทุกชิ้นก็ถูกจดบันทึกอย่างละเอียด

พอมาถึงห้องใต้ดิน หวังซ่าวเจี๋ยก็กล่าว “คุณอาครับ เราแบ่งกันตรวจสอบเถอะครับ พวกอาเช็คที่ห้องของเก่า เดี๋ยวผมเช็คห้องนี้เอง”

“ได้” หวังจื้อหย่วนและซูหลานหยิบสมุดเล่มเล็กๆ ขึ้นมาแล้วเดินไปที่ห้องเก็บของเก่าแล้วตรวจสอบทีละรายการ

ส่วนตัวหวังซ่าวเจี๋ยเองก็หยิบสมุดบันทีกไปที่อีกห้องเช่นเดียวกัน

ยี่สิบนาทีต่อมา หวังซ่าวเจี๋ยก็ตรวจเช็คเรียบร้อยจึงได้พบว่าของในห้องไม่ได้มีอะไรหายไปแม้แต่ชิ้นเดียว

ในเวลานี้เองหวังจื้อหย่วนก็เช็คเสร็จพอดี เขาเดินมาแล้วถาม

“ซ่าวเจี๋ย ฝั่งนี้ไม่มีอะไรหาย แล้วของหลานล่ะมีอะไรหายไหม?”

หวังซ่าวเจี๋ยนิ่งไป ถ้าในห้องของเก่า รูปวาดนั่นไม่ได้มีอะไรหายไป ห้องนี้ก็ไม่ได้มีอะไรหายไปเหมือนกัน

นั่นก็แปลว่าบ้านของคุณย่าไม่มีของหาย!

ซึ่งแปลว่าเย่เฉินไม่ได้ขโมยของของที่บ้าน

แต่พอคิดถึงเรื่องที่ตนเองโดนเย่เฉินซ้อมตั้งสองรอบ เขาก็ไม่อยากให้อีกฝ่ายพ้นข้อกล่าวหาแบบนี้

บวกกับที่ช่วงนี้หวังซ่าวเจี๋ยร้อนเงินจึงกะจะฉวยโอกาสนี้หาเงินสักหน่อย

หวังซ่าวเจี๋ยกล่าวว่า “อ้อ ผมยังหาไม่เสร็จ พวกอาช่วยตรวจอีกรอบหน่อยสิครับ เผื่อมีอะไรหลุดลอดสายตาไป”

หวังจื้อหย่วนพยักหน้า “ได้ งั้นเดี๋ยวอากลับไปตรวจอีกรอบ”

เห็นหวังจื้อหย่วนเดินออกมาจากห้อง ใบหน้าหวังซ่าวเจี๋ยก็เผยยิ้มออกมา

เขาปิดประตูแล้วแอบหยิบนาฬิการิชาร์ด มิลล์เรือนหนึ่งไว้ในมือ

“นี่เป็นนาฬิกาที่คุณปู่ใส่ตอนยังมีชีวิตอยู่”

นาฬิกาเรือนนี้มีเพียงแค่ 48 เรือนทั่วโลก ราคามากกว่าห้าล้านหยวน!

“เย่เฉินตั้งแต่นี้เป็นต้นไป นายก็คือหัวขโมยที่ขโมยนาฬิกาเรือนนี้ ฮ่าๆ”

หวังซ่าวเจี๋ยซุกนาฬิการิชาร์ด มิลล์ใส่ในกระเป๋าเสื้อ

ผ่านไปสองนาที หวังซ่าวเจี๋ยก็รีบร้อนวิ่งไปยังห้องที่หวังจื้อหย่วนและซูหลานอยู่แล้วกล่าวอย่างร้อนรน

“ที่ห้องผมนาฬิกาหายไปเรือนหนึ่งครับ!”

หวังจื้อหย่วนกับซูหลานรับไปตรวจซ้ำอีกรอบ ก็พบว่านาฬิกาเรือนละห้าล้านหายไปจริงๆ!

ซูหลานหล่าวอย่างโกรธเกรี้ยว “มิน่าคนเส็งเคร็งอย่างนั้นถึงได้เช่าห้องเพรสซิเด้นท์สวีทที่โรมแรมตรงซีจื่อหูได้ เดียรัจฉานเอ้ย!”

ในเวลานี้เองหวังจื้อหย่วนก็โทรศัพท์หาคุณนายหวัง “แม่ครับ เจอแล้ว นาฬิการิชาร์ด มิลล์ที่พ่อใส่ตอนยังอยู่โดนขโมยไปครับ!”

คุณนายหวังโกรธจนเกือบทำงานมงคลกลายเป็นงานอวมงคล “ไปจับมันมาเร็วๆ ฉันจะตัดมือมัน!”

หวังจื้อหย่วนวางสายแล้วกล่าวกับหวังซ่าวเจี๋ย “ซ่าวเจี๋ย คุณย่าบอกให้พวกเราจับเย่เฉินกลับไป”

ทันทีที่หวังซ่าวเจี๋ยได้ยินว่าจะให้ไปหาเย่เฉินก็ใจฝ่อลงทันที “ไม่…ไม่แจ้งตำรวจเหรอครับ?”

หวังจื้อหย่วนกล่าวว่า “แกก็รู้ ย่าแกไม่ชอบยุ่งกับพวกตำรวจ”

ในทันใดนั้นเองหวังซ่าวเจี๋ยก็รีบทำท่าทางเจ็บปวดพลางกุมบาดแผลบนใบหน้าแล้วกล่าว “โอ้ย แผลผมเจ็บมากเลย ผมต้องไปหาหมอที่โรงพยาบาลสักหน่อย อาครับอาไปก่อนแล้วเดี๋ยวผมตามไป”

พอพูดจบหวังซ่าวเจี๋ยก็ชิงหนีไป