บทที่ 31 ใส่ร้ายหน้าด้าน ๆ

ทะลุมิติไปเป็นแม่ม่ายสาวชาวสวน

บทที่ 31 ใส่ร้ายหน้าด้าน ๆ

“ในเมื่อท่านย่ามีเงินแค่ 8 เหรียญ แล้วท่านจะมีเงินให้ข้าขโมยได้อย่างไรเจ้าคะ?” จางซิ่วเอ๋อถามกลับ

อาจฟังดูเหมือนจางซิ่วเอ๋อพูดเรื่องขโมยเงิน แต่ถ้าฟังดี ๆ ทุกคนก็จะรู้ว่าปกติแม่เฒ่าจางทำไม่ดีกับแม่โจวไว้มาก

ที่จริงเรื่องที่แม่เฒ่าจางทำไม่ดีกับแม่โจวนั้นทุกคนพอจะทราบอยู่บ้าง แต่มันก็เป็นเรื่องในรั้วบ้านคนอื่น บวกกับแม่โจวไม่ใช่คนปากสว่าง ทั้งขี้กลัวและอ่อนแอ จึงไม่เคยพูดเรื่องนี้กับคนอื่น

ทุกคนก็แค่ฟังต่อ ๆ กันมา ไม่มั่นใจนัก

พอได้ยินที่จางซิ่วเอ๋อพูดในตอนนี้ สายตาที่ทุกคนมองแม่เฒ่าจางก็กลายเป็นดูแคลนขึ้นมา

ถึงแม้แม่โจวจะไม่มีลูกชาย แต่เวลาทำงานก็ไม่มีพละกำลังด้อยไปกว่าคนงานคนไหนเลย ใน 1 ปีอย่างไรก็หาเงินเข้าบ้านได้ 2 ตำลึงเงิน แต่แม่เฒ่าจางกลับไม่คิดจะเสียเงินแค่ไม่กี่เหรียญให้

ขี้งกจริง ๆ ใจร้ายยิ่งนัก!

แม่เฒ่าจางถูกคนอื่นมองจนเริ่มร้อนตัว นางพลันเถียงข้าง ๆ คู ๆ “เงินข้าหายตั้งแต่ก่อนที่แม่เจ้าจะป่วยเสียอีก!”

ถึงแม้แม่เฒ่าจางจะรู้สึกว่าจางซิ่วเอ๋อไม่เหมือนเมื่อก่อนตรงที่นางถึงกับกล้าเถียงตน แต่ก็ยังไม่กลัวจางซิ่วเอ๋ออยู่ดี

คงจะเป็นเพราะที่ผ่านมารังแกดรุณีน้อยจนชิน เวลานี้จึงคิดจะข่มจางซิ่วเอ๋อไว้เหมือนก่อน

“ข้าลำบากแทบแย่กว่าจะเลี้ยงเจ้าจนเติบใหญ่ ไม่ได้ทิ้งเจ้าเพราะเห็นเป็นตัวขาดทุน คิดไม่ถึงว่านอกจากเจ้าจะไม่รู้จักทดแทนบุญคุณแล้ว กลับขโมยเงินที่ได้มาด้วยความยากลำบากของที่บ้านอีก!” แม่เฒ่าจางพูดอย่างโมโห

“เลี้ยงข้าจนโตด้วยความลำบากเหรอ? ข้าตื่นเช้ากว่าไก่ นอนดึกกว่าหมา อยู่เป็นวัวเป็นควายให้บ้านนี้มาตั้งนาน ข้าก็ยอมทุกอย่าง เพราะอย่างไรเสียข้าก็เป็นคนตระกูลจางคนหนึ่ง” จางซิ่วเอ๋อเอ่ยเสียงเย็น และทำหน้าจริงจังขณะเอ่ยต่อ “แต่ท่านย่าจะมาใส่ร้ายข้าแบบนี้ไม่ได้ ท่านเป็นย่าข้า ข้าเคารพท่าน แต่ข้าจะไม่ยอมชื่อเสียงป่นปี้กับเรื่องนี้แน่ หลังจากชุนเถาหายดีแล้วก็จะต้องแต่งงานกับผู้อื่น! ดังนั้นเรื่องนี้เราต้องพูดกันให้รู้เรื่อง!”

หากปะทะกับแม่เฒ่าจางตรง ๆ ในยุคสมัยที่ให้ความสำคัญกับการกตัญญูล่ะก็ นางคงไม่จบดีแน่

แต่ถ้าพูดว่าทำไปเพื่อน้องสาว ถึงได้มาปะทะถกเถียงเรื่องพวกนี้กับแม่เฒ่าจาง ก็ถือว่ายังพอเข้าใจได้อยู่

“อย่างนั้นท่านย่าจงบอกมาสิ ว่าข้าเอาเหรียญจากบ้านไปเท่าไหร่” จางซิ่วเอ๋อถามเสียงดัง

“เรื่องนั้น….” แม่เฒ่าจางชะงัก นางพูดมั่วมาตั้งแต่แรก จะไปรู้จำนวนแน่ชัดได้อย่างไร?

“ท่านย่า หากว่าตามที่ท่านพูดแล้ว บ้านเราจนขนาดนั้น ท่านมีเงินอยู่กี่เหรียญก็ย่อมต้องรู้จำนวนที่แน่ชัดไม่ใช่หรือ?” จางซิ่วเอ๋อถามกลับ

แม่เฒ่าจางลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ตอนแรกนางกะจะบอกว่ามีแค่ไม่กี่สิบเหรียญ แต่ตอนนี้กลับมีความคิดใหม่ในใจ นางกลอกตาไปมาก่อนจะเอ่ยขึ้น “บ้านเราหายไปทั้งหมด 500 เหรียญ ครึ่งตำลึงเงินเลยนะ!”

จางซิ่วเอ๋อมองแม่เฒ่าจางด้วยรอยยิ้มจาง ๆ “ท่านย่าจะบอกว่าข้าเอาเงินไปครึ่งตำลึงเงินหรือ?”

แม่เฒ่าจางทำใจแข็ง “มันไม่ใช่แค่ครึ่งตำลึงเงินนะ มันเป็นเงินสินเดิมจากคนในหมู่บ้านและเพื่อนบ้านเมื่อครั้งงานวิวาห์ของเจ้า”

ที่จริงแล้วแม่เฒ่าจางยังมีเงินตำลึงจากที่อื่นอีก แต่จะเปิดเผยที่มาไม่ได้ จึงต้องเอาเงินเหล่านี้มาอ้าง

ตอนแรกทุกคนก็มุงดูด้วยความนึกสนุก พอได้ยินแม่เฒ่าจางพูดถึงเงินค่าสินเดิม ทุกคนก็เริ่มไม่พอใจ บางคนถึงกับอารมณ์ขึ้น

ตามปกติแล้วไม่ว่าบ้านไหนแต่งลูกสาว พวกเขาก็ไม่ให้ค่าสินเดิมมากขนาดนี้หรอก

แต่ตอนจางซิ่วเอ๋อแต่งงาน แม่เฒ่าจางก็ได้ประกาศไปทั่วหมู่บ้านแต่เนิ่น ๆ ว่าจางซิ่วเอ๋อจะได้เป็นฮูหยินน้อยที่บ้านตระกูลเนี่ยเจ้าของที่ พวกเขาจำนวนไม่น้อยต่างทำนาบนที่ของตระกูลเนี่ย ต่อให้คนที่ไม่ได้ทำนาบนที่ของตระกูลเนี่ยก็ไม่อยากมีเรื่องกับตระกูลจาง

ถ้าวันหน้าแม่เฒ่าจางแอบอ้างบารมีแล้วมาหาเรื่องพวกเขาจะทำอย่างไร?

ดังนั้นตอนที่ทุกคนใส่ซองให้ตระกูลจางก็ถือว่ายอมขูดรีดเลือดเนื้อตนมาให้

ให้เสียเงินใครจะพอใจ? ที่น่าโมโหที่สุดคือเสียเงินไปมากขนาดนี้ พอมาถึงตระกูลจางกลับไม่ได้กินข้าวดี ๆ สักมื้อ

ถ้าตระกูลจางยังดองกับตระกูลเนี่ยเจ้าของที่อยู่พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไร แต่ตอนนี้ตระกูลจางกับตระกูลเนี่ยนอกจากจะไม่ได้ดองกันแล้ว ยังมีความแค้นต่อกันอีก

ด้วยสถานการณ์แบบนี้ ใครจะไว้หน้าแม่เฒ่าจาง

ตอนนี้ไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายผิดฝ่ายถูก ทุกคนก็มองแม่เฒ่าจางด้วยความเกลียดชังแล้ว

แม่เฒ่าจางไม่รอให้จางซิ่วเอ๋อพูดอะไรก็ชิงพูดขึ้นก่อน “ข้ารู้ว่าชีวิตเจ้าลำบาก เงินตำลึงนี่เจ้าเอาไปแล้วข้าก็คงเอาคืนมาไม่ได้ เจ้าไปย้ายทะเบียนกลับเข้าบ้านเราเสีย แล้วเรื่องนี้เราหายกัน”

จางซิ่วเอ๋อได้ยินถึงตรงนี้ก็มองแม่เฒ่าจางอย่างเย้ยหยัน แล้วเอ่ยด้วยท่าทางจริงจัง “ท่านย่า นี่ท่านอยากให้ข้ากลับตระกูลจาง เพื่อจะได้ขายข้าอีกรอบใช่หรือไม่? ครึ่งตำลึงเงินไม่ใช่เงินน้อย ๆ นะ นี่ถ้าฟ้องศาลก็เพียงพอจะให้ท่านผิดในข้อหาใส่ร้ายป้ายสีได้เลย”

แม่เฒ่าจางได้ยินก็ด่าต่อ “เจ้าเอาเงินตำลึงที่บ้านไปแล้วยังกล้าไปฟ้องข้าที่ศาลอีก มันจะมากเกินไปแล้วนะ!”

จางซิ่วเอ๋อกวาดตามองแม่เฒ่าจาง “ท่านเห็นกับตาหรือว่าข้าเอาเงินตำลึงไป?”

“ข้า….” แม่เฒ่าจางอยากจะพูดว่าเห็น

จางซิ่วเอ๋อเห็นแล้วก็เอ่ยด้วยรอยยิ้มที่ไม่ใช่ยิ้ม “หากท่านย่าเห็นว่าข้าเอาเงินตำลึงไป ทำไมท่านไม่ห้ามล่ะ? ท่านย่า เวลาจะพูดอะไรท่านต้องระวังนะ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าเป็นการใส่ร้าย!”

“ข้าไม่สน อย่างไรซะเจ้าก็ยากจนขนาดนั้น ไม่มีทางมีเงินตำลึงไปซื้อของหรอก ถ้าไม่ได้เอาของที่บ้านไปแล้วจะไปเอามาจากไหน?” แม่เฒ่าจางไม่ยอม

จางซิ่วเอ๋อหัวเราะขบขัน กวาดตามองผู้คนที่มุงอยู่รอบ ๆ ก่อนจะเอ่ย “ถ้ามีคนเห็นพวกท่านซื้อของ แต่รู้สึกว่าพวกท่านยากจน ไม่น่าจะมีเงินตำลึง แบบนั้นจะไม่ได้หมายความว่าเงินตำลึงที่พวกท่านใช้อยู่คือเงินที่ขโมยไปจากนางหรือ? วันหลังทุกคนระวังให้ดีนะ ถ้าซื้ออะไรแพง ๆ มาต้องหลบย่าข้าเสียหน่อย นี่ของข้าแค่ซาลาเปา 3 ลูกก็โดนกล่าวหาเสียขนาดนี้ ถ้าเป็นคนอื่นล่ะ….”

ทุกคนมองแม่เฒ่าจางอย่างดูถูก หญิงชราก็เป็นคนเช่นนี้จริง ๆ ถ้าไม่ระวังเผลอตัวไปข้องแวะเข้าก็จะซวยไปหมด

“ทุกคนอาจจะสงสัยว่าเงินตำลึงนี่มาจากไหน ข้าบอกความจริงเลยแล้วกัน ตอนข้าไปขุดหาผักบนเขาก็ได้ไปเจอยาสมุนไพรมีค่าเข้า เลยขายได้เงินตำลึงมานิดหน่อย เรื่องนี้เถ้าแก่โรงยาหุยชุนเป็นพยานได้” จางซิ่วเอ๋อพูดต่อ

สำหรับทุกคน โรงยาหุยชุนเป็นสถานที่ที่ชื่อเสียงลือชานัก

จางซิ่วเอ๋อกล่าวอ้างเถ้าแก่โรงยาหุยชุนออกมาเช่นนี้ ทุกคนจึงเชื่อว่าสิ่งที่นางพูดเป็นความจริง

เมื่อแม่เฒ่าจางเห็นว่าจางซิ่วเอ๋อบอกที่มาของเงินตำลึงได้ แถมยังเป็นที่มาที่กระจ่างชัดแจ้งแล้ว จึงมีสีหน้าหงอยลงไป

“ต่อให้เจ้าขายยาได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าเจ้าไม่ได้เอาเงินตำลึงที่บ้านไป” แม่เฒ่าจางแถต่อ

……………………………………