ตอนที่ 22 พี่คงไม่ใช่หวั่นไหวแล้วหรอกนะ
“งานวางแผน พรุ่งนี้เช้าตรู่ ตรงต่อเวลาด้วย”
“ค่ะ ประธานจิ่ง” อันโหรวที่กำลังจะออกไปเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ให้ความเคารพ
จิ่งเป่ยเฉินไม่ได้เอ่ยอะไรขึ้นมาอีก ทำเพียงแค่มองเธอด้วยสายตาที่เยือกเย็น ก่อนที่จะเข้าไปในห้องของตัวเอง
เมื่อประตูถูกปิดลง ร่างของใครคนหนึ่งก็ได้หายไป ซึ่งนั่นทำให้เธอค่อนข้างรู้สึกโล่งใจเป็นอย่างมาก
“แม่จ๋า แม่กลัวคุณลุงอย่างนั้นเหรอ?”
เพื่อป้องกันไม่ให้ลูกสาวติดกับเขามากเกินไป อันโหรวจึงเอ่ยออกมาว่า “แม่กลัวเขานะ เขาดุมาก หน่วนหน่วนอย่าเข้าไปใกล้เขามากนะ”
“แต่ว่า…..”
“หน่วนหน่วน ฟังที่แม่บอกด้วย” หลังจากที่พูดจบ เธอก็จูงมือลูกสาวของตัวเองออกไปจากห้อง ก่อนจะรีบเดินไปที่ลิฟต์อย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ลิฟต์ปิดลง ประตูภายในห้องก็ถูกเปิดออกมาอีกครั้ง จิ่งเป่ยเฉินยืนพิงอยู่ที่หน้าประตู สีหน้าและแววตาของเขาช่างอธิบายได้ยาก
เขาดุมากงั้นเหรอ? นี่เธอกลัวเขา?
เมื่อคิดมาถึงตรงนี้ เขาก็ขมวดคิ้วขึ้น ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาและกดโทรออก
ฉีเซิ่งเทียนแทบจะโดดขึ้นมาทันทีที่เห็นสายของเขาโทรมา
“ดึกดื่นแบบนี้ไม่ใช่ว่าพี่อยู่กับผู้หญิงขี้เหร่คนนั้นหรอกเหรอ….อะ ไม่นะ คุณหนูอัน…..” ยังไม่ทันได้พูดจบ เขาก็หยุดชะงักไปก่อน
“พรุ่งนี้ส่งข้อมูลของอันอีหานมาให้หน่อย พรุ่งนี้เช้าก่อนเจ็ดโมง ฉันต้องได้รับอีเมล”
“เธอมีลูกสองคน อยู่อังกฤษมาห้าปี เป็นผู้อำนวยการแผนก TE ทำไมกันเหรอ? มีปัญหางั้นเหรอ?”
ดวงตาของจิ่งเป่ยเฉินพลันมืดลง “นายรู้ได้ยังไงว่าเขามีลูกสองคน?”
ฉีเซิ่งเทียนหัวใจพลันเต้นรุนแรงอย่างกะทันหัน น้ำเสียงของพี่เฉินพลันเปลี่ยนเป็นน้ำเสียงที่จริงจัง “พี่ชาย พี่คงไม่ใช่ว่าหวั่นไหวเพราะดวงตาที่คล้ายกันหรอกนะ ถึงแม้ว่าเธอจะมีดวงตาที่คล้ายกัน แต่ก็คงไม่…”
ก่อนที่เขาจะพูดจบ จิ่งเป่ยเฉินก็เอ่ยขัดเสียก่อนด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจ “ให้นายไปตรวจสอบ ไม่ต้องพูดไร้สาระ”
ฉีเซิ่งเทียนถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เขารู้ว่าตอนนี้จิ่งเป่ยเฉินนั้นอารมณ์ไม่ค่อยดี “รายละเอียดของเธอนั้น พรุ่งนี้เช้าผมจะส่งไปให้ในอีเมลแน่นอน”
ในช่วงขณะนั้นเอง อันโหรวไม่รู้ตัวเลยว่ากำลังตกเป็นผู้ต้องสงสัยของใครบางคนอยู่
เธอพาลูกสาวออกมาจากลิฟต์ ก่อนจะเหลือบเห็นอันหยางและหลินจือเซี๋ยว
ดวงตาของลูกชายเธอนั้นเต็มไปด้วยความเย็นชา และเหมือนกับว่ากำลังเหลือบมองตรวจสอบหลินจือเซี๋ยวอยู่
เมื่อเห็นแบบนั้น ดวงตาของเขาช่างดูคล้ายกับ…เขาคนนั้นมาก
“น้าหลินจือเซี๋ยว ผมอยากจะไปหาแม่ ทำไมน้าต้องมาขวางผมด้วย”
อันโหรวเห็นท่าทีแบบนี้ของลูกชายครั้งแรกก็พลันตื่นตระหนกขึ้นมาทันที
ด้วยเหตุนี้เธอจึงรีบก้าวไปข้างหน้าและเอ่ยขึ้นว่า “หยางหยาง”
เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย ดวงตาของอันหยางก็พลันเบิกกว้างเป็นประกายแห่งความสุข รีบหันหน้ามองไปยังทิศทางของเสียงนั้น หลังจากนั้นก็รีบวิ่งไปกอดแม่ของตนทันที เขากอดรัดแน่นราวกับไม่อยากปล่อยให้หายไปไหน
“แม่ครับ ถึงแม้จะไม่มีพ่อ ผมเองก็จะปกป้องแม่กับน้องสาวให้ดู”
หลินจือเซี๋ยวที่เห็นดังนั้น ดวงตาของเธอก็พลันรู้สึกร้อนราวกับน้ำตากำลังจะไหลรินออกมา แต่เธอก็ควบคุมอารมณ์ของตัวเองและห้ามไม่ให้น้ำตาไหลออกมาได้
เด็กคนนี้โตเกินวัย…อยู่ต่างประเทศไม่กี่ปี แต่กลับดูรู้สึกทุกข์ลำบากมาพอสมควร
ไม่รู้ว่าจะจัดการปัญหานี้ยังไง ถ้าหากโตขึ้นเขาคงไม่ได้เป็นแบบนั้นหรอกนะ
หลินจือเซี๋ยวแอบเช็ดขอบตาและก้าวไปข้างหน้า ก่อนจะยิ้มและพูดขึ้น “โหรวโหรว ในที่สุดก็ลงมาสักทีนะ ไม่อย่างนั้นละก็ ลูกชายของเธอกับฉันคงต้องสู้กันไปข้างแน่”
“จือเซี๋ยว โชคดีหน่อยที่หยางหยางไม่ได้ขึ้นไป แบบนั้นคงยากที่จะอธิบายแน่ ๆ”
หลินจือเซี๋ยวพลันส่งเสียงอยู่ในลำคอ “เธอต้องขอบคุณฉันก่อนสิ แต่ว่าไว้กลับไปฉันจะต้องจัดการเธอให้หนักแน่ ๆ”
อันโหรวผลักเธอเบา ๆ “รู้แล้ว พวกเรารีบกลับกันเถอะ”
เมื่อพูดจบเธอก็เอามือซ้ายจับมือลูกชาย มือขวาจับมือลูกสาว ก่อนจะก้าวเดินไปพร้อมกัน
อันหยางเหลือบมองเห็นลิฟต์ที่กลับขึ้นไปยังชั้นเดิม ชั้นที่สิบแปดนั้นต้องมีความลับอะไรอยู่แน่ ๆ แม่ของตนอยู่กับใคร ทำไมถึงไม่อยากให้ตนขึ้นไปมากขนาดนั้น?
ทันทีที่ทั้งสี่คนนั้นเดินออกจากประตูของโรงแรมนั่วเทียน ร่างของชายตัวใหญ่ก็เดินออกมา ชายคนนั้นรูปร่างดี ทั้งสูงและดูหล่อมาก ผมที่สั้น ๆ ของเขาเผยให้เห็นคิ้วที่ดกดำ ดูมีเสน่ห์เหลือล้น
“เฉิน คุณอยู่ที่นี่จริง ๆ ด้วย”
เสียงผู้หญิงที่ขี้เล่นดังขึ้นมา เธอสวมชุดสีเดรสสั้นสีแดง ผมยาวประลงมา เธอสวมแว่นกันแดดและเดินเข้ามาหาเขาด้วยรองเท้าส้นสูงที่สูงถึงสิบเซนติเมตร
“เฉิน” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยเรียกเสียงหวาน ก่อนจะยกมือเพื่อจับตัวเขา
“ออกไป” จิ่งเป่ยเฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยพอใจ
“มันยากมากเลยนะที่จะหาตัวคุณเนี่ย แม้ว่าจะมีข่าวอื้อฉาวนานพอตัว แต่เราก็ควรแถลงเรื่องความสัมพันธ์นะ” ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงเก้อเขินและก้าวเดินเข้ามาใกล้ ๆ เขา
มองจากระยะไกลทั้งสองคนนั้นคล้ายว่าสนิทสนมกันมาก
มันคล้ายจะแนบชิดกันเกินกว่าแค่เพื่อน
เพียงแต่บังเอิญมากที่ฉากเหล่านั้นอยู่ในสายตาของอันโหรวที่นั่งอยู่ในรถอย่างพอดิบพอดี