“อ้อ คุณหนูแคลร์ ข้าไม่รบกวนเจ้าแล้วดีกว่า” อูริสยิ้มและเบี่ยงตัวร่างไปด้านข้างเพื่อหลีกทางให้ 

 

 

แคลร์ทำความเคารพแล้วเดินจากไป ส่วนจินเหยียนเดินตามมาข้างหลัง 

 

 

อูริสมองแผ่นหลังของแคลร์แล้วขมวดคิ้วด้วยความอย่างสงสัย แต่เขาก็เดินจากไปโดยไม่คิดอะไรมาก 

 

 

แคลร์นั่งเงียบๆ อยู่ในห้องวีไอพี กลิ่นชาดอกไม้บนโต๊ะหอมฟุ้งไปทั่ว ส่วนจินเหยียนยืนอยู่ข้างหลังเงียบๆ ราวกับว่ากำลังคิดอะไรบางอย่าง 

 

 

“สุดสัปดาห์หน้าเป็นวันเกิดขององค์หญิงแมริส องค์ชายใหญ่เสด็จมาที่นี่เพื่อสั่งของขวัญวันเกิดให้น้องสาว” ประโยคแผ่วเบาของแคลร์คือสิ่งที่จินเหยียนกำลังคิดอยู่พอดี ในขณะเดียวกันแคลร์ก็รู้สึกไม่สบายใจ นางควรให้อะไรเป็นของขวัญวันเกิดองค์หญิงแมริสดีนะ 

 

 

หลังจากคุยเรื่องการออกแบบแหวนแล้ว นักออกแบบก็เก็บเงินมัดจำบางส่วนแล้วให้แคลร์มารับในอีกสามวันข้างหน้า จากนั้นแคลร์และจินเหยียนก็ออกจากร้าน 

 

 

เมื่อเดินมาถึงหน้าประตู แคลร์ก็นึกถึงปรมาจารย์คลิฟ อาจารย์คนที่สองที่นางตนเองเกือบจะลืมเขาไปแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาไปหาเขาสักทีแล้ว 

 

 

“ไปสภาเวทมนตร์” แคลร์บอกคนขับรถม้า 

 

 

ที่ประตูอันโอ่อ่าของสภาเวทย์มนตร์มีผู้ฝึกเวทย์เพียงสองคนเท่านั้น 

 

 

เมื่อพวกเขาเห็นแคลร์ในชุดสวยหรูเดินเข้ามา แม้ว่าใบหน้าของพวกเขาจะไม่ได้แสดงความเคารพ แต่พวกเขาก็ดูค่อนข้างสุภาพ พวกเขาอยู่ในฐานะผู้ฝึกเวทย์ ยังไม่ได้เป็นนักเวทย์อย่างแท้จริง ในฐานะศิษย์ที่มีมนต์ขลัง พวกเขาไม่ใช่ผู้วิเศษจริงๆ พวกเขาจึงไม่ได้มีท่าทีหยิ่งยโสเกินไปเมื่อพบกับคนชั้นสูงขุนนาง 

 

 

“ขอโทษครับ คุณผู้หญิงมีธุระอะไรหรือครับ? ” ผู้ฝึกเวทย์ถามอย่างสุภาพ 

 

 

“ข้ามาหาคลิฟ” แคลร์พูดเรียบๆ 

 

 

คำพูดนี้ทำให้ผู้ฝึกเวททั้งสองขมวดคิ้ว ปรมาจารย์คลิฟไม่ใช่คนที่ใครจะมาหาได้ง่ายๆ เห็นได้ชัดว่าหญิงสาวตรงหน้าเป็นเพียงคุณหนูสูงศักดิ์จากตระกูลหนึ่งเท่านั้น กลัวว่าจะมาแสดงความเคารพต่อปรมาจารย์คลิฟเพื่อตอบสนองความอยากรู้อยากเห็นของตัวนางเอง พวกเขาไม่ได้สังเกตเลยว่าหญิงสาวตรงหน้าพวกเขาเรียกชื่อของปรมาจารย์คลิฟออกมาโดยตรงอย่างไม่มีความเคารพเลยด้วยซ้ำ 

 

 

เมื่อนึกถึงสิ่งนี้ ผู้ฝึกเวทย์ทั้งสองก็แสดงสีหน้าไม่พอใจแล้วพูดออกไป “ปรมาจารย์คลิฟไม่อยู่ ออกไปข้างนอกแล้ว” 

 

 

มีหรือที่แคลร์จะไม่เข้าใจความคิดของสองคนนี้ นางจึงพูดออกไปพูดอย่างเฉยเมย “ได้เลย ถ้าเขาก็รู้ว่าพวกเจ้ากีดกันข้าออกไป พวกเจ้าจะต้องรับผลที่ตามมาเองนะ” 

 

 

ผู้ฝึกเวทย์ทั้งสองตะลึงและมองหน้ากัน พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่หญิงสาวตรงหน้าพูดดูผิดปกติ แต่ถ้านางเป็นแขกของปรมาจารย์คลิฟจริงๆ แล้วถูกพวกเขากีดกันให้ออกไป พวกเขาต้องแย่แน่ ไม่มีใครสามารถทนรับความโกรธของปรมาจารย์คลิฟได้ 

 

 

“เดี๋ยวก่อน ข้าขอเข้าไปรายงานก่อน” ในที่สุดผู้ฝึกเวทย์ที่ฉลาดกว่าก็พูดประโยคนั้นและวิ่งเข้าไป 

 

 

แคลร์ไม่พูดอะไร นางยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ 

 

 

เสียงฝีเท้าดังขึ้นข้างหลัง ดูเหมือนว่าจะมีหลายคนกำลังมา 

 

 

“เจ้ามาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? ” เสียงที่มีความรังเกียจลึกๆ ดังขึ้นด้านหลังแคลร์ 

 

 

เสียงนั้นคือเสียงของราเซีย 

 

 

แคลร์ไม่แม้แต่จะตอบ แค่นางได้ยินเสียงนี้ นางก็ไม่สนใจแล้ว 

 

 

ราเซียขมวดคิ้ว มองร่างที่คุ้นเคยที่ยืนอยู่ที่ประตูด้วยความโกรธ ในคืนนั้นคนงี่เง่าผู้นี้หลอกเรื่องท่านปู่แล้วโจมตีนาง จากนั้นนางก็ถูกกักตัวต้องเผชิญหน้ากับกำแพงเป็นเวลาหนึ่งเดือน ในช่วงเวลาที่น่าหงุดหงิดตลอดเดือนนั้น ราเซียได้คิดทบทวนอย่างแน่ชัดแล้วว่า หากแคลร์ไม่ได้ใช้วิธีไร้ยางอายเช่นนั้น นางตนเองก็จะไม่มีวันเสียท่า ความอัปยศอดสูที่แคลร์นางมอบให้นางตัวเองในวันนั้นทำให้นางตนเองมีปมในใจ มันเป็นความอัปยศอดสูที่นางต้องทนทุกข์ทรมาน และนางมันจะแก้แค้นส่งกลับคืนไปยังต้องถูกส่งกลับไปที่คนโง่ผู้นี้! ให้ยิ่งกว่าเป็นร้อยเท่าพันเท่า! 

 

 

ชายชราที่อยู่ข้างหน้าราเซีย สวมเสื้อคลุมเวทย์ตัวยาวที่มีดอกไม้สีทองเล็กๆ ตรึงอยู่ที่หน้าอกของเขา แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นจอมเวทย์ เขามีเป็นสถานะที่รองจากคลิฟ แต่มีความแตกต่างกันอย่างมากก็คือเขา คนนี้เป็นคืออาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนไรซิ่งซัน และเป็นอาสจารย์ของราเซียนาม ชื่อว่าโมซา โมชามองไปแผ่นด้านหลังของสาวผมทองที่ยืนอยู่ด้านหน้า เขาก็รู้เลยว่านั่นคือแคลร์ ผู้เป็นพี่สาวของราเซีย เขาไม่ได้มีความรู้สึกดีกับแคลร์เลย เพราะเขาเคยได้ยินเรื่องไร้สาระของนางมานานแล้ว จากปากของราเซียผู้เป็นศิษย์ของเขามานานแล้ว 

 

 

ชายหนุ่มสองคนที่ตามหลังราเซียมา คือรุ่นพี่ของราเซีย ทุกคนมองแคลร์ด้วยสายตาที่ไร้ความปรานี 

 

 

เมื่อเห็นว่าแคลร์ไม่สนใจนาง ราเซียจึงคิดจะโจมตี แต่นางก็คิดได้ว่าที่นี่คือสภาเวทมนตร์ ท่านอาจารย์ก็อยู่ตรงนี้ด้วย สุดท้ายจึงต้องอดกลั้นเอาไว้ จากนั้นนางหันมองจินเหยียนแล้วถามอย่างเย็นชา “จินเหยียน พวกเจ้ามาทำอะไรที่นี่? “ 

 

 

“คุณหนูรอง พวกเรามาหาปรมาจารย์คลิฟครับ” จินเหยียนตอบเรียบๆ 

 

 

“อะไรนะ? ” ราเซียแทบจะหัวเราะเมื่อได้ยินคำตอบ นังพี่สาวโง่ผู้นี้อยากเจอปรมาจารย์คลิฟงั้นหรือ? ตลกสิ้นดีเลย ฮ่าๆ ปรมาจารย์คลิฟใช่คนที่พี่สาวงี่เง่าจะมาพบเมื่อไหร่ก็ได้หรือ? พวกเขาขอร้องอาจารย์ของพวกเขามานานแล้ว อาจารย์ก็สัญญาว่าจะพาพวกเขาไปพบอปรมาจารย์คลิฟ หวังว่าปรมาจารย์คลิฟจะสามารถให้คำแนะนำพวกเขาได้ 

 

 

ประกายแปลกฉายในแววตาของจินเหยียนฉายแววแปลกประหลาด แล้วไม่นานก็หายวับไป ดูเหมือนจะเป็นการเยาะเย้ยแต่ก็ไม่ชัดเจนนัก 

 

 

“เจ้า… เจ้าเองก็อยากพบท่านปรมาจารย์คลิฟเหมือนกันหรือ ช่างเพ้อฝันจริงๆ ” ราเซียพูดด้วยเสียงเยาะเย้ย ชายสองคนที่อยู่ข้างหลังราเซียก็แสดงสีหน้าเย้ยหยันเช่นกัน ความหมายของพวกเขาชัดเจนมาก แคลร์ผู้โง่เขลาต้องการพบปรมาจารย์คลิฟ นี่เป็นเรื่องเลวร้ายยิ่งกว่าคางคกที่อยากกินเนื้อหงส์เสียอีก 

 

 

แคลร์ยังคงเงียบและไม่สนใจคำถากถางของราเซีย หรือไม่ได้สนใจอาจารย์ใหญ่ที่อยู่ข้างๆ ราเซียเลย บางทีนักเรียนคนอื่นๆ อาจจะแสดงความเคารพเมื่อพบอาจารย์ใหญ่ข้างนอก แต่แคลร์ไม่มีความเคารพต่อเขาทั้งสิ้นอาจารย์ใหญ่ เพียงเพราะเขาเป็นหัวหน้าของอาจารย์ที่สอนแค่ผู้บังคับบัญชาที่สอนวิชาพื้นฐานเท่านั้น แคลร์เคารพอาจารย์ร์ที่สอนความรู้พื้นฐานให้นางแคลร์ แต่สำหรับอาจารย์ใหญ่ผู้นี้ แคลร์กลับไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นเลย 

 

 

จินเหยียนก็เงียบเช่นกัน เขาไม่ได้บอกว่าปรมาจารย์คลิฟรับแคลร์เป็นศิษย์แล้ว 

 

 

โมซากระแอมเบาๆ “เอาล่ะ ราเซีย เข้าไปกันเถอะ” 

 

 

“ค่ะ ท่านอาจารย์” ราเซียเข้าใจดีว่าจุดประสงค์ของการมาครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเยาะเย้ยคนงี่เง่า นางยังมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้นที่ต้องทำ ครั้งต่อไปค่อยหาโอกาสที่เหมาะสมในการจัดการพี่สาวงี่เง่าผู้นี้ 

 

 

ทันใดนั้นเวลานี้ โมซชาเห็นกำไลบนมือของแคลร์ก็ร้องอุทานขึ้นมา “กำไลเคลื่อนย้าย! ” แน่นอนว่าเขารู้จักกำไลนั้นดี คลิฟเป็นผู้สร้างมันขึ้นมาโดยใช้ทั้งเวลาและความพยายามอย่างมาก กำไลนี้มันเป็นสิ่งที่มีค่า เวทย์เคลื่อนย้ายเป็นคาถาขั้นสูง แต่การจะฝึกฝนคาถานี้ไม่ใช่เรื่องยากที่จะฝึกฝนหากพลังของบุคคลนั้นๆ อยู่ในถึงระดับนั้นหนึ่งแล้ว สิ่งที่ยากคือการแต่มันค่อนข้างยากที่จะรวบรวมคาถาขั้นสูงนี้ไปยังไว้ที่วัตถุเวทย์ แต่ของล้ำค่าเช่นนี้กลับสวมอยู่บนมือของหญิงสาวผู้นั้น! 

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านว่าอะไรนะคะ? ” ราเซียก็รู้สึกประหลาดใจ เพราะยากมากที่จะเห็นอาาจารย์แสดงท่าทางเช่นนี้ 

 

 

โมซาไม่ตอบคำถามของราเซีย แต่มองไปที่แคลร์แล้วถามอย่างระมัดระวัง “แคลร์ กำไลข้อมือของเจ้าได้มาจากไหนหรือ? “ 

 

 

“มีคนคนอื่นให้มา” แคลร์ตอบอย่างเฉยเมย เธอตอบเพียงนั่นเป็นเพราะเห็นแก่ว่าเขาที่เป็นอาจารย์ใหญ่ของโรงเรียนเท่านั้นจึงตอบ 

 

 

“เป็นไปไม่ได้! นี่นั่นคือสมบัติล้ำค่าของท่านอาจารย์! ” โมซาตกใจ แต่ถ้าเขาไม่ได้ให้แล้วสิ่งนั้นจะมาได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้ที่อาจารย์จะยอมเสียของล้ำค่าให้แคลร์ไป 

 

 

“อะไรนะ! ” ราเซียอุทาน ศิษย์อีกสองคนของโมซาก็ประหลาดใจเช่นกัน 

 

 

“นั่นคือสิ่งที่เจ้าขโมยมาใช่ไหม! ” ราเซียร้องออกมาด้วยความโกรธ “แคลร์ เจ้าหัวขโมยหน้าด้าน! เจ้าทำให้ตระกูลฮิลล์ขายหน้ามากเกินไปแล้วนะ……” ราเซียเกลียดแคลร์จนเสียสติและโพล่งคำพูดอย่างที่ไม่คิดออกมา จินเหยียนเลิกคิ้วและมองนางนิ่งๆ ทำไมเขาถึงไม่สังเกตมาก่อนเลยว่าคุณหนูรองที่เหมือนนางฟ้าผู้นี้ไร้มารยาทได้ขนาดนี้ 

 

 

“เจ้าโง่หรือไง? ” แคลร์พูดอย่างเรียบๆ “มันจะมีกี่คนในโลกนี้กันที่สามารถขโมยของจากจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ได้” 

 

 

ทันทีที่ประโยคนี้หลุดออกมา ไปราเซียก็อ้าปากค้าง 

 

 

ใบหน้าของโมซาดูจริงจัง ศิษย์สองคนต่างก็ตกตะลึง 

 

 

เมื่อทุกคนเงียบ ก็มีเสียงฝีเท้าที่วิ่งอย่างรวดเร็วมาที่ประตูของสภาเวทมนตร์ก็ดังขึ้น 

 

 

ชายชราคลิฟกระโจนวิ่งออกไป เมื่อเขาเห็นแคลร์ที่ประตู ใบหน้าของเขาก็เบิกบานแล้ววิ่งมาหาไปอย่างรวดเร็ว พร้อมเขาส่งเสียงร้องออกมาอีกด้วย “โอ้…… โอ้…… ศิษย์รักของข้า ข้าคิดว่าเจ้าจะไม่มาหาข้าแล้ว ข้ารอเจ้าจนจะตายอยู่แล้ว” 

 

 

โมซาอึ้งไปเลย ท่านอาจารย์เรียกตัวเขาว่าอะไรนะ? เรียกว่าศิษย์รักหรือ? ไม่จริงนะ? สิ่งนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน 

 

 

คนอื่นๆ ก็อึ้ง แต่พวกเขาก็มีความสุขมาก พวกเขาไม่คาดคิดว่าท่านอาจารย์ของเขาจะเป็นที่ชื่นชอบของท่านปรมาจารย์คลิฟมากถึงเพียงนี้ พวกเขามีความหวังในการขอเรื่องคำแนะนำของอาจารย์คลิฟแล้วสิ 

 

 

มีเพียงสายตาของจินเหยียนเท่านั้นที่ต่างออกไปเปล่งประกายอ่อนโยน 

 

 

ผู้ฝึกเวทย์ที่ไปรายงานแทบจะกัดลิ้นตาย เขาแค่ไปบอกว่ามีสาวผมทองต้องการพบปรมาาจารย์คลิฟ แล้วนางยังขู่ว่าหากไม่ได้เข้าพบ ก็จะให้พวกเขารับผิดชอบผลที่ตามมาเอง แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าปรมาจารย์คลิฟไม่เพียงแต่ไม่สนใจเรื่องน้ำเสียงที่เย่อหยิ่งของหญิงสาวผู้นั้น แต่ยังรีบวิ่งลงไปหานางราวกับบินได้ 

 

 

ในขณะที่ทุกคนกำลังประหลาดใจ สิ่งที่น่าประหลาดใจยิ่งกว่านั้นก็เกิดขึ้นอีก 

 

 

เวลาต่อมา คลิฟไปที่ตรงหน้าแคลร์แล้วก็เอื้อมมือไปกอดแคลร์ แคลร์หลบตัวออกไป คลิฟก็หันขวับแล้วไปจับกระโปรงของแคลร์ ทันทีที่กระโปรงถูกยกขึ้นแคลร์ก็ถอยหลัง จินเหยียนคว้าเอวของนางแคลร์ไว้ จากนั้นแคลร์ก็เตะขาอย่างแรงจนเท้าของนางประทับลงบนใบหน้าของคลิฟอย่างแม่นยำ การกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในครั้งเดียวโดยไม่มีการหยุดเลย ความร่วมมือระหว่างจินเหยียนและแคลร์นั้นเป็นไปอย่างพอเหมาะพอเจาะทันท่วงที 

 

 

………………………………………………………………………………………….