อีกาโบยบินส่งเสียงร้องอยู่บนท้องฟ้า 

 

 

โมซาใช้ชีวิตมานานขนาดนี้ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาหนักอึ้ง เขารับไม่ไหวกับภาพที่เห็นในขณะนี้ 

 

 

สมองของราเซียว่างเปล่า ใบหน้าของนางสับสนราวกับจานสีที่มีหลากสีหลากอารมณ์ผสมกัน ทุกคนยืนนิ่งอึ้งไม่ไหวติง รุ่นพี่ทั้งสองของนางก็ตกใจจนแทบจะน้ำลายฟูมปาก 

 

 

“โอ้…. แคลร์ที่รัก เจ้าจะปฏิบัติตัวกับอาจารย์ของเจ้าแบบนี้ได้อย่างไร? ” คลิฟผู้ไม่เป็นไรอะไรแล้วยืนขึ้น เขาหยิบผ้าออกมาเช็ดหน้าพร้อมกับพูดอย่างเศร้าๆ รอยรองเท้าบนใบหน้าของเขาชัดเจนมากทีเดียว 

 

 

“จะจับอีกนานแค่ไหน?” แคลร์ไม่สนใจเสียงคร่ำครวญของคลิฟแล้วหันกลับไปพูดกับจินเหยียนอย่างเย็นชา 

 

 

จินเหยียนรีบปล่อยมือให้แคลร์ยืนดีๆ 

 

 

“ถ้าครั้งหน้าท่านกล้าเปิดกระโปรงข้าอีก ข้าจะฆ่าท่าน” น้ำเสียงของแคลร์ทำให้ผู้ฝึกเวทย์ตัวแข็งเป็นหิน ทั้งสองคนที่ประตูกลับมามีสติอีกครั้ง ทุกคนขยี้ตาด้วยความสงสัยว่าสิ่งที่พวกเขาเห็นในวันนี้คือภาพหลอนหรือไม่ 

 

 

“โอ้ ศิษย์รักของข้า อย่าเป็นเช่นนั้นเลย” สายตาของคลิฟยังไม่เปลี่ยน ยังคงมองไปที่หน้าอกของแคลร์ด้วยความหลงใหล “ข้าขอเดาว่าวันนี้เจ้าใส่เสื้อรัดทรงใช่ไหม? “ 

 

 

เมื่อทุกคนได้สติ มุมปากของพวกเขาก็กระตุกขึ้น แม้พวกเขาจะรู้ว่าปรมาจารย์คลิฟหื่นมาก แต่ก็ไม่คิดว่าจะหื่นในโจ่งแจ้งขนาดนี้ 

 

 

สายตาเย็นชาของแคลร์ทำให้คลิฟรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย เขาไอและปรับใบหน้าให้เป็นปกติ “เอาล่ะ แคลร์ ตามข้าไปที่ห้องทดสอบก่อน ข้าจะให้บันทึกของข้าแก่เจ้า” 

 

 

“อืม” แคลร์พยักหน้า 

 

 

คลิฟพาแคลร์และจินเหยียนผ่านประตูสภาเวทมนตร์ไป คลิฟมีความสุขโดยไม่สนใจศิษย์คนอื่นๆ ของโมซาที่ยืนอยู่ที่ประตูเลย 

 

 

“ท่านอาจารย์……” ในที่สุดโมซาก็เรียกคลิฟที่กำลังจะเข้าประตูไป 

 

 

“ห้ะ? ” คลิฟหันหน้ามาเห็นโมซา “อ้าว โมซา ทำไมเจ้ามาอยู่ตรงนี้ล่ะ? “ 

 

 

ประโยคนี้ทำให้มุมปากของโมซากระตุกเล็กน้อย 

 

 

การปฏิบัติแบบสองมาตรฐานทำให้ทุกคนพูดไม่ออก 

 

 

“ท่านอาจารย์ ท่านบอกว่าวันนี้ท่านว่างให้ข้ามาหา” โมซาตอบอย่างระมัดระวัง 

 

 

“โอ้ วันนี้ไม่ว่างแล้ว เจ้ามาวันอื่นนะ” วันนี้คลิฟคิดจะให้ความสนใจกับแคลร์ทั้งหมด เขาจะมีเวลามาใส่ใจโมซาได้อย่างไร 

 

 

“ครับ ท่านอาจารย์” โมชาพยักหน้าอย่างเคารพโดยไม่แสดงความเห็นใด 

 

 

ทุกคนเฝ้ามองกลุ่มของแคลร์เดิมผ่านประตูของสภาเวทมนตร์ไป 

 

 

ราเซียมองแผ่นหลังของแคลร์แล้วกัดกรามแน่น 

 

 

ราเซียไม่สามารถสงบสติอารมณ์ได้ นางไม่อยากจะเชื่อภาพที่เกิดขึ้นต่อหน้านี้ ปรมาจารย์คลิฟในตำนานรักคนงี่เง่านั้นมาก! นางทั้งเกลียดชัง อิจฉา และไม่พอใจ ราเซียถูกกลืนกินด้วยอารมณ์เหล่านี้ไปหมดแล้วเวลานี้ 

 

 

“อาจารย์ นี่มันเกิดอะไรขึ้นคะ? ทำไมคนงี่เง่ากับปรมาจารย์คลิฟถึงใกล้ชิดกันได้ขนาดนี้” ราเซียถามอย่างระงับอารมณ์ไม่อยู่ ถ้าแคลร์อยู่ตรงหน้านางตอนนี้ นางอาจจะโผเข้าทำร้ายจริงๆ นางคือหญิงสาวผู้มีพรสวรรค์ที่น่าภาคภูมิใจนะ! แต่ตอนนี้คนงี่เง่ากำลังทับหัวนางอยู่ 

 

 

“ข้าก็ไม่รู้ แต่สิ่งเดียวที่แน่นอนก็คือท่านอาจารย์รับนางเป็นศิษย์ อีกทั้งยังให้ความสำคัญกับนางมากด้วย” โมซาถอนหายใจ เขาเข้าใจอารมณ์ของราเซียในตอนนี้ดี แต่มันเป็นความจริงที่เถียงไม่ได้ แคลร์ได้กลายเป็นศิษย์ของปรมาจารย์คลิฟแล้ว หวังว่าสิ่งนี้จะไม่สร้างความเจ็บช้ำให้กับศิษย์ที่หยิ่งผยองของเขาเองมากเกินไป 

 

 

“เป็นไปไม่ได้ นางงี่เง่าและโง่มากเลยนะ” ราเซียอารมณ์ขึ้น นางจะยอมรับสถานการณ์นี้ได้อย่างไร?! คนที่ตนเองเกลียดชังที่สุดได้กลายเป็นศิษย์ของอาจารย์ที่ตนเองเคารพ! นี่คือตลกร้ายมาก เป็นครั้งแรกที่ราเซียพ่นคำพูดที่หยาบคายในใจของนาง 

 

 

“ใช่ ท่านอาจารย์ เป็นไปได้อย่างไร นางต้องล่อลวงอะไรท่านอาจารย์คลิฟแน่ๆ ” ศิษย์คนหนึ่งกล่าวอย่างหนักแน่น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ 

 

 

“ใช่ ท่านอาจารย์ ท่านต้องหาให้ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น บางทีอาจเป็นยาแห่งความรักที่แคลร์ผู้งี่เง่าใช้กับอาจารย์คลิฟก็ได้” ศิษย์อีกคนพูดอย่างไม่พอใจ 

 

 

“หุบปาก! ” ใบหน้าของโมซาเปลี่ยนไปอย่างมาก เขาตำหนิออกมาด้วยความโกรธ “หุบปากเสียให้หมด อย่าพูดจาไร้สาระ” 

 

 

ทุกคนเงียบ นี่เป็นครั้งแรกที่พวกเขาเห็นอาจารย์โมโหขนาดนี้ 

 

 

“ความอิจฉาทำให้เจ้าตาบอดและไร้เหตุผล! การควบคุมตัวเองและสติของเจ้าอยู่ที่ไหน” โมซาตำหนิอย่างโกรธๆ “เจ้าไม่คิดว่าแคลร์เป็นนักเวทย์ด้วยซ้ำ นางจะสามารถวางยาจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์ได้อย่างไร เจ้าเคยได้ยินว่าท่านอาจารย์ทำอะไรไม่สมควรด้วยพฤติกรรมของผู้หญิงหรือ นี่ไม่ใช่แค่ดูถูกแคลร์ แต่ยังเป็นการดูถูกท่านอาจารย์ด้วย” 

 

 

ทุกคนตกตะลึงและตกใจเล็กจนแทบไม่กล้าหายใจออกมาด้วยซ้ำ พวกเขาไม่มีใครที่จะสามารถรับผลลัพธ์จากการการดูถูกปรมาจารย์คลิฟได้ สิ่งที่โมซาพูดราวกับเข็มที่ทิ่มแทงหัวใจของพวกเขา ใช่… ไม่ต้องพูดถึงแคลร์ แม้แต่อาจารย์ของพวกเขาก็ไม่สามารถวางยาปรมาจารย์คลิฟได้ ความจริงมันช่างโหดร้าย ปรมาจารย์คลิฟในตำนานรับคนงี่เง่าผู้นั้นมาเป็นศิษย์ของเขาแล้วจริงๆ 

 

 

โมซามองหน้าของศิษย์ทั้งสามแล้วถอนหายใจเบาๆ ศิษย์ทั้งสามของเขามีความสามารถมาก แต่พวกเขายังเด็กเกินไปจึงเกิดความอิจฉาได้ง่าย นิสัยเช่นนี้ต่อไปในอนาคตคงจะลำบาก บางทีตนเองอาจทำให้พวกเขานิสัยเสียมากเกินไป พวกเขาไม่เคยประสบกับความพ่ายแพ้ใดๆ จนถึงตอนนี้ดูเหมือนว่านี่อาจจะเป็นวิธีสอนที่ผิดไป 

 

 

“ท่านอาจารย์ ข้าขอโทษ” ราเซียยอมรับผิดก่อนใคร ความเป็นเด็กดีของนางคือเหตุผลหลักๆ ที่โมซาชอบนางมากที่สุด 

 

 

“ท่านอาจารย์ พวกเราผิดไปแล้ว” ศิษย์อีกสองคนก็รีบยอมรับผิดเช่นกัน 

 

 

“พวกเจ้ายังเด็กเกินไป ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น อย่ามองข้ามสิ่งเล็กน้อย” โมซาพูดอย่างจริงจัง 

 

 

“ครับ/ค่ะ ท่านอาจารย์” ทุกคนพยักหน้าตอบด้วยสีหน้าละอายใจเล็กน้อย 

 

 

“แม้ว่าข้าจะไม่รู้ว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงยอมรับแคลร์เป็นศิษย์ของเขา แต่นี่ก็เป็นความจริงที่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ ตอนนี้นางเป็นศิษย์น้องของข้า ข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ไปทำอะไรล้ำเส้นนะ” โมซาถอนหายใจแล้วพูดอย่างหมดหนทาง เขารู้นิสัยเสียของราเซียดี นางสามารถทำอะไรบางอย่างได้จริงๆ โมซาถอนหายใจ “ราเซีย เจ้าต้องไม่ทำสิ่งที่รุนแรงเข้าใจไหม? ” ความกังวลของโมซาไม่ได้เกี่ยวกับความเป็นพี่น้องระหว่างราเซียและแคลร์ แต่เป็นการทำให้คลิฟโกรธ คลิฟเป็นชายที่ปกป้องคนของเขามาก และจากท่าทีของเขาที่มีต่อแคลร์ในวันนี้ เห็นได้ชัดว่าเขาชอบแคลร์มากแค่ไหน หากแคลร์ผู้มีค่าต่อเขาได้รับบาดเจ็บก็คงไม่มีใครสามารถทนรับความโกรธของเขาได้แน่ 

 

 

“ครับ/ค่ะ” ทุกคนตอบรับ พวกเขาไม่รู้ว่าโมซาคิดอะไรอยู่ในใจ ส่วนราเซียก็ตอบรับและเชื่อฟัง แต่ความอิจฉาและความแค้นในใจของนางมันแผ่ขยายออกไปแล้ว 

 

 

“ไปเถอะ วันหนึ่งเราจะได้รู้เองว่าทำไมท่านอาจารย์ถึงรับนางเป็นศิษย์ สิ่งที่เราต้องทำตอนนี้คือฝึกฝนต่อไป” โมชาเดินนำ ศิษย์ทั้งสามสบตากันแล้วพวกเขาก็เดินตามไป 

 

 

แคลร์มองเข้าไปข้างในในสภาเวทมนตร์ 

 

 

ตอนนี้นางมองเห็นบริเวณชั้นแรก ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดใหญ่มีหน้าต่างบานเล็กหลายบานล้อมรอบ ที่นี่คือสถานที่ในการประเมินนักเวทย์ ตรงกลางมีแท่นกลมขนาดใหญ่ เมื่อมองขึ้นไป ด้านบนที่ดูกลวงๆ ไม่มีอะไร แต่จริงๆ แล้วเป็นลิฟต์ที่เข้าถึงชั้นบนได้โดยตรง 

 

 

คลิฟเข้าไปในลิฟต์และร่ายคาถา แท่นกลมลอยขึ้นอย่างช้าๆ ไปยังชั้นสอง สิ่งที่แคลร์เห็นคือร้านค้าที่อยู่ติดกัน ร้านค้าแต่ละร้านมีผู้คนคอยปกป้องและรูปแบบของเสื้อคลุมที่แค่มองผ่านก็รู้ว่าพวกเขาล้วนเป็นผู้ฝึกเวทย์ นี่เป็นไปได้อย่างไร? แคลร์รู้สึกสงสัย นักเวทย์ไม่ใช่นักธุรกิจแถมยังเกลียดการแสวงหาประโยชน์ด้วยนี่? ทำไมถึงเปิดร้านเสียเองล่ะ? 

 

 

คลิฟดูเหมือนจะเห็นข้อสงสัยของแคลร์จึงอธิบายให้ฟังด้วยรอยยิ้ม “ร้านค้าเหล่านี้เปิดโดยนักเวทย์เองและใช้ในการแลกเปลี่ยนวัตถุเวทย์ พวกเขาแลกเปลี่ยนแต่ไม่ได้ขาย” 

 

 

เพียงเท่านี้แคลร์ก็ตะลึง นี่เป็นวิธีที่ดีมากในการอำนวยความสะดวกให้กับนักเวทย์ 

 

 

ชั้นสามเป็นห้องทดลองของนักเวทย์ ยิ่งตำแหน่งสูงก็ยิ่งอยูขึ้นไปด้วยชั้นบนสุดเป็นห้องทดลองของคลิฟ 

 

 

“อ่าฮะ แคลร์ ดูสิว่าข้าทำอะไรที่นี่? ” คลิฟชี้ไปที่ห้องทดลองขนาดใหญ่ของเขาเหมือนเด็กขี้โม้และหัวเราะอย่างภาคภูมิใจ 

 

 

“ข้ามองไม่เห็นอะไรเลย” แคลร์ตอบเบาๆ ความจริงแล้วห้องทดลองของนักเวทย์นั้นรกมาก เกรงว่าจะมีเพียงเจ้าของห้องทดลองเท่านั้นที่รู้ว่าวัสดุต่างๆ ของเขาวางไว้ที่ไหน 

 

 

“เดี๋ยวก่อน” จู่ๆ คลิฟก็เรียกสมุดบันทึกพิเศษออกมาในอากาศแล้วยื่นให้แคลร์ “นี่สำหรับเจ้า มันเป็นสมุดบันทึกยุคแรกของข้า น่าจะมีประโยชน์กับเจ้ามาก” 

 

 

แคลร์รับสมุดมาพลิกเปิดอ่านแล้วเลิกคิ้วเบาๆ แน่นอนว่าข้อมูลเชิงลึกเหล่านี้ดีมาก นางต้องยอมรับว่าชายชราคนนี้มีพลังมากจริงๆ ในฐานะที่เป็นจอมเวทย์ศักดิ์สิทธิ์เพียงคนเดียวของอันพาแกรนด์ เขามีรู้มากจริงๆ 

 

 

“ตอนนี้เจ้ายังไม่พร้อมในการใช้คาถาขั้นสูงเกินไป ข้าจะสอนคาถาเหล่านั้นให้เจ้าเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม โลกเวทย์มนตร์นั้นสวยงามและยังมีหนทางอีกยาวไกล เจ้าต้องไม่รีบเร่งหรอก” คลิฟกล่าวอย่างจริงจัง คำพูดนี้คล้ายกับคำพูดของอูมาริเลย 

 

 

“ข้ารู้แล้วท่านอาจารย์” การที่แคลร์เรียกอาจารย์ทำให้คลิฟตื่นเต้นมาก 

 

 

“สุดสัปดาห์หน้า เจ้าไปงานเลี้ยงวันเกิดขององค์หญิงเร็วหน่อยนะ” คลิฟพูดขึ้น 

 

 

………………………………………………………………………………