แคลร์สงสัยเล็กน้อย ด้วยนิสัยแล้วคลิฟน่าจะรังเกียจงานสังคมมาก ไม่น่าจะไปงานเลี้ยงน่าเบื่ออะไรแบบนั้นเลย แต่ตอนนี้เขากลับเริ่มพูดเรื่องนี้เสียเอง แล้วแคลร์จะไม่แปลกใจได้อย่างไร จากนั้นแคลร์ก็เห็นคลิฟยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่ตรงนั้น สัญชาตญาณบอกกับนางว่านี่ต้องไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ 

 

 

“ท่านอาจารย์ มีใครเคยบอกหรือไม่ว่าท่านหัวเราะได้ลามกมาก? ” แคลร์ขมวดคิ้วแล้วพูดขณะที่มองคลิฟที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา 

 

 

“งั้นหรือ? งั้นหรือ?” คลิฟมองนางอย่างจริงจังและขมวดคิ้ว 

 

 

“ท่านมีจุดประสงค์อะไร? ” แคลร์ไม่เชื่อคำพูดของอาจารย์ลามกนี้ ยิ่งจริงจังก็ยิ่งดูผิดปกติ 

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก ฮ่าๆๆๆ …..” คลิฟหัวเราะเต็มที่ “ฮ่าๆ ก็แค่ผู้เฒ่าคนนั้นก็จะไปด้วย ฮ่าๆ ……” 

 

 

แคลร์มองคลิฟอย่างสงสัยว่าผู้เฒ่าที่เขาพูดถึงคือใคร 

 

 

“เอาล่ะ ศิษย์รัก ข้าจะไปหาเจ้าเมื่อข้าทำการทดลองเสร็จแล้ว เจ้าอยู่ที่คฤหาสน์ของดยุกฮิลล์ใช่หรือไม่? ” คลิฟพูดด้วยรอยยิ้มอารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด 

 

 

“อืม” แคลร์พยักหน้าไม่ถามอะไรอีก ยังไงซะเมื่อถึงเวลา นางก็จะได้รู้ว่าผู้เฒ่าที่เขาพูดถึงคือใคร 

 

 

“จำไว้ ไปที่วังเร็วๆ นะ” คลิฟกำชับอีกครั้ง ความจริงแล้วหากองค์หญิงจะไม่ได้เชิญแคลร์ แต่นางก็สามารถไปในฐานะศิษย์ของคลิฟได้ไม่มีปัญหาอะไร 

 

 

“เข้าใจแล้ว” แคลร์ตอบ ทันใดนั้นนางก็นึกอะไรบางอย่างได้ “ท่านอาจารย์ที่นี่มีไม้กายสิทธิ์พิเศษหรือไม่? “ 

 

 

“เจ้าต้องการแบบไหนล่ะ? ” คลิฟถาม 

 

 

“ข้าอยากจะให้ของขวัญองค์หญิง แต่ข้าคิดไม่ออกว่าอะไรที่จะเหมาะสม องค์หญิงคงจะมีอัญมณีและของมีค่าจำนวนมากแล้ว” แคลร์พูดจุดประสงค์ของตัวเองโดยไม่เกรงใจ 

 

 

คลิฟกลอกตาลองคิดดู จากนั้นไม้กายสิทธิ์หรูหราสวยงามก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา ไม้กายสิทธิ์ขนาดเล็กประดับด้วยอัญมณีใสส่องประกายดูสวยงามมาก รูปแบบที่เรียบง่ายบนไม้ยิ่งทำให้ดูลึกลับมากยิ่งขึ้น 

 

 

“ไม้กายสิทธิ์นี้ไม่ใช่สิ่งมีค่ามากมาย แต่ก็น่าจะทำให้สาวน้อยที่รักความสวยงามพอใจได้” คลิฟยื่นไม้กายสิทธิ์ในมือให้แคลร์ 

 

 

แม้ว่าคลิฟจะพูดเช่นนั้น แต่ไม้กายสิทธิ์นี้ไม่ใช่สิ่งของทั่วไปอย่างแน่นอน เพียงแค่สิ่งนี้ไม่ได้มีค่าในสายตาของคลิฟ แคลร์เลิกคิ้ว หยิบไม้กายสิทธิ์ขึ้นมา และคิดในใจว่าเมื่อไหร่นางจะหาประโยชน์จากสมบัติของอาจารย์ผู้นี้ได้นะ 

 

 

“เอาล่ะ ข้าจะทำการทดลองไร้สาระๆ ของข้าต่อแล้ว” คลิฟส่งแคลร์ลงไปชั้นล่างแล้วกลับขึ้นไปทำการทดลองของเขา 

 

 

แคลร์และจินเหยียนนั่งรถม้าออกจากสภาเวทมนตร์ แคลร์เอนหลังในรถม้าอย่างเงียบๆ แล้วหลับตาลง 

 

 

หลังจากรถม้าเคลื่อนไปได้สักพัก แคลร์ก็ลืมตาขึ้น 

 

 

ดวงตาของแคลร์เย็นชา นางเงยหน้าขึ้นก็พบกับดวงตาเย็นชาของจินเหยียนเช่นกัน 

 

 

คนขับรถม้าพาพวกเขามาผิดทาง 

 

 

ทางนี้ไม่ใช่ทางกลับคฤหาสน์ดยุกฮิลล์ คนขับรถม้าได้รับการคัดเลือกและฝึกฝนมาอย่างเคร่งครัด เขามีความซื่อสัตย์ต่อตระกูลฮิลล์มาก ผู้ที่สามารถสั่งคนขับรถม้าได้คือใครกันนะ? 

 

 

รอยยิ้มเย็นชาที่มองแทบไม่เห็นปรากฏขึ้นที่มุมปากของแคลร์ 

 

 

เด็กสาวนิสัยเสียผู้นั้น ดูเหมือนว่าบทเรียนครั้งที่แล้วยังไม่เพียงพอที่จะทำให้นางประพฤติตัวดีได้สินะ 

 

 

ดวงตาของจินเหยียนเย็นชา เขาค่อยๆ เงยหน้าขึ้นมองแคลร์แล้วพูด “หากใครทำตัวไม่ดีกับคุณหนู ข้าก็พร้อมที่จะกำจัดให้โดยไม่ลังเล” 

 

 

แคลร์หัวเราะเบาๆ “แม้ว่าคนๆ นั้นจะคุณหนูรองของตระกูลฮิลล์น่ะหรือ? “ 

 

 

“ใช่! ” จินเหยียนตอบอย่างเด็ดขาด ใบหน้าหล่อเหลาเย็นชาราวกับธารน้ำแข็ง ส่วนดวงตาของเขาลึกล้ำราวกับท้องฟ้ายามค่ำคืนที่หนาวเหน็บ 

 

 

แคลร์ยิ้มไม่พูดอะไรแล้วมองจินเหยียนเงียบๆ 

 

 

เวลาผ่านไปสักพัก แคลร์เม้มริมฝีปากเบาๆ 

 

 

“ดี ถ้าเช่นนั้นทำให้ข้าเห็นสิว่าเจ้ามุ่งมั่นและภักดีต่อข้า” 

 

 

ภายในรถม้า เสียงนุ่มนวลของแคลร์นั้นกลับฟังดูราวกับเสียงถอนหายใจแผ่วเบาของปีศาจ 

 

 

รถม้าขับออกไปจากเมืองโดยไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าแม้ว่าตอนนี้แคลร์จะเป็นที่ชื่นชอบของดยุกกอร์ตั้น แต่สถานะของนางในใจผู้คนก็ยังด้อยกว่าราเซียอยู่ดี ระหว่างพวกนางทั้งสองคน คนขับรถม้าเลือกที่จะทำตามคำสั่งของราเซีย ซึ่งนี่จะเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเสียใจไปตลอดชีวิต 

 

 

“จับเป็นนาง” เสียงเยือกเย็นของแคลร์ดังขึ้นในรถม้า นี่คือข้อกำหนดของนาง นั่นไม่ใช่เพราะราเซียเป็นน้องสาว แต่นางทำเพื่อแคทเธอรีนแม่ผู้อ่อนโยนต่างหาก 

 

 

จินเหยียนพยักหน้าเบาๆ แต่ดวงตาของเขาเย็นชา 

 

 

รถม้าขับออกจากเมืองไปยังป่านอกเมือง 

 

 

ไม่นานรถม้าก็หยุดลง 

 

 

จินเหยียนออกจากรถม้าและยื่นมือออกมารับแคลร์ นางวางมือลงอย่างไม่แยแส ในขณะที่จินเหยียนช่วยแคลร์ออกจากรถม้าอย่างระมัดระวัง 

 

 

คนขับรถม้ามองไปรอบๆ เขาเชื่อฟังคำสั่งของคุณหนูรองและขับรถม้ามาที่นี่ แต่เขาไม่เห็นคุณหนูรองเลย เขาควรทำตามคำสั่งของคุณหนูรองและขับรถม้าออกไปในตอนนี้เลยหรือไม่ อย่างไรการทำตามคำสั่งของคุณหนูรองก็ไม่ได้มีอะไรผิด คุณหนูใหญ่ผู้นี้ด้อยกว่าคุณหนูรองมาก จะให้บอกคุณหนูใหญ่รู้ว่าคุณหนูรองเป็นคนสั่งมาเขาก็ไม่กล้า เมื่อคิดได้แล้วคนขับรถก็จะยกแส้ขึ้นเพื่อขับม้าออกไป 

 

 

แต่ทันใดนั้น เสียงเย็นๆ ก็ดังขึ้นในหูของเขา “เจ้าจะไปไหน? ” ดวงตาของจินเหยียนไม่มีความอบอุ่นแม้แต่น้อย 

 

 

คนขับรถม้าตกใจกลัว เสียงนี้ไม่มีความปราณีและทำให้เขาหนาวเย็นราวกับว่าเลือดของเขาทั้งหมดได้แข็งตัว ต่อมากลิ่นอายสังหารก็ห่อหุ้มเขาไว้ ความเจ็บปวดเสียดแทงที่ข้อมือจนเขาแทบหายใจไม่ออก 

 

 

เมื่อจัดการกับคนขับรถม้าแล้ว จินเหยียนก็เก็บดาบอย่างสง่างาม ดาบเล่มนั้นไม่มีเลือดสักหยด แต่กล้ามเนื้อมือของคนขับม้าขาดหมดสิ้น! เลือดสดๆ ไหลพุ่งออกมา คนขับรถม้าร้องโหยหวนอย่างน่าเวทนาดังก้องอยู่ในป่า 

 

 

จินเหยียนผู้เป็นเหมือนยมทูตยืนอยู่ที่นั่นอย่างเงียบๆ เขามองคนขับรถม้าที่ร่ำไห้อยู่ที่พื้นอย่างเย็นชา 

 

 

“ใครสั่งให้เจ้าพาพวกเรามาที่นี่?” แคลร์ถามด้วยรอยยิ้มที่อ่อนโยนและสดใสราวกับดวงอาทิตย์ 

 

 

สายตาของคนขับตื่นตระหนก แม้ว่าหญิงสาวตรงหน้าเขาจะยิ้ม แต่เขารู้สึกหนาวยะเยือกยิ่งกว่าธารน้ำแข็งเสียอีก 

 

 

“เจ้าละทิ้งหน้าที่ของเจ้า” จินเหยียนมองคนบนพื้นอย่างเย็นชาและจะชักดาบของเขาออกมาอีกครั้ง 

 

 

คนขับรถตะโกนออกมาสุดเสียง “คุณหนูรองช่วยด้วย คุณหนูรองบอกให้ข้าขับรถม้ามาที่นี่ คุณหนูรอง……” 

 

 

แคลร์ยืนยิ้มอยู่เงียบๆ และรอให้คนๆ นั้นปรากฏตัวอย่างสบายใจ 

 

 

ท่ามกลางความมืดที่เย็นเยือก นี่เป็นครั้งแรกที่ราเซียได้เห็นอัศวินจินเหยียนผู้ไม่เคยใส่ใจแคลร์มีสีหน้าโหดร้ายเช่นนี้ สิ่งนี้บ่งบอกถึงอะไรหรือ? อัศวินผู้นั้นทุ่มเทหัวใจให้กับแคลร์ผู้งี่เง่าจริงหรือ? เป็นไปได้ยังไง?! เมื่อตอนที่มีนางรังแกพี่สาวงี่เง่า จินเหยียนก็ได้แต่ยืนมอง แต่ในตอนนี้พฤติกรรมของอัศวินผู้นี้ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปแล้ว 

 

 

“หยุด! ” เมื่อราเซียเห็นว่าดาบของจินเหยียนกำลังจะแทงเข้าที่หน้าอกของคนขับรถม้า นางออกมาจากที่ซ้อนแล้วตะโกนด้วยความโกรธแค้น อย่างไรเสียคนขับรถม้าก็รับคำสั่งจากนางจึงได้ก่อเหตุเช่นนี้ 

 

 

แคลร์เลิกคิ้วเบาๆ พร้อมกับยิ้มเล็กน้อยที่มุมปากมองหญิงสาวที่เดินออกมาจากความมืด เด็กสาวผู้นี้ยังคงมีจิตสำนึกในความเป็นมนุษยฺและความรับผิดชอบหลงเหลืออยู่ 

 

 

ราเซียมองสาวผมทองอย่างโกรธๆ 

 

 

“ทำไมปรมาจารย์คลิฟถึงรับเจ้าเป็นศิษย์? ทำไม?!” ราเซียระงับความโกรธในใจแล้วถาม 

 

 

แคลร์ยิ้มเบาๆ “ข้าจำเป็นต้องตอบเจ้าหรือ? “ 

 

 

“ทำไม? เป็นไปได้อย่างไร? ปรมาจารย์คลิฟจะรับเจ้าเป็นศิษย์ได้อย่างไร เจ้าไม่ได้เป็นอะไรเลย เจ้าเป็นแค่คนงี่เง่าที่ชอบทำสิ่งที่น่าอับอาย ไม่ได้เรียนรู้หรือมีทักษะอะไรเลย เจ้าไม่สนใจท่านแม่ที่รักเจ้ามากที่สุดด้วยซ้ำ! เจ้าทำอะไรทำไมปรมาจารย์คลิฟถึงรับเจ้าเป็นศิษย์” ในที่สุดราเซียก็โพล่งระบายความโกรธทั้งหมดในใจออกมา “เจ้ามันแค่คนโง่! เป็นแค่ความอัปยศของตระกูลฮิลล์เท่านั้น!” 

 

 

แคลร์ถอนหายใจเบาๆ ราเซียพูดความจริง! ในอดีตแคลร์เป็นเพียงหญิงบ้าผู้ชายเอาแต่ทำให้ตัวน่าขายหน้า ดังที่ราเซียพูด ในอดีตแคลร์ไม่ได้สนใจท่านแม่ที่รักนางมากที่สุด แคลร์มองขึ้นไปบนท้องฟ้าและพูดไม่ออก แคลร์คนก่อนหน้านี้คงน่ารำคาญถึงขีดสุดจริงๆ ไม่น่าแปลกใจเลยที่จินเหยียนผู้อยู่ในฐานะอัศวินคนสนิทจะมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อนางมาก่อน ไม่มีใครชอบคนโง่บ้าผู้ชายเช่นนี้ได้หรอก 

 

 

แคลร์มองเด็กสาวที่มีพรสวรรค์เปล่งประกายตรงหน้า ทันใดนั้นแคลร์ก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อย เด็กสาวผู้นี้เปล่งประกายและเป็นที่สนใจตั้งแต่อายุห้าขวบ นางเป็นดาวเด่นในสายตาของทุกคน เป็นความภาคภูมิใจและความหวังของตระกูลฮิลล์ ความมั่นใจของนางเกือบจะถูกแคลร์ทำลายไปในวันนี้ ความภาคภูมิใจและความฉลาดของราเซียในวันนี้กลายเป็นเพียงเรื่องตลก… เรื่องตลกที่น่าขันเลยก็ว่าได้ 

 

 

“บางที เจ้าอาจจะได้รู้เหตุผลในอนาคต” แคลร์ล้มเลิกแผนที่นางต้องการจะทำก่อนหน้านี้ไปแล้ว 

 

 

“หยุดนะ! ” ราเซียกำหมัดแน่น “หากเจ้าไม่พูดเหตุผลในวันนี้ ก็อย่าคิดว่าจะได้ออกไป! “ 

 

 

แคลร์ชะงักและค่อยๆ สบสายตากับราเซีย “ในวันที่เจ้าเติบโตอย่างเต็มที่ เจ้าอาจจะกลายเป็นสิ่งมีชีวิตที่อยู่เหนือคลิฟก็ได้นะ” 

 

 

ราเซียผงะไปชั่วขณะ มองแผ่นหลังของแคลร์โดยไม่พูดอะไร ในตอนนี้นางรู้สึกได้ทันทีว่าสาวผมทองผู้นี้ไม่ใช่แคลร์ แต่เป็นนักปราชญ์ที่ทรงพลัง 

 

 

เมื่อแคลร์ขึ้นรถม้าไปและหายลับไปจากสายตาของราเซีย นางกลับมามีสติอีกครั้งและส่ายหัวอย่างสิ้นหวัง นางโยนความรู้สึกเมื่อกี้ทิ้งออกไปจากหัวใจ ในใจรู้สึกโกรธว่าทำไมนางถึงถูกหญิงบ้าผู้ชายจูงจมูกได้นะ 

 

 

………………………………………………………………………………….