“หยุดเลยนะ หากเจ้าไม่บอก วันนี้ข้าก็จะไม่ปล่อยเจ้าไปเด็ดขาด” ราเซียรีบวิ่งไปข้างหน้าพร้อมร่ายคาถา 

 

 

“ขอโทษครับคุณหนูรอง” ชายเสื้อสีดำของจินเหยียนสะบัดขึ้น ดวงตาของเขาไม่แยแส การเคลื่อนไหวของเขาดูเหมือนจะช้าแต่สง่างาม เขาไปถึงราเซียในพริบตา 

 

 

ทันใดนั้นแสงสีม่วงก็ระเบิดออกมา แรงมหาศาลกระแทกเข้าที่หน้าของราเซีย 

 

 

ทันใดนั้น ราเซียก็กรีดร้องออกมา รู้สึกเหมือนร่างกายของนางจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นางอาเจียนเป็นเลือดแล้วถอยกลับไปอย่างรวดเร็ว เลือดสีแดงพุ่งออกมาในอากาศ และความรู้สึกที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตายได้ปกคลุมทั่วร่างของราเซีย 

 

 

ร่างของราเซียตกลงพื้นอย่างแรง ฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว นางนอนอยู่บนพื้นและไม่สามารถขยับตัวได้ ฉากที่เกิดขึ้นนี้รวดเร็วมากจนศิษย์พี่ทั้งสองของราเซียที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดไม่ทันได้ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ พวกเขาจึงไม่ได้ไปรับร่างของราเซียเอาไว้า พวกเขาคงจะโชคดีที่ไม่ได้เข้าไปหานาง เพราะแม้แต่แผ่นดินที่อยู่ใต้ร่างของราเซียนั้นก็แตกกระจาย จินเหยียนปล่อยพลังยุทธ์เพียงเล็กน้อยใส่ร่างกายของราเซีย เมื่อนางกระแทกพื้น พลังยุทธ์จึงปล่อยผ่านไปสู่พื้นดินเบื้องล่าง สิ่งอันตรายที่สุดของนักเวทย์คือการต่อสู้ในระยะประชิดกับนักรบ เพราะเป็นการโจมตีที่ร้ายแรง คนที่อยู่ที่บริเวณนนั้นทั้งหมด ยกเว้นก็แต่แคลร์ที่อยู่บนรถม้า ต่างไม่มีใครคาดคิดเลยว่าจินเหยียนจะลงมือรุนแรงขนาดนี้กับคุณหนูรองแห่งตระกูลฮิลล์! 

 

 

“จินเหยียน ไปเถอะ” เสียงของแคลร์ดังมาจากรถม้าเต็มไปเ้วยเป็นอารมณ์ที่แปลกประหลาด 

 

 

จินเหยียนเก็บดาบของเขาอย่างไม่แยแส ไม่แม้แต่จะมองราเซียที่นอนอยู่บนพื้น เขาขึ้นรถม้านั่งในตำแหน่งคนขับรถม้าแล้วบังคับรถม้าออกไป 

 

 

รถม้าเคลื่อนตัวไปอย่างช้าๆ 

 

 

“เจ้าไม่กลัวว่าท่านปู่จะตำหนิเจ้าหรือ? ” เสียงของแคลร์ดังออกมาจากรถผ่านเข้าหูของจินเหยียนอย่างไม่มีความกังวลในน้ำเสียงนั้น 

 

 

“หน้าที่ของข้าคือการดูแลความปลอดภัยของคุณหนูครับ” เสียงทุ้มต่ำของจินเหยียนไม่มีความลังเลใดๆ 

 

 

แคลร์ไม่ได้พูดอะไรอีก นางเอนกายลงในรถม้าแล้วพูดแผ่วเบา “กลับกันเถอะ” 

 

 

สองวันถัดมา ทุกอย่างเงียบสงบอย่างน่าประหลาด ราเซียไม่ได้กลับบ้าน ดยุกกอร์ตั้นก็ไม่พูดถึงเรื่องนี้ ไม่รู้ว่าเขาไม่รู้เรื่องหรือเขาไม่อยากพูดถึงกันแน่ 

 

 

แคลร์ยังคงเรียนวรรณคดีและภูมิศาสตร์ในตอนเช้าแล้วเรียนขี่ม้าในตอนบ่าย คามิลล์ยังคงปรากฏตัวห้องหนังสืออย่างตรงเวลาทุกเช้า สิ่งที่ทำให้แคลร์แปลกใจก็คือคามิลล์ยังดูมีอาการบาดเจ็บเช่นเดิม ไม่มีความเปลี่ยนแปลงใดๆ ใครกันที่ทำให้นักวิชาการผู้นี้ได้รับบาดเจ็บสาหัสเช่นนี้? ทำไมคามิลล์ถึงต้องปกปิดเรื่องนี้ไว้อีก? 

 

 

แค่ชั่วพริบตา วันหยุดสุดสัปดาห์และงานเลี้ยงขององค์หญิงแมริสก็มาถึง ส่วนดยุกกอร์ตั้นเองก็ได้รับคำเชิญจากจักรรพรรดิ 

 

 

แคลร์แต่งตัวขึ้นรถม้าไปกับดยุกกอร์ตั้นเพื่อเข้าร่วมงานเลี้ยง 

 

 

“ท่านดยุกกอร์ตั้นมาถึงแล้ว” หลังจากพวกเขาลงจากรถม้าและก้าวขึ้นไปบนพรมแดง ผู้ดูแลที่ประตูเห็นพวกเขาก็ตะโกนออกมาเสียงดัง 

 

 

เมื่อกอร์ตั้นและแคลร์ปรากฏตัวที่ทางเข้าห้องโถง ทุกสายตาก็จ้องมองมา แน่นอนว่าบุคคลที่มีความสัมพันธ์อันดีกับจักรพรรดิต่องมางานนี้อย่างแน่นอน แต่เมื่อทุกคนเห็นคนที่ยืนอยู่ข้างๆ ดยุกกอร์ตั้น พวกเขาก็ผงะไปเล็กน้อย เพราะคนๆ นั้นไม่ใช่ราเซียผู้อัจฉริยะ แต่เป็นแคลร์! ดยุกกอร์ตั้นเคยสั่งไว้อย่างชัดเจนมานานแล้วว่าเขาไม่อนุญาตให้หญิงบ้าผู้ชายผู้นั้นเข้าร่วมงานเลี้ยงทุกงานในวัง ทำไมตอนนี้เขาถึงพานางมาปรากฏตัวด้วยตัวเองล่ะ? 

 

 

วันนี้แคลร์แต่งกายด้วยชุดเดรสสีขาวราวกับหิมะ ชุดลูกไม้เป็นชั้นๆ เป็นชุดแบบมาตรฐานของงานเลี้ยงในวัง ที่เอวของนางประดับด้วยดอกกุหลาบสีชมพูขนาดใหญ่ดูมีเอกลักษณ์ ยิ่งทำให้นางมีเสน่ห์มากขึ้นไปอีก มีเพียงแค่ความเฉยเมยบนใบหน้าของแคลร์ที่ทำให้คนเหล่านั้นรู้สึกแปลกๆ แต่พวกเขาก็ไม่สามารถละสายตาจากนางได้ 

 

 

ในฐานะตัวเอกของงานเลี้ยงนี้ องค์หญิงแมริสมีความสุขมากที่ได้เจอแคลร์ แต่นางก็ยังคงเดินอย่างช้าๆ และสง่างาม 

 

 

“ขอแสดงความยินดีกับการเติบโตในอีกปีหนึ่งขององค์หญิง” ดยุกกอร์ตั้นจับมือขององค์หญิงแมริสและโค้งตัวลงเล็กน้อยเพื่อจูบที่หลังมือขององค์หญิงแมริส 

 

 

“ขอบคุณท่านดยุก เป็นเกียรติแก่ข้าที่ท่านมาที่นี่” องค์หญิงแมริสมีรอยยิ้มบนใบหน้าแล้วตอบกลับดยุกกอร์ตั้นอย่างสุภาพ 

 

 

แคลร์แสดงความเคารพอยู่ข้างๆ 

 

 

“โอ้ ศิษย์รักของข้า เจ้าอยู่ที่นี่เอง ทำไมมาช้าจัง” เสียงหนึ่งแทรกเข้ามาอย่างกะทันหัน ไม่จำเป็นต้องเดาก็รู้ว่าเป็นใคร เขาคือคลิฟชายชราลามกนั่นเอง 

 

 

“ท่านอาจารย์” แคลร์เรียกคลิฟที่พุ่งเข้ามาหานางอย่างรีบร้อน เขาสวมเสื้อคลุมวิเศษขนาดใหญ่และวิ่งเข้ามาอย่างมีความสุข 

 

 

คำพูดของคลิฟราวกับสายฟ้าถล่มลงท่ามกลางฝูงชน ศิษย์รักงั้นหรือ?! แคลร์ก็เรียกเขาว่าอาจารย์งั้นหรือ?! คงมีศิษย์สักคนของอาจารย์คลิฟมาที่นี่ ทุกคนหันมองไปที่ประตู แต่ก็ไม่มีใครโผล่มา 

 

 

รอยยิ้มปรากฏขึ้นที่มุมปากของดยุกกอร์ตั้น นี่คือสิ่งที่เขาต้องการ งานเลี้ยงในคืนนี้คือโอกาสอันดีที่จะแจ้งให้ทุกคนทราบข่าว ไม่มีสิ่งใดเทียบได้กับการได้เห็นความตกใจของผู้คนด้วยตาตัวเอง 

 

 

“โอ้ ข้าคิดถึงเจ้าจะแย่” คลิฟยื่นมือออกไปกอดแคลร์ แคลร์มองอย่างเย็นชาและถอยหลังไป ดยุกกอร์ตั้นกระแอมเบาๆ แคลร์จึงหยุดเดิน คลิฟเข้าไปกอดแคลร์อย่างกระตือรือร้น อย่างน้อยนี่ก็คือภาพที่คนอื่นๆ เห็น แต่สิ่งที่ไม่มีใครเห็นภายใต้ชุดคลุมเวทย์มนตร์ขนาดใหญ่ของคลิฟก็คือแคลร์เอื้อมมือไปดันหน้าอกของคลิฟไว้ไม่ให้เขาเข้ามาใกล้ 

 

 

ตอนนี้ทั้งห้องโถงกำลังเดือดดาล การปรากฏตัวของท่านอาจารย์คลิฟในตำนานในงานเลี้ยงคืนนี้ทำให้พวกเขาตะลึง แต่ภาพที่พวกเขาเห็นในตอนนี้ทำให้อึ้งยิ่งกว่า! ปรมาจารย์คลิฟเรียกหญิงบ้าผู้ชายว่าศิษย์ และยังกอดนางอย่างสนิทสนมด้วย 

 

 

องค์หญิงแมริสก็ตะลึงไปเช่นกัน นางเองก็นิ่งไปสักพักเลย 

 

 

คลิฟดึงมือออกแต่สายตาของเขาอยู่ที่ชายกระโปรงของแคลร์ ลูกไม้เป็นชั้นๆ ดูสวยงามและมีเสน่ห์มาก 

 

 

“ข้าบอกไว้เลย ถ้าท่านกล้าที่จะเปิดกระโปรงของข้าอีกครั้ง ข้าจะฆ่าท่าน” แคลร์บีบคำพูดลอดไรฟันของนาง 

 

 

คลิฟก็เข้าใจเรื่องนี้ เขาหัวเราะ และยื่นมือออกไปเพื่อลากแคลร์ไปอีกด้านโดยไม่สนใจดยุกกอร์ตั้นและองค์หญิงแมริสแม้แต่น้อย แคลร์จึงหันไปพยักหน้าขอโทษองค์หญิงแมริส 

 

 

แต่ดยุกกอร์ตั้นไม่ได้รู้สึกไม่พอใจอะไร คลิฟเป็นแบบนี้มาตลอด เขาไม่เคยสนใจเหล่าขุนนาง เพราะเขามีพลังอำนาจที่น่าภาคภูมิใจอยู่แล้ว ในทางกลับกัน ดยุกกอร์ตั้นมีกลับความสุขอย่างมาก บรรดาผู้ที่เข้าร่วมงานเลี้ยงในวันนี้ล้วนแต่เป็นคนมีหน้ามีตา ตอนนี้พวกเขาได้เห็นด้วยตาของตัวเองแล้วว่าแคลร์เป็นศิษย์ของปรมาจารย์คลิฟ 

 

 

องค์หญิงแมริสยังคงตกตะลึงและมองแคลร์ที่ถูกท่านปรมาจารย์คลิฟดึงออกไปด้วยสายตาว่างเปล่า 

 

 

ณ มุมหนึ่งของห้องโถง ดวงตาคู่หนึ่งมองเหตุการณ์ในห้องโถงอย่างเศร้าโศก “ราเซีย ไม่ต้องมองแล้ว” ชายหนุ่มข้างๆ ทนไม่ไหวแล้วพูดเบาๆ 

 

 

ราเซียไม่พูดอะไรและได้แต่จ้องแผ่นหลังของแคลร์ เวลานี้ใบหน้าของนางซีดเซียว อาการบาดเจ็บที่จินเหยียนสร้างไว้ก็ยังไม่หายดี แม้ว่านางจะได้รับการรักษาจากนักเวทย์ผู้รักษา แต่พลังยุทธ์ของจินเหยียนเกินกว่าจะรักษาให้หายขาดได้ ชายหนุ่มสองคนข้างๆ ราเซียคือศิษย์พี่สองคนที่ไปกับราเซียในวันนั้น นอกจากพวกเขาจะรู้สึกผิดที่ไม่สามารถช่วยราเซียได้ทันเวลา ในวันนั้นพวกเขายังสงสัยอย่างมากสงสัยว่าทำไมราเซียไม่กลับบ้านไปรายงานเรื่องนี้ให้ดยุกกอร์ตั้นทราบเพื่อให้ท่านดยุกลงโทษอัศวินผู้โหดร้ายคนนั้น หนึ่งในนั้นอดไม่ได้ที่จะถาม แต่ราเซียทำเพียงแค่หัวเราะเยาะ “ข้าไม่ใช่เด็กที่พออะไรไม่เป็นดังใจก็ร้องไห้ไปฟ้องผู้ใหญ่นะ” ราเซียมองแผ่นหลังของแคลร์อย่างเศร้าโศก ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่ 

 

 

“ราเซีย พวกเราจะล้างแค้นให้เจ้าเอง” ศิษย์พี่ขมวดคิ้วและพูดอย่างขมขื่น 

 

 

“ไม่ต้อง พวกพี่ไม่ต้องเข้ามายุ่งหรอก” ราเซียพูดอย่างเย็นชา 

 

 

“ทำไมล่ะ? เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเอาชนะอัศวินผู้นั้นได้หรือ? อัศวินผู้นั้นเป็นนักดาบชั้นยอดเลยนะ! ” ศิษย์พี่คนที่สองกัดฟันและพูดอย่างเป็นห่วง สิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้นเหนือความคาดหมายของพวกเขาอย่างมาก พวกเขาคิดไม่ถึงว่าอัศวินผู้นั้นจะลงมือ ยิ่งคิดไม่ถึงเลยว่าอัศวินผู้นั้นจะเป็นนักดาบที่เก่งกาจขนาดนี้ สิ่งที่นักเวทย์กลัวที่สุดคือการโจมตีระยะประชิดของอัศวินและลูกศรที่พุ่งมาท่ามกลางความมืดมิด สิ่งเหล่านี้เป็นการโจมตีที่รุนแรงสำหรับนักเวทย์ที่ต้องท่องคาถายืดเยื้อในการโจมตี 

 

 

ราเซียเงียบไม่พูดอะไร ดวงตาของนางล้ำลึก ในที่สุดตอนนี้นางก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ สาวผมทองที่มีใบหน้าเย็นชาไม่มีความอบอุ่มในสายตา นางเป็นพี่สาวที่งี่เง่าบ้าผู้ชายของตนเองจริงๆ หรือ? ตนเองถูกความอิจฉาริษยาบังสายตาและหัวใจจริงๆ นางมีอะไรที่ทำให้จินเหยียนภักดีได้ขนาดนั้นและทำให้ปรมาจารย์คลิฟรับนางเป็นศิษย์ นางจะต้องค้นหาคำตอบนี้ให้ได้ 

 

 

แคลร์ถูกคลิฟดึงไปที่ระเบียงที่ดูเหมือนจะมีคนๆ หนึ่งคนยืนอยู่ แต่บริเวณนี้เงียบสงบมากจนไม่มีใครกล้ามารบกวน ใครกันที่อยู่ที่นี่? 

 

 

“ราอูล เจ้ามาดูสิ นี่คือศิษย์คนใหม่ของข้า ถ้าไม่เชื่อที่ข้าพูด เจ้าก็ดูด้วยตาตัวเองเลย” คลิฟพูดอย่างไม่เกรงใจคนที่ยืนอยู่ตรงนั้น 

 

 

แคลร์มองคนที่อยู่ตรงระเบียง ชายผู้นี้มีใบหน้าเคร่งขรึม สวมเสื้อคลุมและหมวกสีแดง บนชุดของเขามีสัญลักษณ์รูปดวงอาทิตย์เล็กๆ แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นคนของวิหารแห่งแสง เขาคือพระคาร์ดินัล! เขามีสถานะรองจากพระสันตปาปา ครั้งนี้เขาเป็นตัวแทนของวิหารแห่งแสงมางานวันเกิดขององค์หญิง แม้ว่าอำนาจเทพและอำนาจกษัตริย์จะมีความขัดแย้งกันมาตลอด แต่ภายนอกพวกเขาก็ยังต้องเป็นหนึ่งเดียวกัน 

 

 

ขณะที่แคลร์มองชายชราตรงหน้า ชายชราก็มองแคลร์เช่นกัน ความประหลาดใจและความอิจฉาค่อยๆ ปรากฏขึ้นในสายตาของชายชราผู้นั้น 

 

 

………………………………………………………………………………..