บทที่ 8.3 ความลึกลับของวิชาเทพอมตะ (3)

Heavenly Jewel Change : มณีสวรรค์ผันชะตา

เมื่อไพฑูรย์ตาแมวสองสีของเขาเปล่งแสงสว่างออกมา โจวเหว่ยชิงก็พลันเห็นแสงวูบวาบเบื้องหน้า และรู้สึกว่าสภาพแวดล้อมรอบตัวเริ่มเปลี่ยนแปลงและพร่ามัวไป

ขณะนี้เป็นเวลากลางคืน และเนื่องจากมณีนี้มีสีแดงก่ำ แสงที่สาดกระจายออกมาจึงทำให้ทั่วทั้งกระโจมอาบย้อมไปด้วยสีแดง ในขณะเดียวกันนั้น ภาพร่างของวงล้อก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศต่อหน้าโจวเหว่ยชิง มันมีลักษณะโปร่งแสง ภายในวงล้อนั้นแบ่งเป็น 6 ส่วน และลอยติดอยู่เบื้องหน้าโจวเหว่ยชิงเสมอไม่ว่าเขาจะหันไปทางไหนก็ตาม เขายกมือขึ้นเพื่อลองสัมผัสมัน แต่ทันใดนั้นเขาก็ตระหนักได้ว่าฝ่ามือของเขากลับไปอยู่ข้างหลังวงล้อนั้น!

หลังจากพยายามอยู่สองสามครั้ง โบกมือไปมาชิดกับดวงตาของตัวเอง เขาพบว่ามือของเขาก็ยังคงอยู่ข้างหลังวงล้อประหลาดนี่! ในที่สุดเขาก็ตระหนักว่าวงล้อนี่ไม่ได้มีตัวตนอยู่จริงบนโลก มันปรากฏอยู่แนบชิดกับดวงตาของเขา และมีเพียงเขาเท่านั้นที่เห็นมัน

วงล้อนั้นแบ่งเป็น 6 ส่วน แต่ละส่วนมีสีแตกต่างกัน สีเขียว สีน้ำเงิน สีเงิน สีดำ สีเทา และโปร่งใสไม่มีสี และเมื่อเขาเพ่งความสนใจไปที่ส่วนใดส่วนหนึ่ง วงล้อก็จะหมุนไปจนส่วนนั้นอยู่ด้านบนสุด

ความรู้สึกแปลกๆ บางอย่างปรากฏขึ้นทันทีเมื่อโจวเหว่ยชิงเพ่งความสนใจไปยังส่วนสีเขียว เขาตระหนักได้ว่าร่างกายของตนคล่องแคล่วว่องไวมากขึ้น น้ำหนักตัวเบาหวิวราวกับขนนก นั่นทำให้เขารู้สึกราวกับว่าตนเองแทบจะบินได้ เมื่อยกมือซ้ายของเขาขึ้นมา เขาก็เห็นแสงสีเขียวสว่างวาบขึ้นระหว่างนิ้วของเขา ซึ่งปกตินี่ควรจะเป็นทักษะธาตุลมเช่นเดียวกับซ่างกวนปิงเอ๋อร์

สิ่งที่โจวเหว่ยชิงไม่รู้ก็คือ แท้จริงแล้วเป็นเพราะมณีธาตุของซ่างกวนปิงเอ๋อร์มีทักษะธาตุลม นั่นจึงทำให้เธอสามารถรอดชีวิตจากการเป็นเครื่องสังเวยของเขาได้ทั้งๆ ที่มันอันตรายเป็นอย่างยิ่ง หากตอนนั้น ซ่างกวนปิงเอ๋อร์ไม่ได้มีทักษะธาตุที่คล้ายกันกับเขา ผลลัพธ์สุดท้ายก็คือทั้งเธอ และเขาจะต้องตายทั้งคู่ด้วยแรงระเบิดจากร่างของโจวเหว่ยชิง

เมื่อกงล้อหมุนไปยังส่วนสีน้ำเงิน เขาก็รู้สึกชาไปทั่วทั้งตัวเนื่องจากมีสายฟ้าเกิดขึ้น แสงสีเขียวที่ข้อมือซ้ายของเขาถูกแทนที่ด้วยแสงสีน้ำเงินซึ่งสะท้อนแสงแปลบปลาบ และทั่วทั้งกระโจมก็สว่างขึ้นเป็นระยะด้วยแสงวูบวาบราวกับฟ้าผ่านั่น โจวเหว่ยชิงกระพริบตาและคิดกับตัวเอง เพราะฉะนั้นแล้ว ทักษะธาตุที่สองของข้าคือสายฟ้า? ปกติแล้วมณีธาตุมีทักษะธาตุแบบนี้ด้วยรึ? ทำไมข้าไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยล่ะ? ดูเหมือนพรุ่งนี้ต้องไปถามซ่างกวนปิงเอ๋อร์สักหน่อยแล้ว

เมื่อเขาเพ่งไปยังส่วนถัดไป วงล้อก็หมุนตัวอีกครั้ง และเปลี่ยนเป็นสีเงิน ในทันนั้นความรู้สึกชาหนึบ และกระแสไฟฟ้าก็หายไป แสงริบหรี่ของกระโจมก็ถูกแทนที่ด้วยแสงสีเงินนุ่มนวลซึ่งมีความเสถียรเป็นอย่างยิ่ง น่าประหลาดที่แสงสีเงินนี้ไม่ได้ส่องสว่างแค่บริเวณรอบๆ ข้อมือของโจวเหว่ยชิงเท่านั้น แต่กลับสว่างไสวอยู่รอบๆ ตัวเขา นอกจากนี้เขายังสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าเมื่อวงล้อหยุดอยู่ในส่วนนี้ พลังปราณสวรรค์ของเขาก็ถูกดูดกลืนออกไปอย่างหนักหน่วง อย่างไรก็ตาม เขาก็ยังไม่รู้แน่ชัดว่าทักษะธาตุสีเงินนี้มีความหมายว่าอย่างไร

และเนื่องจากเขาไม่รู้ว่าทักษะธาตุนี้คืออะไร เขาจึงเรียกมันว่าทักษะธาตุที่ไม่รู้จักไปก่อน…

เมื่อหมุนไปยังส่วนที่ 4 ซึ่งเป็นสีดำ ไม่ต้องสงสัยเลยว่านั่นเป็นทักษะธาตุมืดที่เขาได้รับมาจากบิดาของเขา ความมืดแผ่ปกคลุมไปทั่วทั้งกระโจม ทำให้เขาไม่สามารถมองเห็นแม้แต่มือของตัวเอง ยิ่งไปกว่านั้น อัตราการเผาผลาญพลังปราณสวรรค์ก็เกือบเท่ากับทักษะธาตุสีเงินที่ไม่รู้จักก่อนหน้า

ในที่สุดโจวเหว่ยชิงก็ตระหนักได้ว่าทักษะธาตุที่ไม่รู้จักนั้นควรจะเป็นอะไร เนื่องจากทักษะธาตุมืดนั้นเป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และในเมื่อทั้งทักษะธาตุมืดและทักษะธาตุที่ไม่รู้จักนั้นใช้พลังปราณสวรรค์เกือบเท่ากัน ดังนั้นเขาจึงคิดว่าไอ้เจ้าทักษะธาตุที่ไม่รู้จักนี้ต้องเป็น 1 ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเหมือนกันแน่นอน

นอกเหนือจากธาตุมืดแล้วก็มี ธาตุแสง ธาตุชีวิต และธาตุมิติ และดูเหมือนว่ามันจะไม่ใช่ธาตุแสงเสียด้วย เพราะธาตุแสง และธาตุมืดเป็นธาตุที่อยู่ขั้วตรงกันข้ามกัน และมันก็ไม่ใช่ธาตุชีวิต เพราะธาตุชีวิตจะต้องให้ความรู้สึกถึงพลังชีวิตที่เข้มข้นกว่านี้ ดังนั้น หลังจากตัดข้อที่เป็นไปไม่ได้ทั้งหมดออกแล้ว ก็เหลือเพียงแค่ธาตุมิติเท่านั้น

ใน 4 ทักษะธาตุที่ยิ่งใหญ่ที่สุด โจวเหว่ยชิงได้ครอบครองถึง 2 ทักษะธาตุ! นั่นทำให้เขารู้สึกปลาบปลื้มดีใจเป็นอย่างมาก ด้วยทักษะธาตุลม และสายฟ้า ร่างกายของเขาย่อมต้องแข็งแกร่งมาก ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีทักษะธาตุอื่นๆ อีกตั้ง 2 อย่างแน่ะ!

กงล้อหมุนอีกครั้ง คราวนี้มันไปหยุด ณ ส่วนที่ 5 และเมื่อมาถึงส่วนนี้ โจวเหว่ยชิงก็หยุดชะงักเป็นระยะเวลาสั้นๆ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่วนต่อไปอย่างรวดเร็ว เหตุผลก็ง่ายๆ เมื่อเขามาถึงส่วนที่ 5 ซึ่งเป็นสีเทานั้น ไอความเย็นที่เคยปรากฏขึ้นหลายครั้งหลายคราก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง นำพาความกระหายเลือดรุนแรงและอารมณ์ด้านลบอื่นๆ มาพร้อมกับมัน ปั่นป่วนอารมณ์ของเขาจนเกือบทำให้เขาสูญเสียการควบคุมตัวเอง ดังนั้นเขาจึงต้องรีบเปลี่ยนไปยังส่วนถัดไป

ในขณะที่เขาหมุนกงล้อไปที่ส่วนที่ 6 ซึ่งเป็นส่วนที่ไร้สี พลังปราณที่เหลืออยู่ทั้งหมดสามส่วนของเขาก็ถูกใช้ไปจนไม่เหลือ โจวเหว่ยชิงรู้สึกว่าร่างกายของเขาเริ่มบิดเบี้ยวและสายตาของเขาก็พร่ามัว ทันใดนั้นเขาก็พลันรู้สึกราวกับร่างกายของเขานั้นเปราะบางจนแทบจะแตกสลายได้ง่ายๆ จากนั้นกงล้อทักษะธาตุก็หายไปในพริบตา และแสงของไพฑูรย์ตาแมวสองสีก็อ่อนลง

โจวเหว่ยชิงหอบอย่างหนัก เขาหวาดกลัวจนสุดหัวใจ ทักษะธาตุก่อนหน้านี้ยังคงใช้ได้ แต่ทักษะธาตุ 2 ส่วนสุดท้ายเหล่านั้นคืออะไรกันแน่? ทักษะธาตุที่ 5 ยังคงอธิบายได้เล็กน้อยว่ารัศมีความชั่วร้าย และกระหายเลือดนั้นมีความเป็นไปได้ว่ามันคือทักษะธาตุปีศาจ แต่อย่างไรก็ตาม ทักษะธาตุส่วนสุดท้ายนั้นคืออะไรกันแน่? ทำไมพลังปราณสวรรค์ของเขาถึงถูกใช้ไปจนหมดตอนที่เพ่งไปยังส่วนนั้น?

หลุมดำจากจุดตายทั้ง 4 ที่ถูกทะลวงนั้นกำลังเร่งดูดซับปราณสวรรค์จากบรรยากาศรอบตัวเข้ามาแทนที่ปราณสวรรค์ที่ถูกใช้ไป นั่นทำให้เขารู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย หลังจากนั้นไม่นานอารมณ์ของเขาก็ค่อยๆ สงบลง และโจวเหว่ยชิงก็รับรู้บางอย่างเกี่ยวกับทักษะธาตุที่ 6 นั่นก็คือ แม้ว่าเขาจะไม่สามารถคาดเดาทักษะธาตุที่แท้จริงของมันได้ แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าตนเองมีทักษะธาตุที่ 6 อยู่จริงๆ!

ไพฑูรย์ตาแมวสองสีเป็นมณีที่คุณสมบัติพิเศษเฉพาะตัวมากเนื่องจากมันจะเกิดกับจ้าวมณีสวรรค์ที่มีทักษะธาตุมากกว่า 4 ชนิดเท่านั้น แม้ว่าเขาจะไม่สามารถตรวจสอบทักษะธาตุที่ 6 ได้ แต่ทักษะธาตุนี้ก็ค่อนข้างคล้ายคลึงกับทักษะธาตุมิติที่ยังมีคุณสมบัติค่อนข้างคลุมเครือ อย่างไรก็ตาม ความจริงที่ว่ามันดูดกลืนพลังปราณสวรรค์เป็นปริมาณมากในระยะเวลาชั่วพริบตานั้นย่อมหมายถึงระดับพลังปราณสวรรค์ปัจจุบันของเขาไม่เพียงพอที่จะใช้พลังของทักษะธาตุนี้

เมื่อคิดได้ดังนั้น หัวใจของโจวเหว่ยชิงก็สงบลงได้ การมีปราณสวรรค์ไม่เพียงพอไม่ได้หมายความว่ามันจะเป็นเช่นนั้นตลอดไป ตราบใดที่เขายังคงฝึกฝน และทะลวงผ่านจุดตายของวิชาเทพอมตะไปได้เรื่อยๆ โจวเหว่ยชิงเชื่อว่าวันหนึ่งเขาย่อมใช้ประโยชน์จากทักษะธาตุนั้นได้

……………………………………………………………