ตอนที่ 33 เงินสี่สิบสลึง

แม่สาวเข็มเงิน

ตอนที่ 33 เงินสี่สิบสลึง

หลีโผจื่อเบะปากอย่างเหยียดหยาม “ไม่ปัญญาอ่อนรึ ? ถ้าไม่ปัญญาอ่อนแล้วจะถูกคนหลอกแบบนี้หรือ ?!” ลูกตาของหลีโผจื่อหมุนไปมาเล็กน้อย จู่ ๆ นางก็ยื่นมือที่เหี่ยวย่นของนางมาตรงหน้าเจียงหยุนชาน และพูดขึ้นเสียงสูง “หยุนชาน ย่าว่าเจ้าเอาเงินให้น้องสาวปัญญาอ่อนของเจ้าใช้อย่างสุรุ่ยสุร่าย สู้เอามาให้คนในครอบครัวใช้ไม่ดีกว่าหรือ ? …สุขภาพของพี่สาวเจ้าไม่ค่อยดีนัก และเมื่อวันก่อนน้องชายเจ้ายังถูกของเข้าอีกต่างหาก ตอนนี้ครอบครัวเรากำลังต้องการเงินอยู่พอดี” หลีโผจื่อสั่นฝ่ามือราวกับขอเงิน

เจียงหยุนชานลูบคลำบนตัวอย่างลำบากใจ จากนั้นเขาก็ล้วงทองแดงออกมาสามแผ่น แต่เขากลับกำทองแดงสามแผ่นนั้นไว้แน่น

นี่เป็นเงินที่เขาเก็บออมมาตลอดระยะเวลานี้ เพื่อจะได้นำไปซื้ออาหารดี ๆ มาบำรุงร่างกายให้น้องสาว

หลีโผจื่อเห็นการกระทำของเจียงหยุนชานอย่างเด่นชัด นางหรี่ตาลงเล็กน้อย พลางเอื้อมมือเพื่อจะแย่งทองแดงนั้นมา

เจียงป่าวชิงโยนงานเย็บปักถักร้อยลงบนเตียงอิฐ นางพูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา แต่บนใบหน้ากลับยังคงแต่งแต้มไปด้วยรอยยิ้ม “ท่านย่าสองเจ้าคะ คนอายุเท่านี้ เขาคงไม่หน้าด้านกันหรอกใช่ไหมเจ้าคะ ?”

หลีโผจื่อก่นด่าเสียงดังทันที “เจ้าเท้าเล็ก! เจ้าว่าใครหน้าด้านกัน ?!”

เจียงป่าวชิงหัวเราะคิกคัก “ใครรับข้าก็ด่าคนนั้นแหละเจ้าค่ะ  ท่านย่าสอง ท่านเอาแต่บอกว่าในบ้านไม่มีเงิน แล้วทำไมเมื่อวันก่อน ข้าถึงเห็นพี่เอ้อยาไปซื้อเครื่องสำอางกล่องละสี่สิบสลึงได้ล่ะเจ้าคะ ?  เหตุใดข้าใช้เงินไม่กี่สลึงเพื่อซื้อเศษผ้ากลับเป็นการทำลายชื่อเสียงตระกูล  แต่พี่เอ้อยาใช้เงินสี่สิบสลึงเพื่อซื้อเครื่องสำอางกล่องเดียวถึงไม่เป็นการทำลายชื่อเสียงตระกูลล่ะเจ้าคะ ?”

ว่าอย่างไรนะ ? สี่สิบสลึงอย่างนั้นรึ ?!

หลีโผจื่อไม่ทันได้คิดเล็กคิดน้อยต่อคำด่าที่แฝงอยู่ในคำพูดเมื่อสักครู่ของเจียงป่าวชิง ตอนนี้นางรู้สึกปวดใจจนใกล้จะพ่นเลือดออกมาได้อยู่แล้ว

ในบรรดาหลานสาวสองคน เนื่องจากเจียงเอ้อยาช่างพูดช่างจา ทั้งยังเป็นการเป็นงาน หากเทียบกับเจียงต้ายาแล้ว ถือว่าหลีโผจื่อรักเจียงเอ้อยามากกว่าเล็กน้อย แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมให้เจียงเอ้อยาใช้เงินฟุ่มเฟือยเช่นนี้

สี่สิบสลึงเลยเชียว!

เมื่อนึกถึงจำนวนเงิน หลีโผจื่อก็รู้สึกปวดใจจนแทบจะเป็นลมอยู่รอมร่อ  ในใจของนาง ทรัพย์สินทั้งหมดในบ้านล้วนเป็นของเจียงโหย่วฉายหลานชายคนเล็กของนาง ไม่ว่าหลานสาวจะดีขนาดไหน สุดท้ายก็ต้องแต่งเข้าไปในบ้านคนอื่นอยู่ดี

เจียงเอ้อยาใช้เงินสี่สิบสลึงหมดในครั้งเดียว นั่นเท่ากับว่านางได้ทำลายทรัพย์สินราคาสี่สิบสลึงของหลานชายของนางน่ะสิ

เงินตั้งสี่สิบสลึง สามารถซื้อเนื้อมาบำรุงให้หลานชายของนางได้ตั้งเท่าไหร่!

เมื่อนึกถึงตรงนี้ ในใจของหลีโผจื่อก็ราวกับมีมีดกรีดอยู่ในนั้น

ถ้าหากเทียบกับเงินสี่สิบสลึงแล้ว เงินไม่กี่สลึงที่เจ้าเท้าเล็กเจียงป่าวชิงใช้ไปก็ไม่มีค่าพอให้สนใจ  ทันใดนั้นหลีโผจื่อก็ไม่สนใจที่จะเอาเงินไม่กี่สลึงของเจียงหยุนชานอีก นางพูดถึงเจียงป่าวชิงและทิ้งท้ายไว้หนึ่งประโยค “หากเจ้าผลาญเงินเช่นนี้อีก ข้าจะตีขาเจ้าให้หัก!” จากนั้นนางก็รีบออกไปคิดบัญชีเจียงเอ้อยาทันที

เวลานี้บังเอิญว่าเจียงเอ้อยาอยู่บ้านพอดี ไม่นาน ในห้องดินเหนียวที่เจียงต้ายากับเจียงเอ้อยาพักอาศัยอยู่ก็มีเสียงก่นด่าและเสียงตบตีของหลีโผจื่อดังออกมา อีกทั้งยังได้ยินเสียงร้องไห้ของเจียงเอ้อยาดังมาเป็นระยะ ๆ อีกด้วย  การเคลื่อนไหวภายในห้องนั้นฟังดูแล้วรุนแรงอยู่พอสมควร

แต่เจียงป่าวชิงกลับไม่สนใจอะไรขนาดนั้น นางปิดประตูที่หลีโผจื่อถีบมันเพื่อเปิดออกเมื่อสักครู่ เมื่อปิดประตูแล้ว เสียงเอะอะโวยวายถึงจะเบาลงเล็กน้อย

แต่เจียงหยุนชาน เขายังคงมองออกไปนอกหน้าต่างด้วยความเป็นกังวลเล็กน้อย “พี่เอ้อยา…”

เจียงป่าวชิงถอนหายใจยาว “เฮ้อ… พี่ชายที่แสนดีของข้า พี่อย่าเป็นห่วงคนอื่นเลย เมื่อก่อน ทองแดงเหล่านั้นที่พี่ให้ข้าไว้ ก็เป็นเจียงเอ้อยานี่แหละที่เอาไป ส่วนเรื่องที่นางซื้อเครื่องสำอางนั้น ข้าไม่ได้กุเรื่องขึ้นมาเอง  ไม่กี่วันก่อนนางยังมาอวดที่นอกหน้าต่างอยู่ทุกวันว่าแป้งที่นางซื้อมาใหม่นั้นเนื้อเนียนละเอียดแค่ไหน ยามที่ทาลงบนใบหน้าแล้วสวยแค่ไหนอยู่เลย เจียงเอ้อยาทำแบบนี้ ท่านย่าสองหลีโผจื่อก็ต้องรู้เรื่องนี้ไม่ช้าก็เร็ว”

เจียงหยุนชานไม่รู้ว่ามีเรื่องแบบนี้ด้วย สีหน้าของเขาเปลี่ยนไปเล็กน้อย สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ… ป่าวชิง ข้าทำให้เจ้าไม่ได้รับความเป็นธรรมเสียแล้ว”

“ข้าไม่ได้ไม่ได้รับความเป็นธรรมสักหน่อย” เจียงป่าวชิงตอบกลับเสียงใส

ได้ชีวิตใหม่โดยไม่มีสาเหตุ อีกทั้งยังสามารถกลับมามีชีวิตได้อีกครั้ง ข้าไม่ได้รับความเป็นธรรมที่ไหนกันล่ะ ?

เจียงป่าวชิงหยิบงานเย็บปักถักร้อยที่ถูกหลีโผจื่อขัดจังหวะเมื่อสักครู่ขึ้นมา จากนั้นก็ทำการเย็บอย่างคุ้นเคย และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาไปในตัว “พี่ชาย ตอนนี้พี่ใกล้จะสอบแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ?”

พูดถึงเรื่องนี้ สีหน้าของเจียงหยุนชานก็ดีขึ้นไม่น้อย มีราศีปรากฏบนใบหน้าอย่างรำไร “อีกสามวัน นี่เป็นการสอบครั้งแรกของพวกเรา ครูผู้สอนกลัวว่าพวกเราจะกดดันมากเกินไป จึงอนุญาตให้พวกเรากลับมาพักผ่อนที่บ้านได้หนึ่งวัน”

รอให้เขาสอบผ่านการสอบในท้องถิ่นและสอบได้เป็นตำแหน่งถงเซิงก่อน ถึงตอนนั้นเขาก็จะขยับเข้าใกล้ตำแหน่งซิ่วฉายอีกขั้น และเมื่อเขาเป็นซิ่วฉายแล้ว เขาก็จะสามารถเก็บอาหารได้ ถึงตอนนั้นก็จะมีเบี้ยเลี้ยงเป็นข้าวหนึ่งเซิงทุกวัน อีกทั้งยังจะได้รับปลาและเครื่องปรุงจากรัฐบาลอีกด้วย และเขาจะได้ให้ชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีกับน้องสาวเสียที

*เซิง คือ ลิตร

เจียงหยุนชานรู้สึกมีความหวังในทุกวัน

เจียงป่าวชิงพูดขึ้นยิ้ม ๆ “พี่ทำใจให้สบาย พี่จะต้องทำได้อย่างแน่นอน”

เจียงหยุนชานยิ้มอย่างเหนียมอายเล็กน้อย เขาพูดขึ้น “การสอบในท้องถิ่นเป็นเพียงก้าวแรกบนเส้นทางการสอบขุนนาง การเรียนรู้ไม่มีที่สิ้นสุด ข้ายังต้องเรียนอีกมาก”

สองพี่น้องสนทนากันสักพักใหญ่ ไม่นาน เข็มขัดในมือของเจียงป่าวชิงก็ทำเสร็จพอดี นางกัดด้ายให้ขาด จากนั้นก็ถือให้เจียงหยุนชานดูราวกับกำลังจะมอบของล้ำค่าอย่างไรอย่างนั้น “พี่ดูสิ เข็มขัดที่ข้าทำให้พี่เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ ?”

เจียงหยุนชานรู้ว่านี่ทำจากเศษผ้าที่เจียงป่าวชิงซื้อมา เมื่อเขานำมันมาดูอย่างละเอียด เขาก็อดไม่ได้ที่จะอุทานอย่างตกใจ “ป่าวชิง เป็นไปได้หรือไม่ว่าเจ้ามีความสามารถพิเศษด้านการเย็บปักถักร้อย ? รอยเย็บนี่เนียนเรียบมาก ดีมากเลยจริง ๆ”

เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะของเจียงหยุนชานกับเจียงป่าวชิง ล้วนถูกเย็บโดยเจียงหยุนชานทั้งสิ้น เขาถูกชีวิตบังคับให้เป็นงานเย็บปักถักร้อย จึงสามารถแยกแยะได้ว่างานเย็บปักถักร้อยของเจียงป่าวชิงนั้นดีหรือไม่ดี

เจียงป่าวชิงยิ้มอย่างดีใจ “เมื่อก่อนดูพี่เย็บเสื้อผ้าบ่อย ๆ ข้าจึงค่อย ๆ ซึมซับและเป็นโดยไม่รู้ตัวเลยเจ้าค่ะ”

มีความสามารถพิเศษที่ไหนกัน ? ก็แค่ผลพลอยได้ที่ได้จากการฝังเข็มในยุคปัจจุบันเท่านั้นเอง

ตอนนั้น ‘เธอ’ กระตือรือร้นที่จะตัดเย็บเสื้อผ้าให้หุ่นที่ใช้สำหรับเรียนฝังเข็ม อย่าว่าแต่เสื้อผ้าที่ใส่อยู่เป็นประจำเลย แม้แต่สามสิ่งที่ทำให้หญิงสาวล้มละลายอย่างชุดโบราณ ชุดนักเรียนมัธยมปลาย หรือกระโปรงแฟชั่น ‘เธอ’ ก็เชี่ยวชาญเป็นอย่างดี

แต่ตอนนั้นนั่นถือเป็นเพียงงานอดิเรก ใครจะไปคิดว่ามันจะมีประโยชน์เอาในชีวิตที่จับพลัดจับผลูมาอยู่ในยุคเก่าเช่นนี้

เจียงหยุนชานเชื่อคำพูดของเจียงป่าวชิง ถึงอย่างไรในใจของเขา น้องสาวที่หายจากอาการป่วยนั้น ราวกับทวยเทพบนสรวงสวรรค์กำลังพยายามชดเชย ‘โรคปัญญาอ่อน’ ของนางเมื่อปีก่อน ๆ ตอนนี้นางถึงได้เฉลียวฉลาดแบบนี้อย่างไรล่ะ

เจียงป่าวชิงยิ้มตาหยี นางค้นเศษผ้าอีกอันออกมาจากใต้เตียงอิฐ จากนั้นแบ่งเศษผ้าที่ซื้อมาออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกเป็นเศษผ้าที่เป็นเศษเล็กเศษน้อย เหมาะแก่การทำกระเป๋าเล็ก ๆ หรือนำมาเย็บติดเข็มขัดก็ได้ ส่วนที่สองนำไปวางไว้อย่างประเจิดประเจ้อ เพื่อป้องกันคนในตระกูลเจียงถือโอกาสตอนที่นางไม่อยู่เข้ามารื้อของ และเพื่อรับมือกับคนในตระกูลเจียงด้วยเช่นกัน

นอกจากนี้ยังมีห่อผ้าอีกอัน ซึ่งเป็นอันที่นางซ่อนไว้ใต้เตียงอิฐ ข้างในล้วนเป็นเศษผ้าขนาดใหญ่ที่สามารถนำมาทำเสื้อผ้าใหม่ได้ทั้งหมด และห้ามให้คนในตระกูลเจียงรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้น คำพูดที่บอกว่าซื้อเศษผ้ามาในราคาไม่กี่สลึงก็จะใช้ไม่ได้อีกต่อไป

และพวกเขาอาจสงสัยได้ว่าเหตุใดนางถึงได้มีทองแดงมากมายขนาดนั้น

เจียงป่าวชิงหยิบเสื้อคลุมยาวตัวหนึ่งที่ทำเสร็จประมาณหนึ่งแล้วออกมาจากในห่อผ้า จากนั้นนางก็สะบัดเล็กน้อยและให้เจียงหยุนชานดู “พี่หยุนชาน ข้าทำชุดให้พี่โดยการกะขนาดเอาเอง”

เจียงหยุนชานรู้สึกเพียงแค่ว่าเหมือนมีอะไรบางอย่างมากระทบหัวใจของตัวเองอย่างแรงทำนองนั้น

ในความเป็นจริงเขาเป็นเพียงเด็กวัยสิบสามขวบเช่นเดียวกับเจียงป่าวชิง เขาสูญเสียพ่อแม่ไปตั้งแต่ยังเล็กและอาศัยอยู่กับคนอื่น อีกทั้งยังต้องช่วยเหลือน้องสาวที่สติปัญญาผิดปกติ

เขารู้ว่าตนเองไม่ได้มีความสามารถอื่น จึงทำได้เพียงตั้งใจเรียนเพื่อให้น้องสาวของเขามีชีวิตที่ดีในอนาคต