เล่มที่ 1 บทที่ 29 จุดจบของมิจฉาชีพ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

หลินเมิ้งหยาเดินนำหน้าเด็กหนุ่มและหรูเยว่ ด้านหลังมีองครักษ์อีกสี่คน สุดท้ายคือชายร่างกำยำโฉดชั่วทั้งสาม

    เมื่อพวกเขาเดินเข้าไปในโรงน้ำชาแล้ว ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ จึงแยกย้ายกันกลับไป

    “แม่นางน้อย ตกลงเจ้าเรียกพวกข้าเข้ามายังโรงน้ำชาแห่งนี้เพื่อคุยอะไรกันแน่?” เขาส่งยิ้มเจ้าเล่ห์ สายตาโลมเลีย แม้แต่น้ำเสียงยังเจือไว้ซึ่งความหยาบคาย

    พวกเขาเป็นกลุ่มอันธพาลขึ้นชื่อในละแวกนี้ ชั่วยามนี้พวกเขามองคนตรงหน้าเป็นเพียงคนธรรมดา

    หลินเมิ้งหยานั่งอยู่อีกฝั่งและปล่อยให้เสี่ยวเอ้อ1เสิร์ฟน้ำชาหอมกรุ่นอย่างไม่รีบร้อน จากนั้นนางดันผลไม้อีกสามจานไว้ตรงหน้าเด็กหนุ่ม

    “กินสิ กินเสร็จแล้วข้าจะไปส่งเจ้ากลับบ้าน” เด็กหนุ่มมองหน้าพี่สาวเทพธิดาตรงหน้าด้วยความตื่นตะลึง นี่นาง…ไม่กลัวจริงๆ หรือ?

    “นังเด็กบ้า ข้าถามเจ้าอยู่นะ!” ชายร่างกำยำคิดไม่ถึงเลยว่าหลินเมิ้งหยาจะไม่แยแสตนเอง ความโกรธปะทุขึ้น คำพูดคำจาจึงเริ่มหยาบคาย

    สายตาเย็นชา ริมฝีปากหยักยิ้มแข็งทื่อประดับอยู่บนใบหน้าของหลินเมิ้งหยา

    “ตีพวกเขา ตีให้เจ็บปวดปางตายแล้วโยนออกนอกหน้าต่าง จัดการฟาดคางให้หัก ข้าได้ยินคำพูดของพวกเขาแล้วปวดหัวจริง” องครักษ์ทั้งสี่เตรียมพร้อมไว้อยู่นานแล้ว เมื่อได้รับคำสั่งจากพระชายา พวกเขาจึงเข้าไปต่อยตีกับพวกคนชั่วทั้งสามจนปางตาย

    หลินเมิ้งหยานั่งจิบชาบนโต๊ะด้วยท่าทางผ่อนคลาย เสียงร้องอู้อี้ดังขึ้นที่ด้านข้าง เหตุที่เสียงร้องเป็นเช่นนั้นก็เพราะทหารองครักษ์ได้ทำการตีคางของพวกเขาจนแตกหักเรียบร้อยแล้ว

    หลังจากถูกตีไปได้สักพัก ใบหน้าของคนทั้งสามบวมปูด สายตาเจ็บแค้นจับจ้องมองทางนังวายร้ายตรงหน้า ทว่าหลินเมิ้งหยากลับแค่นหัวเราะเสียงเย็น จากนั้นจับมือของเด็กหนุ่มแล้วพาเดินมาหยุดยืนที่ด้านหน้าพวกเขา

    “ไม่ต้องกลัว พี่สาวคนนี้ขอถามเจ้าหน่อยว่าในบรรดาชายสามคนนี้ ผู้ใดเป็นคนทำให้แขนเจ้าเคลื่อนเช่นนั้น?” น้ำเสียงอ่อนโยนแต่หวานใส ทว่าในขณะเดียวกันมันกลับเสมือนเสียงที่ดังขึ้นมาจากขุมนรก

    เด็กหนุ่มผงะ สุดท้ายนิ้วมือชี้ไปทางชายร่างกำยำที่มีเครารกรุงรัง

    ชายคนนั้นคิดไม่ถึงเลยว่าเด็กหนุ่มจะมีความกล้าเช่นนี้ เจ้านั่นกล้าชี้มาที่เขา เหตุเพราะคางของเขาแตกไปแล้วเรียบร้อย ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงจ้องตาเขม็ง

    “ดี เจ้าคอยดูให้ดีว่าจุดจบของคนผู้นี้จะเป็นเช่นไร” หลินเมิ้งหยากระตุกยิ้ม มือบอบบางกดลงบนบ่าของชายผู้นั้น

    เสียง “แกร๊ก” ดังขึ้นสี่ครั้ง ชายร่างกำยำจ้องมองใบหน้ายิ้มแย้มของหลินเมิ้งหยาด้วยความหวาดกลัว แขนทั้งสองข้าง อีกทั้งยังท่อนขาที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามบิดเบี้ยวโค้งงอจนผิดรูป

    “ถ้าเช่นนั้นข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง ใครเป็นผู้ผลักเจ้าออกมาจนชนรถม้า?” คำพูดของหลินเมิ้งหยามิต่างอะไรจากฝันร้ายของชายที่เหลืออีกสองคน

    ราวกับว่าเด็กหนุ่มถูกการกระทำของหลินเมิ้งหยาทำให้ตื่นตระหนก ดวงตากะพริบขึ้นลง ก่อนจะชี้นิ้วไปทางชายอีกคน

    “พวกเจ้าสองคนโยนเขาออกไปเป็นคนแรก อีกเดี๋ยวจงทำให้เขาพิกลพิการ บาดเจ็บปางตาย” องครักษ์ทั้งสองรีบฉุดร่างของชายคนนั้นขึ้น “พลั่ก ตุ้บ” เสียงดังขึ้น ชายร่างกำยำคนนั้นถูกโยนลงไปบนพื้นถนน ประกายในดวงตาส่องแสงริบหรี่

    หลินเมิ้งหยาหันหน้ากลับมาทางชายร่างกำยำที่ปากเต็มไปด้วยคำพูดหยาบคาย นางกระตุกยิ้มเย็นยะเยือก ก่อนจะขอเข็มเย็บรองเท้าจากร้าน

    เล็งจุดฝังเข็ม ก่อนจะแทงเข้าไปที่ท้องน้อย สีหน้าของชายผู้นั้นขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ นัยน์ตาเผยให้เห็นความหวาดกลัว

    “เข็มนี้ถือเสียว่าเป็นการสั่งสอน ข้าจะรอดูว่าเจ้าจะยังกล้าข่มเหงรังแกอิสตรีอีกหรือไม่”

    ขณะเดียวกัน ทุกคนภายในห้องต่างพากันสูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด

    พระชายาพระองค์นี้เลือดเย็นยิ่งนัก!

    “หากมีใครกล้านำเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ไปป่าวประกาศแล้วละก็ เตรียมตัวไปรับโทษได้!” สายตาเยือกเย็นกวาดมององครักษ์ทั้งสี่ แม้นพวกเขาจะเคยออกรบและต้องเจอกับคมหอกคมดาบมามากมาย ทว่าแผ่นหลังก็อดไม่ได้ที่จะเย็นวาบ

    สวรรค์โปรด แม้จะเคยพบกับผู้นำทัพที่รักการทรมานในกองทัพมามากมาย แต่มิมีผู้ใดเหมือนกับพระชายาที่สามารถทรมานคนจนปางตาย ทั้งที่ใบหน้ายังกระตุกยิ้มและเอื้อนเอ่ยอยู่

    “พ่ะย่ะค่ะ!” ล้อเล่นหรืออย่างไร ต่อจากนี้ไปหากพบเห็นพระชายาที่ใดคงต้องหลีกเลี่ยงเสียแล้วกระมัง ใครจะกล้าเข้าไปฟ้องเอาความผิดกันล่ะ!

    “เอาล่ะ โยนออกไปให้หมด วางใจเถอะ ไม่ตายง่ายๆ หรอก” องครักษ์ทั้งสี่ทำตามคำสั่งอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียว บนถนนหน้าโรงน้ำชาก็ปรากฏร่างกึ่งเป็นกึ่งตายของชายเหล่านั้น

    “ฮูหยิน…ท่าน…เมื่อครู่พวกเขาตามคนมาช่วยแล้ว ท่านรีบกลับไปเถิด หากพวกเขาจับตัวท่านได้ ท่านจบเห่แน่!” เด็กหนุ่มร้องตะโกนพลางกระตุกชายเสื้อของหลินเมิ้งหยา ใบหน้าเผยให้เห็นอาการหมดหวัง

    เป็นเพราะเขา พี่สาวเทพธิดาคนนี้จึงต้องถูกคนชั่วช้าเหล่านั้นรังควาน อีกเดี๋ยวหากคนกลุ่มนั้นมาถึง แม้จะต้องสละชีวิต เขาก็จะต้องช่วยพี่สาวเอาไว้ให้ได้!

    “ตามคนมา? ไม่เป็นไรหรอก มีเท่าไรก็ขนมาให้หมด ข้าไม่กลัว นั่งลงเถิด ดื่มชาแล้วค่อยๆ กินขนม” หลินเมิ้งหยากลับหัวเราะ จากนั้นใช้ผ้าเช็ดปากแล้วดื่มชาต่อ

    เวลาเพียงธูปครึ่งดอก เหล่าอันธพาลโฉดชั่วสวมเสื้อผ้าหลากสีสันราวยี่สิบกว่าคนเข้ามาปิดล้อมโรงน้ำชาเอาไว้

    ดูพี่น้องของเรานั่นสิ บาดเจ็บปางตายแต่กลับถูกโยนทิ้งไว้ข้างถนน พี่ใหญ่ของกลุ่มอันธพาลโกรธจนขบฟันแน่น

    เขาควบคุมพื้นที่นี้อยู่มานานนับสิบปี ไม่เคยมีใครกล้าหือกล้าอือ คิดไม่ถึงเลยว่าวันนี้จะถูกผู้หญิงคนหนึ่งแหย่จมูก!

    “พี่น้องทั้งหลาย ช่วยกันพังโรงน้ำชาแห่งนี้เสีย จับตัวนังผู้หญิงพวกนั้นมาให้ได้ พวกเราจะแก้แค้นแทนพี่น้องของเรา!” ชายคนนั้นถือมีดไว้ในมือ ดวงตาจับจ้องมองทางโรงน้ำชาและคิดจะพุ่งตัวเข้ามา ทว่าอีกหนึ่งวินาทีต่อมา ลูกธนูหนึ่งดอกพุ่งตกลงมาด้านหน้าฝีเท้า

    อีกเพียงนิดเดียวธนูดอกนี้ก็เกือบจะพุ่งทะลุร่างกายของเขาแล้ว ขณะเดียวกันแผ่นหลังของพี่ใหญ่มีเหงื่อผุดจนเปียก

    “พระชายาอวี้ประทับอยู่ที่นี่ ใครกล้าเข้ามา ตาย!”

    ลำไส้ของพี่ใหญ่เริ่มบิดมวน

    หาเรื่องใครไม่หาเรื่อง ดันไปหาเรื่องพระชายาของท่านอ๋องอวี้ อย่าว่าแต่ความโหดเหี้ยมอำมหิตของท่านอ๋องอวี้เลย แต่ใครที่กล้าสร้างปัญหากับราชวงศ์ คนเหล่านั้นจะต้องโทษตายสถานเดียว!

    แต่เหตุใดพระชายาจึงมายังที่แห่งนี้เล่า

    “ขอให้พระชายาอายุยืนหมื่นปี ข้าน้อยมาช้า ทำให้พระชายาต้องตื่นตระหนก พระชายาได้โปรดลงโทษข้าน้อยด้วยเถิด!” แม่ทัพทหารม้าที่ทำหน้าที่ดูแลความสงบเรียบร้อยของเมืองหลวงปาดเหงื่อเพื่อรอรับคำสั่งลงทัณฑ์

    “ลุกขึ้นเถิดท่านแม่ทัพ เมื่อครู่เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิดเท่านั้น เปิ่นเฟย2ไม่คิดเอาผิดกับท่านหรอก แต่ไม่รู้ว่าท่านอ๋อง…” หลินเมิ้งหยาก้าวเท้าเดินออกจากโรงน้ำชา ใบหน้าแสดงให้เห็นถึงความอึดอัดใจ

    แม่ทัพทหารม้ารีบสั่งให้คนจับตัวอันธพาลทั้งสาม ก่อนจะเอ่ยตอบด้วยความเคารพ “เจ้าสามคนนั้นบังอาจล่วงเกินพระองค์ ตอนนี้ถูกทหารองครักษ์จัดการเรียบร้อยแล้ว ลำดับต่อไปข้าน้อยจะนำคนเหล่านี้ไปไต่สวนและแจ้งให้พระชายาทรงทราบพ่ะย่ะค่ะ!”

    หลินเมิ้งหยาพยักหน้าลงเล็กน้อย นางมิได้เผยแววตาแห่งความพึงพอใจออกมาให้เห็น อีกทั้งยังไม่ได้เรียกร้องสิ่งใดเพิ่มเติม

    แม่ทัพทหารม้าปาดเหงื่อ ทว่าในใจกำลังก่นด่าพวกอันธพาลที่มีตาหามีแววไม่เหล่านี้

    ท่านอ๋องอวี้เป็นผู้ที่ไม่ควรเข้าไปข้องแวะด้วยอย่างยิ่ง โชคดีที่ตัวเองมาทันจึงไม่เกิดเรื่องอันใดขึ้นกับพระชายา มิเช่นนั้นเกรงว่าต่อให้เขาจะมีหัวสักกี่หัวก็คงไม่พอให้หลุดจากบ่า!

    ภายในรถม้า หรูเยว่และเด็กหนุ่มต่างพากันมองทางหลินเมิ้งหยาด้วยแววตาชื่นชม

************************

1 เสี่ยวเอ้อร์ คือเด็กเสิร์ฟในโรงน้ำชา

2 เปิ่นเฟย คือคำเรียกแทนตัวเองของพระชายา