เล่มที่ 1 บทที่ 28 มิจฉาชีพ

ข้ามเวลานางพญาแพทย์พิษ

ในตอนที่หลินเมิงหยายังสติฟั่นเฟือน นางไม่มีเรื่องอื่นใดให้ทำ แต่ถึงกระนั้นนางกลับยังไม่ลืมเนื้อหาในหน้าหนังสือ ดังนั้นข้อมูลต่างๆ จึงยังคงวนเวียนอยู่ในหัว

    “โอ้! ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้นี่เอง! แต่คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูมอบแหวนหยกให้กับเถ้าแก่ร้านไปแล้ว ท่านไม่กลัวเขาจะไม่นำมันมาคืนหรือเจ้าคะ?”

    เพียงได้เห็นแหวนหยกวงนั้นก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นของมีราคา ปกติแล้วคุณหนูของนางไม่มีเครื่องประดับอันใด หากเจ้าของร้านเกิดละโมบขึ้นมา คุณหนูของนางไม่ขาดทุนหรอกหรือ?

    “เขาไม่กล้าหรอก” เสียงสงบนิ่งแต่เจือไว้ซึ่งความมั่นใจ หลินเมิ้งหยาไม่ตอบคำถามเกี่ยวกับเครื่องประดับเหล่านั้นอีก ตอนนี้ความสนใจทั้งหมดของนางอยู่ที่หนังสือ

    เนื้อหาส่วนใหญ่ของคัมภีร์หลินอันมักจะเกี่ยวกับงานบ้านงานเรือนของราชวงศ์ก่อนหน้าและวัฒนธรรมประเพณี นางคิดไม่ถึงเลยว่าท่านอ๋องอวี้จะมีงานอดิเรกเช่นนี้

    คนเราไม่อาจตัดสินกันด้วยหน้าตาจริงๆ

    จู่ๆ รถม้าที่แล่นด้วยความเร็วก็หยุดลงกะทันหัน ขณะเดียวกันเสียงโหวกเหวกโวยวายดังขึ้นรอบๆ บริเวณ คิ้วของหลินเมิ้งหยาขมวดเข้าหากัน

    หรูเยว่รีบแหวกผ้าม่านออกเพื่อสอบถามองครักษ์อารักขาด้านนอก

    “ไม่รู้ว่าเป็นเด็กวัยรุ่นมีตาหามีแววจากที่ใดกัน อยู่ๆ ก็พุ่งตัวออกมาร้านค้าจนชนเข้ากับรถม้าของพวกเรา คุณหนูรอสักครู่นะเจ้าคะ องครักษ์หลินบอกว่าใกล้จะจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ”

    โอ้ คิดไม่ถึงเลยว่าจะได้เจอกับพวกมิจฉาชีพวิ่งชนรถชาวบ้านที่นี่

    หลินเมิ้งหยารู้สึกสนใจขึ้นมาเล็กน้อย ชาติก่อนตอนที่นางขับรถ นางเคยพบกับเหตุการณ์เช่นนี้สองครั้ง

    ทุกครั้งนางมักจะโทรแจ้งตำรวจด้วยความใจเย็น สุดท้ายฝ่ายตรงข้ามก็ไม่สามารถทำอะไรได้ ทว่าเหตุการณ์ในเวลากำลังเกิดขึ้นในยุคสมัยโบราณที่ไม่เคยปรากฏมิจฉาชีพเช่นนี้มาก่อน ถ้าเช่นนั้นคนผู้นั้นเป็นคนเช่นไรกันนะ?

    “ไปกันเถอะ พวกเราลงไปดูกัน” ไม่รอให้หรูเยว่ส่งเสียงห้าม หลินเมิ้งหยารีบผลุนผลันออกจากรถม้าไป

    ชาวบ้านที่อยู่ด้านนอกได้เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามเดินลงมาจากรถม้า พวกเขาอดไม่ได้ที่จะชื่นชม

    แน่นอนว่าชาวบ้านเหล่านั้นล้วนมาเพียงเพราะอยากเห็นเรื่องสนุกเท่านั้น

    หลินเมิ้งหยาเยื้องย่างออกไป นางเหลือบมองไปทางตำแหน่งที่ห่างจากรถม้าราวสามเมตร วัยรุ่นคนหนึ่งนอนกอดแขนอยู่บนพื้น

    ชายร่างกำยำที่ยืนอยู่ข้างกายราวสองสามคนกำลังเผชิญหน้ากับองครักษ์อารักขาและคนคุมบังเหียนของตนเอง นางไม่สนใจพวกมิจฉาชีพที่กำลังรอปอกลอกผู้อื่นเหล่านั้นเลยแม้แต่น้อย

    ทว่าเด็กวัยรุ่นที่กำลังนอนดตัวอยู่บนพื้นกลับมีใบหน้าขาวซีดดั่งกระดาษ แขนซ้ายโค้งงอผิดรูป เกรงว่ากระดูกคงหักเสียแล้ว

    “ยื่นแขนของเจ้ามาให้ข้าดู” หลินเมิ้งหยาเดินไปหยุดอยู่ข้างกายเด็กวัยรุ่น เด็กวัยรุ่นผู้นี้น่าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ทว่าเขากลับทำเพียงกอดแขนของตัวเองเอาไว้พลางมองภาพเบื้องหน้าด้วยสายตาเย็นชา แม้แต่เสียงร้องก็ไม่ส่งออกมา

    “ดูแล้วจะทำอะไรได้เล่า? หากรู้สึกผิดก็เอาเงินมาแล้วรีบไปซะ” แม้วัยรุ่นคนนั้นจะเจ็บปวดจนต้องกัดฟัน ทว่าเสียงที่ส่งออกมากลับเย็นชาเกินกว่าที่นางคาดเดาเอาไว้

    โอ้? หลินเมิ้งหยาเหลือบมองภาพความวุ่นวายตรงหน้า ก่อนจะหันกลับมามองเด็กวัยรุ่น ราวกับว่า…จะไม่ใช่!

    ตอนแรกเด็กวัยรุ่นคิดว่าหลินเมิ้งหยาเป็นเพียงฮูหยินร่ำรวยธรรมดา แต่คิดไม่ถึงเลยว่าฮูหยินอายุยังน้อยผู้นี้จะรีบเข้ามาจับบ่าของตนเองเอาไว้

    เด็กวัยรุ่นที่เจ็บปวดจนแทบจะทนไม่ไหวเป็นทุนเดิมอยู่แล้วหันไปมองฮูหยินตรงหน้าด้วยความโกรธ แต่เขาต้องรู้สึกแปลกใจเมื่อพบว่าฮูหยินคนนี้ยังดูเด็กมากเหลือเกิน!

    “ไม่เป็นไรหรอก กระดูกเคลื่อนเท่านั้น หรูเยว่ ช่วยข้าจับเขาเอาไว้ที ข้าจะดันกลับเข้าที่ให้เอง” หลินเมิ้งหยารู้สึกสนใจเด็กวัยรุ่นผู้นี้ไม่น้อย สายตาของวัยรุ่นผู้นี้คล้ายกับหมาป่าไม่มีผิด

    สายตาโหดเหี้ยมดั่งหมาป่ามิควรทำตัวเป็นรองต่อพวกมิจฉาชีพข้างถนน

    ตอนแรกหรูเยว่คิดว่าคุณหนูต้องการจัดการเด็กวัยรุ่นคนนี้ ดังนั้นนางจึงรีบจับตัวของเขาเอาไว้

    ฝ่ามือนุ่มนิ่มของหลินเมิ้งหยาจับๆ ดันๆ อยู่หลายครั้งก่อนจะออกแรง จากนั้น “แกร๊ก” เมื่อเสียงนี้ดังขึ้น แขนของเด็กวัยรุ่นจึงกลับมาเป็นเหมือนเดิม

    “โอ๊ย…” เด็กวัยรุ่นกัดริมฝีปากแน่น ราวกับว่าต้องการจะกัดริมฝีปากบางซีดให้ขาดออกจากกัน ทว่าหลังจากที่ความเจ็บปวดผ่านพ้นไปแล้ว ในที่สุดแขนของเขาก็กลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

    “ขยับหน่อย ต่อจากนี้ไปเจ้าต้องระวัง หากกระดูกเคลื่อนอีกจะแย่เอาได้ หรูเยว่ ไปหาแผ่นไม้มาให้ข้า ข้าจะทำเฝือกง่ายๆ ให้กับเขา”

    หลินเมิ้งหยารักษาเด็กหนุ่มอย่างเป็นขั้นเป็นตอน นางเหลือบมองดวงตาเหม่อลอยของเขา ก่อนจะส่งยิ้มอ่อนโยนไปให้

    “เจ้า…เป็นหมออย่างนั้นหรือ?” เด็กหนุ่มจ้องมองหญิงสาวอายุน้อยที่มีใบหน้างดงามตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อ

    “ข้าไม่ใช่หมอ อีกทั้งยังทำเพียงปฐมพยาบาลเบื้องต้นเท่านั้น” หรูเยว่หาแผ่นไม้สองสามแผ่นมาให้ หลินเมิ้งหยาไม่ลังเลเลยที่จะฉีกชายกระโปรงของตนเอง เสียงผ้าไหมที่ฉีกขาดออกจากกันทำให้หรูเยว่เจ็บปวดเหลือเกิน

    คุณหนูจะรู้หรือไม่ว่ากระโปรงตัวนี้เป็นเครื่องบรรณาการ ราคาตัวหนึ่งสูงถึงหนึ่งร้อยชั่ง!

    ฮือ ฮือ ฮือ คุณหนูทำให้มันเสียราคาหมดแล้ว!

    หลินเมิ้งหยาทำเฝือกอย่างง่ายให้กับเด็กหนุ่ม นางไม่รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

    เด็กหนุ่มจ้องมองหลินเมิ้งหยา แม้นางจะใส่เฝือกให้เขาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทว่าสายตากลับยังคงตกอยู่บนใบหน้าของนาง

    “จ้องข้าทำไมกัน? มีอะไรติดหน้าข้าอย่างนั้นหรือ?” เมื่อลองมองใกล้ๆ เด็กคนนี้อายุราวๆ สิบสองสิบสามปีเท่านั้น ทว่าใบหน้ามีเสน่ห์อย่างล้นเหลือ

    เมื่อเด็กหนุ่มได้ยินเช่นนั้นจึงรีบตวัดสายตากลับไป ทว่าใบหน้าของเขากลับแดงขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า

    แม้จะสกปรกเล็กน้อย บนหน้าผากมีคราบเลือด ใบหน้าซูบตอบ ทว่าดวงตาของเขากลับเจือไว้ซึ่งร่องรอยของความอำมหิต

    หล่อเหลาราวกับปีศาจอีกคนแล้วหรือนี่ หลินเมิ้งหยาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แต่เพราะเหตุใดเด็กหนุ่มคนนี้จึงเข้าไปรวมกลุ่มกับพวกมิจฉาชีพเหล่านั้นกันนะ?

    “ฮูหยิน ท่านให้เงินพวกเขาแล้วรีบไปเถอะ ไม่เช่นนั้นพวกเขาคงไม่ปล่อยพวกท่านไป” เหตุเพราะหลินเมิ้งหยาช่วยรักษาอาการที่แขนให้กับตนเอง ความรู้สึกที่หนุ่มน้อยมีต่อนางจึงดีขึ้นกว่าเดิมเล็กน้อย

    “เงิน? ข้าไม่ให้เงินพวกเขาหรอก ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็แจ้งเจ้าหน้าที่เถิด” หลินเมิ้งหยาเลิกคิ้ว การที่คนกลุ่มนี้กล้ากระทำการอย่างอุกอาจเช่นนี้ แสดงว่าทางการจะต้องมีส่วนเกี่ยวพันด้วยอย่างแน่นอน

    แต่ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ดีเหมือนกัน ตัวนางถือเป็นชนชั้นที่มีอภิสิทธิ์ เมื่อเทียบกับชาวบ้านแถวนี้แล้ว นางมีอภิสิทธิ์พิเศษกว่ามาก

    “ฮูหยิน ท่านเป็นคนดี แต่คนเหล่านี้คือกลุ่มอันธพาลหลิวเย่ที่โด่งดังในเมืองหลวง หากท่านทำให้พวกเขาไม่พอใจ พวกเขาอาจจะแสดงท่าทีสงบเสงี่ยมต่อหน้า แต่เมื่ออยู่ลับหลังพวกเขาจะคอยจับตามองคนในสกุลของท่านเพื่อสร้างความวุ่นวาย เมื่อถึงเวลานั้นพวกท่านจะพบแต่เพียงความโชคร้าย!”

    เด็กหนุ่มส่งเสียงกระซิบ น้ำเสียงเจือไว้ซึ่งความเป็นห่วง

    กลุ่มอันธพาลหลิวเย่เป็นผู้ใดกัน? หลินเมิ้งหยาค้นหาคำเหล่านี้ในความทรงจำของตนเอง แต่นางกลับไม่พบอะไร ทว่านางไม่นึกแปลกใจหรอก หลินเมิ้งหยาเป็นคุณหนูใหญ่แห่งสกุลหลิน แล้วนางจะรู้เรื่องเหล่านี้ได้อย่างไรกัน

    “ข้าไม่กลัว หากพวกเขาแน่จริงก็รีบไปสร้างความวุ่นวายให้บ้านข้าเถิด” หากเดาจากลักษณะนิสัยของหลงเทียนอวี้ พวกเขาคงได้ไป แต่คงไม่ได้กลับออกมา

    คิดจะไปสร้างความวุ่นวายในพระตำหนักขององค์ชาย จุดจบคงไม่ต่างอะไรจากการเอาชีวิตไปทิ้ง

    “เจ้า…ทำไมเจ้าจึงไม่รู้ความเช่นนี้!” เด็กหนุ่มเริ่มร้อนใจ เขาคิดไม่ถึงเลยว่าจะได้พบกับคนดื้อรั้นเช่นนี้

    “เอาล่ะ เจ้าวางใจเถอะ แม้จะต้องขึ้นโรงขึ้นศาล ข้าก็ไม่หวั่นเกรงต่อพวกเขาหรอก เจ้ายังลุกขึ้นได้หรือไม่?” เด็กหนุ่มสวมเสื้อคลุมสีเทา เหตุเพราะการกระทำของเขาเมื่อครู่ ดังนั้นเสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่นที่อยู่ภายในจึงเผยออกมาให้เห็น

    ด้านบนยังปรากฏรอยคราบเลือดสีแดงเข้มให้เห็น หลินเมิ้งหยาลองสัมผัส ก่อนจะพบว่ารอยเลือดเหล่านั้นแข็งทื่อไปแล้ว

    “พวกเขาทำร้ายเจ้า!” นางคิ้วขมวดเข้าหากันแน่น ชาติก่อนตอนที่นางยังอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นางมักจะได้เห็นเด็กๆ ที่เคยถูกลักพาตัวและช่วยเหลือกลับมาได้มากมาย

    บางพวกถูกขายให้กับคนธรรมดายังนับว่าดี เพราะอย่างน้อยพวกเขาจะไม่ขาดแคลนอาหาร

    แต่ถ้าหากถูกขายให้กับแก๊งขอทาน การปล่อยให้เด็กหิวโหยยังนับว่าเป็นเรื่องที่ไม่แย่ เหตุเพราะเด็กบางคนถึงขั้นถูกตัดแขน ขา ทำลายใบหน้า จนสุดท้ายกลายเป็นตัวประหลาด

    สายตาของเด็กหนุ่มเผยให้เห็นถึงความเจ็บปวดชั่วครู่ แต่ถึงกระนั้นเขากลับแสดงท่าทีไม่แยแส

    จุดที่อ่อนโยนที่สุดในก้นบึ้งของหัวใจเสมือนถูกทำให้สั่นไหว ราวกับว่านางกำลังได้เห็นเหล่าน้องชายน้องสาวที่ถูกดูแลและต้องทนต่อความโดดเดี่ยวในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

    “ไปเถอะ เจ้าไปกับข้า” นางดึงมือที่ผอมกะหร่องราวกับเหลือแต่เพียงกระดูกของเด็กหนุ่ม นี่เป็นครั้งแรกที่ไฟในตัวของหลินเมิ้งหยาลุกโชน

    เจ้าพวกคนไร้ยางอาย นี่พวกเจ้ากล้าทำเรื่องชั่วร้ายเช่นนี้ได้เยี่ยงไร!

    เดาว่าแม้แต่แขนที่ผิดรูปของเด็กหนุ่มคนนี้ก็เป็นพวกเขาที่ทำมัน หากกระดูกต้องเคลื่อนเช่นนั้นไปตลอดชีวิต เกรงว่าวันนั้นจะเป็นวันที่เด็กหนุ่มคนนี้ต้องถูกตัดแขนตัดขา!

    “ไอ้หยา คุณหนูเจ้าคะ คุณหนูจะพาเจ้าขอทานคนนี้ไปด้วยทำไม!” ต่อให้หรูเยว่โง่ขนาดไหน แต่นางก็ยังรู้ได้ว่าคุณหนูของนางต้องการจะทำอะไร

    แต่เมื่อคิดจะร้องห้าม นางกลับได้รับสายตาเย็นชาจากคุณหนูของตนเอง

    ฮือ ฮือ อาการของคุณหนูดีขึ้นมากจริงๆ แต่…คุณหนูกลับดุดันขึ้นด้วยนี่สิ!

    “พวกเจ้าดูสิ น้องชายของพวกเราถูกรถของพวกเจ้าชนจนกลายเป็นอัมพาตไปแล้ว หากพวกเจ้าไม่ชดเชยให้สมน้ำสมเนื้อ วันนี้พวกเราจะไปเรียกร้องที่ศาลาว่าการ!” ด้านนอกรถม้า ชายร่างกำยำสวมใส่ชุดธรรมดาสามคนยืนขวางหน้ารถม้าเอาไว้

    สองคนกำลังจ้องมองคนที่อยู่บริเวณรอบๆ ส่วนคนชั่วอีกคนกำลังยืนโพนทะนาต่อหน้าฝูงชน

    แม้ชาวบ้านที่อยู่รอบๆ จะรู้ว่าคนเหล่านี้แสร้งชนรถม้าเพื่อหวังเรียกค่าเสียหาย แต่พวกเขาถูกชายร่างกำยำเหล่านี้ข่มขู่เอาไว้ องครักษ์อารักขาหลายคนเริ่มทนไม่ไหว ขณะที่กำลังจะเข้าเอาผิดคนเหล่านั้น พวกเขาได้เห็นพระชายาดึงตัวเด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บเข้ามา

    หากไม่ได้รับคำสั่งจากเจ้านาย องครักษ์อารักขาเช่นพวกเขาคงมิกล้าลงมือ

    ส่วนใบหน้าของหลินเมิ้งหยาในเวลานี้มีเพียงความเย็นชา แม้แต่เหล่าองครักษ์ยังรู้สึกหวั่นเกรง

    “พวกเจ้าอยากเรียกร้องความเป็นธรรมใช่หรือไม่? ไปเถอะ เข้าไปร้านน้ำชาด้วยกัน จะได้หาห้องส่วนตัวเพื่อจิบชาและพูดคุยกันให้เข้าใจ” ชายร่างกำยำทั้งสามได้ยินเสียงหวานใสดังขึ้นที่ด้านหลัง

    เมื่อหมุนตัว ทว่าพวกเขากลับได้เห็นหญิงสาวหน้าตางดงามกำลังจับมือเดินนำหน้าไอ้เด็กสวะเข้ามา

    ทั้งสามส่งสายตามองกัน ในเมืองหลวงมีหญิงสาวหน้าตางดงามมากมาย แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่ค่อยได้เห็น

    ทว่าวันนี้พวกเขาลองสุ่มหากินที่ข้างทาง แต่กลับได้พบกับหญิงสาวหน้าตาสวยงามราวเทพธิดา ดูท่าแล้วพวกเขาคงมีบุญหนักพอควร

    หลินเมิ้งหยาสัมผัสได้ถึงความคิดต่ำทรามของชายสามคนตรงหน้า

    คิดจะทำให้นางเสื่อมเสีย นั่นแสดงให้เห็นว่าเจ้าพวกอันธพาลเหล่านี้ผงาดขึ้นมาอย่างง่ายดาย

    เมื่อหรูเยว่เข้าไปพูดคุยกับองครักษ์หลินเรียบร้อยแล้ว สายตาที่จ้องมองทางชายร่างกำยำทั้งสามจึงเปี่ยมไปด้วยการดูถูก

    “ในเมื่อคนสวยพูดอย่างนี้ ถ้าเช่นนั้นพวกพี่ชายจะอยู่เป็นเพื่อนเล่นให้แล้วกัน!” ชายที่พูดเก่งที่สุดหันไปสบตากับใครบางคนในกลุ่มฝูงชน

    พวกเขาทั้งสามจ้องมองสาวน้อยท่าทางอ้อนแอ้นตรงหน้าด้วยความหลงใหล นัยน์ตาแฝงไว้ซึ่งความหื่นกระหาย ราวกับว่าต้องการจะพุ่งตัวเข้าไปหานาง