อวี้ถังได้ยินเสียงก่นด่าของป้าเฉินก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย
แต่ที่ป้าเฉินกล่าวมีเหตุผลอยู่จริงๆ
ถูกขโมยขึ้นเรือนสองครั้ง ล้วนเป็นช่วงเวลาที่อวี้เหวินไม่อยู่
ไฉนจึงได้บังเอิญถึงขนาดนั้น?
คนสกุลเฉินก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องบังเอิญเช่นกันจึงพาอวี้ถังไปถึงเรือนของอวี้ป๋อ อยากจะเชิญอวี้หย่วนมาพักในเรือนยามที่อวี้เหวินไม่อยู่เสียหน่อย
อวี้ป๋อยังคงยุ่งกับเรื่องร้านค้า คนสกุลหวังตกปากรับคำทันที กล่าวปรึกษากับคนสกุลเฉิน “ไม่อย่างนั้น จัดการเรื่องงานแต่งของอวี้ถังให้เร็วหน่อยดีหรือไม่? หากเรือนของพวกเจ้ามีคน คนพวกนั้นย่อมไม่กล้าเข้าออกโดยพลการ”
เรือนของพวกเขามีคนน้อยเกินไปจริงๆ
คนสกุลเฉินถอนหายใจ “รอเด็กสกุลเว่ยผู้นั้นจัดพิธีครบยี่สิบเอ็ดวันแล้วค่อยว่ากันเถิด! คนเขาใจกว้างมีคุณธรรม พวกเราไม่อาจใจร้อนเกินไปได้ อาถังก็รอไหวเช่นกัน”
คนสกุลหวังทอดถอนหายใจ ให้บ่าวใช้ในเรือนขนย้ายข้าวของที่อวี้หย่วนมักจะใช้ตามเข้าไป
มีเพื่อนบ้านบังเอิญพบเห็น ก็อดถามไถ่ออกมาไม่ได้
คนสกุลเฉินเล่าเรื่องในบ้านให้เพื่อนบ้านคนนั้นฟัง เพื่อนบ้านคนนั้นถอนหายใจตาม ปลอบใจคนสกุลเฉิน “หากสกุลของพวกเจ้าได้ลูกเขย ก็คงจะดีขึ้นแล้ว”
“ขอให้เป็นดั่งที่เจ้าว่าเถิด!”
คนสกุลเฉินไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกับเพื่อนบ้านอยู่พักหนึ่ง ก่อนจะกลับเข้าไปในเรือนจัดเตรียมห้องรับแขก
อวี้ถังนั่งหมอบหยอกล้อเสี่ยวหวงอยู่ตรงระเบียง ทว่าในใจกลับนึกถึงเผยเยี่ยน
คนผู้นี้อวดดีจริงๆ รู้เรื่องเพียงผิวเผินก็ด่วนสรุปเสียแล้ว ไม่คิดจะฟังคนอื่นอธิบาย หากทรัพย์สินมหาศาลของสกุลเผยตกอยู่ในมือเขา ก็ไม่รู้ว่าเขาจะประคองไว้อย่างไร
อวี้ถังถอนหายใจแผ่วเบา รู้สึกว่าตัวเองดวงซวย ช่วงนี้โชคไม่ดีเอาเสียเลย
นางกอดเสี่ยวหวง ลูบขนมันเบาๆ ก่อนเจ้าหน้าที่สองคนจะมาหาหน้าประตู กล่าวว่าได้รับคำสั่งจากเจ้านาย ภายหลังหากออกลาดตระเวน จะเดินตรวจตราแถวนี้ให้มากขึ้น
ป้าเฉินกล่าวขอบคุณไม่หยุดหย่อน เชิญทั้งสองคนเข้ามาดื่มชา ก่อนจะกำชับให้ซวงเถาไปซื้อของว่างและน้ำชาเข้ามา
ทั้งสองคนไม่เพียงอาศัยที่เมืองหลินอันมาหลายปี แต่ยังเป็นเพราะได้รับคำสั่งให้สืบทอดตำแหน่งที่นี่ แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ของศาลาว่าการ แต่เมื่อกระทำการอันใดกลับต้องทำอย่างเหมาะสม ยามที่ควรรับสินบนก็ไม่อ้อมค้อม ยามที่ควรให้ความช่วยเหลือก็เต็มที่ ปกติก็เดินตรวจตราละแวกบ้านของคนใหญ่คนโตในเมืองเช่นกัน
เห็นป้าเฉินกล่าวด้วยความจริงใจ ในเมืองหลินอัน อวี้เหวินก็ขึ้นชื่อเรื่องความใจกว้าง พวกเขาจึงนั่งดื่มชาระหว่างทางเดินของเรือนหน้าอย่างไม่เกรงใจ พูดคุยสัพเพเหระกับป้าเฉิน
“จะว่าไปก็แปลก แถวนี้สงบร่มเย็นมาโดยตลอด เหตุใดเรือนของพวกเจ้าจึงถูกขโมยขึ้นได้ ทั้งยังติดๆ กันถึงสองครั้ง คงไม่ใช่ว่าครั้งที่แล้วได้ของดีจากพวกเจ้าไปเลยติดใจกระมัง?” เจ้าหน้าที่หลี่ถามขึ้นมา
ป้าเฉินกล่าว “ไม่หรอกกระมัง! ครั้งที่แล้วเรือนของพวกเราก็ไม่มีอะไรหาย อีกอย่าง ไม่ว่าใครล้วนรู้ดี สกุลของพวกเราเกิดเรื่องมากมาย เงินในบ้านใช้แทบหมดแล้ว อย่าเพิ่งพูดถึงเรื่องอื่นเลย แค่งานศพหลู่ซิ่วไฉ นายท่านของพวกเรายังไปยืมเงินไม่กี่ตำลึงจากเถ้าแก่ถงเลย! หากจะขโมยก็ไม่ควรมาที่เรือนของพวกเราสิ!”
เจ้าหน้าที่สกุลหวังอีกคนกล่าว “ต้องมีของอะไรหายไปแต่พวกเจ้าไม่รู้เป็นแน่ จากประสบการณ์ของข้า หากขโมยของไม่สำเร็จ ก็ไม่อาจกลับมาเรือนของเจ้าถึงสองหนในช่วงเวลาสั้นๆ เช่นนี้หรอก อาจจะมีของบางอย่างที่ต้องตา ครั้งที่แล้วขโมยไม่สำเร็จ ครั้งนี้จึงย้อนกลับมา”
ลึกๆ อวี้ถังคิดว่าเป็นเช่นนั้น
แต่ว่า เป็นของอะไรที่ต้องตาขโมยเล่า?
นางนึกถึงห้องหนังสือของอวี้เหวิน
หรือเรือนของพวกเขายังมีมรดกตกทอดล้ำค่าอะไรที่แม้แต่ท่านพ่อก็ไม่รู้อยู่
นางเล่าให้คนสกุลเฉินฟัง
คนสกุลเฉินหัวเราะขึ้นมา “ก่อนท่านปู่ของเจ้าจะจากไป ได้แบ่งทรัพย์สินอย่างชัดเจนแล้ว หลังจากถอดชุดไว้ทุกข์ให้ปู่ของเจ้า ลุงใหญ่และบิดาของเจ้าจึงแบ่งกันอย่างเป็นทางการ ลุงใหญ่ของเจ้าเป็นคนละเอียด ยามที่แบ่งทรัพย์สินกลัวว่าจะไม่ชัดเจน นอกจากเชิญผู้นำหมู่บ้านแล้วยังเชิญเพื่อนบ้านมาอีกสองคน หากมีของอะไรคงถูกคนหมายตาไปตั้งนานแล้ว ยังจะรอถึงเวลานี้อยู่หรือ?”
อวี้ถังนึกถึงชาติที่แล้ว เพื่อนบ้านที่ย้ายเข้ามาใหม่ข้างสกุลหลี่เกลียดต้นการบูรที่ปลูกในเรือน ผลลัพธ์กลับขุดเจอหีบเงินใบหนึ่งอยู่ใต้ต้นไม้…
อย่างไรก็ว่างจนไม่มีอะไรทำอยู่แล้ว หลายวันมานี้คนสกุลเฉินไม่ได้กวดขันให้นางเย็บปักถักร้อยแต่อย่างใด นางไปช่วยบิดาจัดการห้องหนังสือให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า
สิงโตเตะลูกหนังที่หล่นใต้ตู้หนังสือ บทกวี ‘ปิ่นทองที่ถูกทอดทิ้ง’ เต็มไปด้วยฝุ่นตรงชั้นบน ‘แบบคัดตัวหนังสือของฮูหยินเว่ย[1]’ กองอยู่ข้างโต๊ะหนังสือตัวเล็ก…อวี้ถังถึงกระทั่งพบแท่งฝนหมึกเฉาซื่อจื่ออวิ๋นตรงมุมห้องหนังสือ
นางถือโอกาสจัดเก็บแบบร่างต่างๆ ทั้งภาพวาดของบิดาให้เข้าที่เข้าทาง
ยามที่คนสกุลเฉินเข้ามาก็เห็นกระดาษ หมึก หนังสือ และภาพวาดระเกะระกะเต็มพื้น เละเทะราวกับถูกขโมยขึ้นบ้านก็มิปาน ด้านอวี้ถังกลับส่งเสียงหัวเราะ ยืนพิงตู้อ่านหนังสือเล่มหนึ่งอย่างเพลิดเพลิน
“เจ้าเด็กคนนี้!” คนสกุลเฉินเก็บข้าวของที่กระจัดกระจายบนพื้น ทั้งกล่าวตำหนิยิ้มๆ “ข้าว่าเจ้านี่ร้ายกว่าขโมยผู้นั้นเสียอีก ดูห้องนี้สิ แค่ที่จะให้วางเท้ายังไม่มี”
อวี้ถังหัวเราะ วางหนังสือในมือลง หยิบกระเป๋าซอมซ่อใบหนึ่งขึ้นมา “ท่านแม่ ท่านลองทายสิเจ้าคะว่าในนี้มีอะไร?”
“มีสิ่งใดกัน?” คนสกุลเฉินเผยยิ้ม เก็บกวาดที่ให้พอเดินออกมา
“ภาพดอกไม้ที่ข้าวาดให้ท่านในตอนเด็ก” นางวิ่งเอามาให้คนสกุลเฉินดูอย่างเบิกบานใจ “ข้ายังจำได้ว่าข้าบอกว่าจะเก็บไว้ดีๆ ภายหลังกลับไม่รู้ทำไมถึงหาไม่เจอ วันนี้คาดไม่ถึงว่าจะหาพบ ท่านดูสิ ด้านบนนี้ยังมีอักษรที่ข้าเขียนไว้ด้วยเจ้าค่ะ”
คนสกุลเฉินรับมาดู บนนั้นมีตัวอักษรคำว่า ‘ครั้งแรก’ เขียนอย่างโย้เย้อยู่
นางก็นึกขึ้นมาได้เช่นกัน อดกล่าวด้วยรอยยิ้มไม่ได้ “นี่เป็นภาพดอกไม้ที่ข้าให้เจ้าวาดเป็นครั้งแรก”
อวี้ถังผงกศีรษะติดต่อกัน “คาดไม่ถึงว่าเวลานั้นข้าจะเก็บไว้ที่ห้องหนังสือของท่านพ่อ”
คนสกุลเฉินกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ห้องหนังสือของบิดาเจ้าคงต้องเก็บกวาดดีๆ เสียแล้ว”
สองแม่ลูกพูดคุยหยอกล้อพากันจัดเก็บห้องหนังสือ
ภาพวาดปลอมที่หลู่ซิ่นขายให้พวกเขานั้นร่วงลงมาจากระหว่างชั้นหนังสือ
“เหตุใดจึงวางอยู่ตรงนี้ล่ะ?” คนสกุลเฉินพึมพำ คิดจะเก็บมันสู่ที่เดิม
อวี้ถังกลับรู้สึกไม่ดีนัก “คนไม่อยู่แล้ว ยังจะเก็บมันไว้อีกทำไม พรุ่งนี้ข้าจะเอาไปที่โรงจำนำของเถ้าแก่ถง เถ้าแก่ถงบอกแล้ว ภาพวาดนี้สามารถขายได้ไม่กี่ตำลึง อย่างไรก็นำมาช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของสกุลเสียหน่อยเถิด เพื่อจัดงานศพของเขา ท่านพ่อยังต้องไปยืมเงินจากเถ้าแก่ถง หากสามารถทดแทนส่วนของเถ้าแก่ถงได้ ภาพวาดนี้ก็นับว่าได้กลับคืนสู่เจ้าของแล้ว”
คนสกุลเฉินคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี กล่าวยิ้มๆ “เป็นเจ้าที่ฉลาด”
อวี้ถังย่นจมูกอย่างน่ารัก ม้วนภาพเก็บกลับไปยังห้องของตัวเอง
กลางดึก พวกเขาตกใจตื่นด้วยเสียงของเสี่ยวหวง เสียงตะโกนอย่างโมโหของอวี้หย่วนดังมาจากทางห้องหนังสือ “ผู้ใดกันวิ่งมาขโมยของที่เรือนพวกเรา?!”
อวี้ถังสวมชุดคลุมวิ่งออกมา ก่อนจะเห็นอวี้หย่วนต่อสู้กับคนชุดดำผอมแห้งคนหนึ่ง
“จับขโมยได้แล้ว! จับขโมยได้แล้ว!” อวี้ถังตะโกนเสียงดัง
เพื่อนบ้านต่างก็ตกใจตื่นเพราะเสียงนั่น
แสงไฟค่อยๆ สว่างตามกันขึ้นมา ตรอกชิงจู๋ที่เงียบเหงากลับกลายเป็นโกลาหลทันที
เพื่อนบ้านบางคนถือไม้ตะบอง บางคนก็หยิบมีดทำอาหารวิ่งเข้ามา
คนชุดดำผู้นั้นถูกควบคุมตัวไว้
ป้าเฉินเดินถือตะเกียงเข้าไป
คาดไม่ถึงว่าหัวขโมยจะเป็นเด็กคนหนึ่งในตรอกชิงจู๋ของพวกเขา
ผู้คนต่างพากันซุบซิบวุ่นวาย
นายท่านอู๋ส่งคนไปเรียกพ่อแม่ของเด็กคนนั้นอย่างโกรธเกรี้ยว “จำต้องแจ้งให้ครอบครัวของเจ้าทราบ คนอย่างเจ้านั้นสมควรถูกไล่ออกจากสกุล”
เด็กคนนั้นตกใจร้องไห้ฟูมฟาย กอดขานายท่านอู๋ขอความเมตตา “ท่านอย่าบอกพ่อแม่ของข้าเลย ข้า…ข้าถูกคนใส่ร้าย ข้าเพียงอยากขโมยเงินไม่กี่ตำลึงไปใช้เท่านั้น ข้าไม่ได้มีเจตนาทำร้ายหรือสังหารใคร ทั้งไม่กล้าทำอย่างนั้นเช่นกัน!”
นายท่านอู๋ไม่เชื่อแต่อย่างใด “ถูกคนใส่ร้าย? ใครใส่ร้ายเจ้ากัน? ข้าว่าปกติเจ้าก็ไม่ร่ำเรียนหนังสือ เวลานี้จึงเกิดคิดอกุศลขึ้นมา คนอย่างเจ้า ปล่อยไปย่อมไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น!”
เขากล่าวอย่างมีโทสะ มารดาของเด็กคนนั้นมาแล้ว พอเห็นเหตุการณ์นี้ก็ทรุดลงกับพื้นดัง ‘ตุ้บ’ อยู่เบื้องหน้าคนสกุลเฉิน ขอความเมตตาให้ลูกชายด้วยศีรษะที่สั่นงันงก “ขอเพียงแค่ไม่จับส่งทางการ ท่านเอ่ยปากอะไรล้วนได้ทั้งนั้น”
คนสกุลเฉินรู้สึกลำบากใจเป็นอย่างยิ่ง
ไม่ลงโทษเด็กคนนี้ เรือนของพวกเขาก็ถูกคนขโมยโดยไม่ได้รับความเป็นธรรมเช่นนี้หรือ แต่หากลงโทษเด็กคนนี้ ทุกคนต่างก็อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงมาหลายปี พบหน้ากันอยู่บ่อยครั้ง ภายหลังหากเจอคนของสกุลพวกเขาจะทำอย่างไรเล่า?
อวี้ถังเห็นแล้วก็มีใจคล้อยตาม
นางไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน แต่เมื่อครู่ที่มารดาของเขาโขกศีรษะ เขากลับบิดหน้าหนีไปทางอื่น คล้ายกับทนดูฉากนั้นไม่ได้ ทั้งไม่ขอความเมตตาจากนายท่านอู๋แล้วเช่นกัน
นางเดินเข้าไป
เด็กคนนั้นกำลังร้องไห้อย่างเงียบๆ
อวี้ถังครุ่นคิดในใจ เด็กคนนี้ก่อเรื่องใหญ่ขนาดนี้ บิดาของเขากลับไม่มา
ไม่รู้ว่าไม่มีบิดา? หรือว่าบิดาไม่สนใจ?
ไม่ว่าจะเป็นอย่างแรกหรืออย่างหลัง กลับสามารถใช้ประโยชน์ได้ทั้งสิ้น
นางเข้าไปดึงแขนเสื้อของคนสกุลเฉิน กระซิบเสียงเบา “พวกเพื่อนบ้านต่างก็มาช่วยเหลือ ท่านเชิญพวกเขาไปดื่มชาในเรือนก่อนเถิด มีท่านพี่อยู่ เด็กคนนี้มัดไว้ก่อนให้อาเสาคอยเฝ้า รอท่านพ่อกลับมาแล้วค่อยจัดการ”
คนสกุลเฉินคิดว่านี่เป็นความคิดที่ดี หลังจากปรึกษากับอวี้หย่วนก็เชิญทุกคนไปดื่มชาในเรือน
ทุกคนเห็นว่าหมดเรื่องหมดราวแล้ว ดึกดื่นมืดค่ำเช่นนี้ ไหนเลยจะมีใจดื่มชา พากันกล่าวขอบคุณ ก่อนจะบอกลาคนสกุลเฉิน
คนสกุลเฉินส่งพวกเขาทีละคนออกจากเรือนอย่างซาบซึ้งใจ
มีเพียงมารดาของเด็กผู้นั้น นั่งร่ำไห้เงียบๆ อย่างไร้เรี่ยวแรงราวกับสูญเสียบิดามารดาไปก็มิปาน
นายท่านอู๋รู้สึกไม่วางใจอยู่บ้าง “ไม่อย่างนั้นให้บ่าวใช้ของสกุลพวกข้ามาช่วยเหลือดีหรือไม่?”
“ขอบคุณท่านมาก!” อวี้หย่วนประสานมือคารวะนายท่านอู๋อีกครั้ง “ข้าจัดการได้ นี่ก็ดึกมากแล้ว รอท่านอากลับมา ข้าและท่านอาจะไปขอบคุณถึงหน้าประตูอีกครั้ง”
นายท่านอู๋เห็นว่าอวี้หย่วนเป็นคนรอบคอบ ผงกศีรษะรับคำก่อนจะประสานมือไพล่หลังกลับเรือนไป
ด้านมารดาของเด็กคนนั้นโขกศีรษะขอความเมตตากับคนสกุลเฉินอย่างไม่หยุดหย่อน
เด็กคนนั้นร้องไห้สะอึกสะอื้นจนตัวโยน
อวี้ถังชี้ไปที่มารดาของเด็กคนนั้น กล่าวกับเขา “เจ้าดูสิ เจ้าก่อเรื่องแต่กลับทำให้แม่ของเจ้าต้องติดร่างแหไปด้วย เจ้าทุกข์ไม่ร้องเรียน ทางการย่อมไม่ซักไซ้ เจ้าบอกความจริงข้ามาเถิด ตกลงเจ้ามาที่เรือนของพวกเราทำไมกันแน่? หากเจ้าพูดกับข้าด้วยสัตย์จริง ข้าจะช่วยขอร้องให้ท่านพ่อปล่อยเจ้าไป มารดาของเจ้าก็จะไม่ถูกดูแคลน ไม่ต้องเป็นคนที่เงยหน้าไม่ขึ้นทั้งชั่วชีวิต”
เด็กคนนั้นได้ยินพลันเงยหน้ามองอวี้ถังแวบหนึ่ง เผยสีหน้าลังเล
อวี้ถังมีแผนในใจ “การขโมยของนั้นน่ารังเกียจที่สุด เจ้าลองดูกฎของสกุลเหล่านั้น สกุลใดบ้างจะยอมปล่อยโจรที่ขโมยของไป ท่านพ่อของข้าและนายท่านอู๋แทบไม่ต่างกัน เกลียดเรื่องเช่นนี้อย่างถึงที่สุด เขาอาจจะไม่แจ้งทางการแต่ย่อมต้องทำให้สกุลของเจ้าขับไล่เจ้าออกไป ลบชื่อออกจากสกุลเป็นแน่ ถึงเวลานั้นมารดาของเจ้าล่วงลับ คงจะไม่มีแม้แต่คนจุดธูปเทียนกราบไหว้…”
เด็กคนนั้นน้ำตาไหลนองหยดแล้วหยดเล่า กล่าวสะอึกสะอื้น “ท่านพ่อของข้าเล่นพนันข้างนอก กระทั่งเอาบ้านของบรรพบุรุษขายออกไป ข้า…ข้าเพียงอยากนำเงินไม่กี่ตำลึงไปเช่าบ้านเท่านั้น”
อวี้ถังกล่าวทั้งถอนหายใจ “เช่นนั้นข้าก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้ว เจ้ารอท่านพ่อข้ากลับมาส่งเจ้าไปให้ทางการ จากนั้นก็ค่อยไปหาครอบครัวของเจ้าแล้วกัน”
“ไม่ใช่! ไม่ใช่!” เด็กคนนั้นได้ยินก็กล่าวอย่างร้อนใจ “คุณหนูอวี้ ท่าน หากท่านให้ข้าห้าตำลึง ไม่สิ ให้ข้าสามตำลึงก็ได้ ข้าจะบอกท่าน”
อวี้ถังไม่คล้อยตามแต่อย่างใด “เจ้ายังจะหลอกข้าอีก! ตำลึงเดียวก็ไม่มี เจ้าไม่พูดก็แล้วไป” พูดจบ ก็หยัดกายขึ้น ทำท่าราวกับจะเรียกคนเข้ามา
เด็กคนนั้นลนลาน กล่าวอย่างรีบร้อน “มีคนให้เงินข้าห้าตำลึง วานให้ข้าขโมยภาพวาดหนึ่งที่เรือนของพวกท่าน…ท่านอย่าส่งข้าให้ทางการเลย ข้าเองก็ขโมยไม่สำเร็จ”
——————————————–
[1]ฮูหยินเว่ย นักเขียนอักษรพู่กันจีนหญิง สมัยราชวงศ์จิ้นตะวันออก