ภาพวาด! 

 

 

ภาพวาดแบบใดกัน? 

 

 

อวี้ถังใจเต้นระรัว หายใจถี่ขึ้นมา 

 

 

“เจ้ารู้หนังสือหรือไม่?” นางได้ยินเสียงของตัวเองแหบพร่าไปอยู่บ้าง 

 

 

“ไม่รู้” เด็กคนนั้นร้องไห้ด้วยใบหน้าโศกเศร้า เผยท่าทีราวกับไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้ว “ผู้ดูแลบ่อนให้ข้ามาขโมย กล่าวว่าหากขโมยออกมาได้ จะให้ข้าห้าตำลึง เป็นภาพที่ชายแก่สองคนตกปลาริมแม่น้ำในป่า…” 

 

 

ชายแก่สองคนตกปลาริมแม่น้ำในป่า! 

 

 

อวี้ถังนึกถึง ภาพวาด ‘ตกปลาใต้ต้นสนริมน้ำ’ ขึ้นมาทันที 

 

 

นางรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นตึกตัก มือไม้สั่นไปหมด 

 

 

“เป็นภาพนี้ใช่หรือไม่?” อวี้ถังแทบไม่รู้ว่าตัวเองเดินไปกลับห้องอย่างไร ทั้งเอาม้วนภาพมาให้เด็กผู้นั้นดูอย่างไร ทราบแค่เพียงว่ายามที่นางคลี่ภาพออกมา เด็กคนนั้นพลันตาเป็นประกาย คำพูดพรั่งพรูออกมา “ภาพนี้แหละ เป็นภาพนี้แน่นอน ผู้ดูแลเคยบอกกับข้า ด้านบนภาพจะประทับตราบนผมของเด็กชายถัดจากชายแก่ เป็นภาพนี้ไม่ผิดแน่!” 

 

 

เรื่องในอดีตที่ละเลยไปเหล่านั้นค่อยๆ ย้อนกลับเข้ามาในหัวของอวี้ถังอย่างวุ่นวาย 

 

 

ชาติที่แล้วสกุลหลี่ถูกขโมยขึ้นเรือน ความอู้ฟู่ที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันของสกุลหลี่…การขโมยทั้งสองครั้งในชาตินี้ ตราประทับ ‘เหมยหลิน’ อยู่ที่บนผมของเด็กน้อย ทั้งยังมีตราประทับ ‘ชุนสุ่ยถัง’ แทนที่ ‘เหมยหลิน’…นางราวกับกระจ่างแจ้งขึ้นมา อีกด้านก็คล้ายกับสับสนงงงวย ไม่รู้อะไรเช่นกัน 

 

 

“อาถัง นี่เจ้าเป็นอะไรไป?” คนสกุลเฉิน อวี้หย่วน ซวงเถาและคนอื่นๆ ต่างก็พากันล้อมเข้ามา คนสกุลเฉินประคองอวี้ถัง เอ่ยออกมาอย่างไม่เข้าใจ “เจ้าเด็กคนนี้ ไฉนจึงค้นภาพนี้ออกมากัน? ภาพนี้มีอะไรไม่ถูกต้องอย่างนั้นรึ? หรือว่า…” นางถามพลางมองเด็กที่พยายามขโมยของบนเรือนของพวกเขา ก่อนจะมองอวี้ถังอีกที 

 

 

มีบางเรื่องที่ยังไม่กระจ่าง…และถึงแม้จะกระจ่างหรือต่อให้มารดาของนางทราบเรื่องราว แต่นอกจากกังวลและร้อนใจไปด้วยแล้ว ก็คงจะทำอะไรไม่ได้อยู่ดี 

 

 

“ไม่มีอะไร” อวี้ถังพยายามควบคุมเกลียวคลื่นที่ถาโถมภายในใจ เอ่ยด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เขาบอกว่ามาขโมยภาพที่เรือนของพวกเรา ข้าก็แค่ถามเขาไปเท่านั้น” 

 

 

เด็กคนนั้นพอได้ยิน ก็เอ่ยเสียงดังออกมาทันที “คือว่า…!” 

 

 

อวี้ถังกลับแสร้งใช้ม้วนภาพตบปากเด็กคนนั้นอย่างไม่ตั้งใจไปที ทำให้คำพูดของเด็กคนนั้นฟังแทบไม่ได้ศัพท์ “ท่านแม่ เขาไม่รู้หนังสือ บอกว่าคนอื่นให้เขามาขโมยของที่เรือนของพวกเรา ข้าว่าเรื่องนี้ยังคงต้องค่อยๆ ปรึกษากันให้ดี รอท่านพ่อกลับมาก็เพียงพอแล้ว ยามนี้มอบเขาให้ท่านพี่จัดการเถิด เขาจะได้ไม่พูดจาไร้สาระ หาความจริงไม่ได้เช่นนี้ พวกเราฟังไปก็โมโหเปล่าๆ” พูดจบนางก็ยังคงส่งสายตาเชิงข่มขู่ให้เด็กคนนั้น 

 

 

คนสกุลเฉินนั้นเชื่อมั่นลูกสาวและสามีอย่างสนิทใจ ย่อมไม่คลาแคลงอันใด ทว่าอวี้หย่วนกลับมองทะลุปรุโปร่ง เขากวาดสายตาพินิจอวี้ถังอย่างละเอียด ก่อนจะช่วยอวี้ถังคลายสถานการณ์ “ใช่แล้ว! อาถังพูดถูก ที่นี่มีข้าอยู่ อาสะใภ้รีบไปพักผ่อนจะดีกว่า ร่างกายของท่านไม่ค่อยแข็งแรง ไปๆ มาๆ เช่นนี้ หากเกิดเจ็บป่วยอันใดก็ยุ่งแล้ว” 

 

 

อวี้ถังมองอวี้หย่วนไปที รู้ว่าอวี้หย่วนจับผิดเรื่องภายในได้ แต่กลับช่วยนาง นางจึงคล้อยตามอวี้หย่วนเช่นกัน “ท่านแม่ เพราะงานศพของหลู่ซิ่น พวกเรายังคงต้องจ่ายหนี้ให้เถ้าแก่ถง!” 

 

 

คนสกุลเฉินไม่กล้าดึงดันอยู่ที่นี่แล้ว กระนั้นยังคงถามด้วยความสงสัย “หรือมีคนคิดว่าภาพนี้เป็นของจริง?” 

 

 

“ก็เป็นไปได้” ยามนี้อวี้ถังคิดอยากจะตะล่อมให้มารดาไปนอนเท่านั้น กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตอนแรกท่านพ่อก็ดูพลาดว่าเป็นของจริงไม่ใช่หรือ?” 

 

 

คนสกุลเฉินผงกศีรษะ เดินกลับห้องนอนโดยมีซวงเถาเดินห้อยตามหลังไป 

 

 

มารดาของเด็กคนนั้นเข้ามาขอร้องอวี้หย่วน 

 

 

อวี้หย่วนจ้องมองอวี้ถัง 

 

 

อวี้ถังส่งสายตาเป็นนัยให้เขา 

 

 

อวี้หย่วนจึงกล่าวกับมารดาของเด็กคนนั้น “เจ้าก็อย่าใจร้อนเกินเหตุเลย พวกเราไม่ใช่คนใจไม้ไส้ระกำ เพียงแต่เรื่องนี้เป็นเรื่องของท่านอารอง ข้าไม่อาจตัดสินใจได้ทันที ข้าว่าเจ้าก็เหน็ดเหนื่อยไม่น้อย แต่ถ้าให้เจ้ากลับไปเกรงว่าเจ้าคงจะไม่ยอม เช่นนั้น วันนี้เจ้านอนกับป้าเฉินสักคืน ส่วนลูกของเจ้า ก็ให้ข้าคุมตัวไว้ชั่วคราว รอท่านอากลับมา พวกเราค่อยปรึกษาหารือว่าจะทำอย่างไร” 

 

 

มารดาของเด็กคนนั้นขอบคุณครั้งแล้วครั้งเล่า เอ็ดให้เด็กคนนั้นโขกศีรษะแก่อวี้หย่วน ทั้งตำหนิที่เขาไม่รู้จักพัฒนาตัวเอง 

 

 

ป้าเฉินก็พอจะมองเรื่องราวออกจึงตัดบทสนทนา ก่อนจะดึงมารดาของเด็กคนนั้นออกไป 

 

 

อวี้หย่วนเรียกอาเสาให้มัดเด็กคนนั้น ก่อนจะขังไว้ในห้องเขา 

 

 

สองคนพี่น้องยืนพูดคุยข้างกอไผ่ในลานบ้าน 

 

 

“ข้าก็รู้สึกแปลกๆ หลอกถามเจ้าเด็กนั่นไม่กี่คำ เจ้าเด็กนั่นก็เล่าให้ข้าฟังแล้ว” อวี้ถังเล่าเรื่องที่สอบถามได้เมื่อครู่ให้อวี้หย่วนฟัง “ก็ไม่รู้ว่าจริงหรือไม่? ท่านพี่ ต่อให้ท่านไม่มาหาข้า ข้าก็จะไปขอคำปรึกษาจากท่านอยู่ดี” 

 

 

นางพูดจบก็เดินไปห้องหนังสือกับอวี้หย่วน จุดโคมไฟขึ้นอีกครั้ง กางภาพออกบนโต๊ะหนังสือตัวใหญ่ พินิจภาพนี้อย่างละเอียด ทั้งกล่าวไปพลาง “แต่ข้าคิดไม่ออกจริงๆ ว่า ภาพนี้มีความพิเศษตรงไหน…แม้ว่ามันจะเป็นของจริง ก็ควรแลกเป็นเงินได้จึงจะถูก ตอนแรกยามที่หลู่ซิ่วไฉขายภาพนี้ หาได้มาหาท่านพ่อคนเดียวไม่ คนผู้นั้นหากชื่นชอบภาพนี้ ไฉนจึงไม่ยอมจ่ายเงินเพิ่มซื้อเอาไว้ เหตุใดจึงต้องทำเรื่องยุ่งยาก ยิ่งไปกว่านั้นภาพนี้เป็นของปลอม เถ้าแก่ถงก็เป็นคนบอกเอง หากเขาอยากได้ภาพนี้มาโดยตลอด ก็ควรจะรู้อยู่แล้วสิ” 

 

 

อวี้หย่วนอ่านตำรามากกว่าอวี้ถังไม่น้อย ทั้งยังชื่นชอบตัวอักษรและภาพวาดจีน จึงมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้กว่าอวี้ถังอยู่มาก 

 

 

เขากวาดสายตามองภาพนี้อย่างละเอียด กระนั้นก็มองไม่ออกจริงๆ ว่ามีความแตกต่างตรงไหน “หรือคราวนี้เถ้าแก่ถงก็มองพลาดไปเช่นกัน?” 

 

 

อวี้ถังชะงักไป 

 

 

เหตุใดนางจึงคิดว่าเถ้าแก่ถงไม่อาจมองพลาดได้นะ? 

 

 

ประการแรก ชาติก่อนเถ้าแก่ถงไม่เคยมีข่าวเสียหาย นางจึงยึดมั่นเช่นนั้น ประการที่สอง ชาติก่อน ยามที่ภาพนี้อยู่ในมือนางก็ถูกนางตรวจสอบไม่รู้กี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว นางย่อมไม่อาจมองผิด! 

 

 

แต่คำพูดของอวี้หย่วนราวกับน้ำที่หยดลงในน้ำมัน พาให้น้ำมันสาดกระเซ็นซัดไปทั่ว 

 

 

หากภาพนั้นเป็นของปลอมเล่า? 

 

 

อวี้ถังเพียงรู้สึกว่าในใจสว่างวาบขึ้นมาฉับพลัน 

 

 

เมื่อครู่มิใช่ว่านางเกิดความคิดที่บ้าบิ่นออกมาหรอกหรือ? 

 

 

หากชาติก่อน บิดาของนางซื้อภาพวาดนี้และภาพวาดนี้ก็กลายเป็นสินเดิมยามที่นางแต่งเข้าสกุลหลี่ ครั้งนั้นที่สกุลหลี่ถูกขโมยทรัพย์สิน มีคนสับเปลี่ยนภาพของนางไป…เช่นนั้นเรื่องทั้งหมดก็คล้ายจะเข้าที่เข้าทางแล้ว 

 

 

นี่เป็นของจริง! 

 

 

เป็นเถ้าแก่ถงที่มองพลาดไป 

 

 

ภาพวาดในมือของนางชาติก่อนนั้นจึงจะเป็นของปลอม! 

 

 

แต่เป็นใครกันที่สับเปลี่ยนของจริงในมือนางไป? 

 

 

สมองของอวี้ถังแล่นอย่างว่องไว 

 

 

เวลานั้นนางกราบไหว้บรรพบุรุษเข้าไปอยู่ในสกุลหลี่แล้ว กลายเป็นหญิงม่ายที่ครองความบริสุทธิ์ คนทั้งเมืองหลินอันต่างก็จับตามองนาง ดูว่าเมื่อใดนางจะได้รับซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์[1]ให้แก่เมืองหลินอันและสกุลหลี่ นางไม่ค่อยออกจากเรือน แต่เมื่อใดที่นางออกไปข้างนอก พบเจอคนที่รู้จักนาง พวกเขาก็มักจะแสดงความเห็นใจนางสามส่วน สะท้อนใจสามส่วน ทั้งนับถืออีกสามส่วน 

 

 

ใครกันที่ไร้สมองเข้ามาขโมยของจากนาง 

 

 

ใครกันที่ใจกล้าเข้ามาขโมยถึงสกุลหลี่ 

 

 

อีกทั้ง การขโมยครั้งนั้นสกุลหลี่ก็ปิดเป็นความลับอย่างแน่นหนามาโดยตลอด 

 

 

เมื่อก่อนนางคิดว่าสกุลหลี่อาจกลัวข่าวไม่ดีแพร่งพรายออกไป กระทบกับการครองพรหมจรรย์ของนาง 

 

 

แต่หากเรื่องไม่ได้เป็นเช่นนั้นล่ะ? 

 

 

หากผู้ที่ขโมยภาพของนางไปก็คือคนของสกุลหลี่ล่ะ? 

 

 

ยังมีความอู้ฟู่ของสกุลหลี่ที่เกิดขึ้นหลังจากภาพวาดของนางหายไปไม่นานนัก 

 

 

อวี้ถังนึกมาถึงตรงนี้ก็รู้สึกโมโหจนยากจะควบคุม เสียงดัง ‘วิ้งๆ’ ในหัวเต็มไปหมด 

 

 

นางย้ายตะเกียงสองอันมาที่โต๊ะหนังสือ กล่าวกับอวี้หย่วน “ท่านพี่ เจ้ามองออกหรือไม่ว่าภาพนี้มีความพิเศษตรงไหน?” 

 

 

อวี้หย่วนสั่นศีรษะ หยิบภาพนั้นมองแล้วมองอีกอยู่ค่อนวัน ก่อนจะเอ่ยด้วยรอยยิ้มขมขื่น “มิน่าเล่า คนมักกล่าวกันว่าพอถึงคราวที่จะใช้ความรู้จริงๆ กลับต้องเสียใจเพราะเรียนมาน้อย หากข้าอ่านเขียนเรียนตำราให้มากกว่านี้ก็คงจะดี” 

 

 

เวลานี้อวี้ถังก็นึกถึงเผยเยี่ยนขึ้นมา 

 

 

นางส่ายศีรษะเป็นพัลวัน ราวกับหากทำเช่นนี้ก็จะสามารถสลัดความคิดเช่นนั้นออกไปได้ 

 

 

เผยเยี่ยนคือนายท่านสามของสกุลเยี่ยน หากนางนำภาพที่เถ้าแก่ถงรับรองว่าเป็นของปลอมไปให้เขาช่วยตรวจสอบ เกรงว่าเผยเยี่ยนคงไม่เพียงไล่นางออกมา บางทีอาจจะคิดว่านางเข้าไปก่อเรื่องเสียอีก 

 

 

นางคงบ้าไปแล้วจริงๆ ที่คิดให้เผยเยี่ยนช่วย! 

 

 

ไม่แปลกใจที่ก่อนหน้านี้เผยเยี่ยนจะดูถูกนาง นางช่าง…ทำเรื่องไม่ยั้งคิด! 

 

 

อวี้ถังถอนหายใจ ถามอวี้หย่วน “ท่านพี่ ท่านว่า พวกเราควรนำภาพนี้ไปให้คนที่ชำนาญช่วยดูดีหรือไม่? ข้าคิดว่า หากเด็กคนนั้นไม่ได้หลอกลวงพวกเรา พวกเราย่อมต้องถูกคนที่บงการเขาจับตาดูอยู่ คนผู้นั้นไม่ได้ภาพไป คงต้องเกิดเรื่องอีกแน่ พวกเราไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร แม้จะคิดเสียทรัพย์เพื่อแลกกับความสงบ ส่งภาพนี้ให้เขาก็อับจนหนทางที่จะติดต่อเขาเช่นกัน!” 

 

 

อวี้หย่วนครุ่นคิดเล็กน้อย “พรุ่งนี้ข้าจะไปหาท่านอา เล่าเรื่องนี้ให้เขาฟัง จากนั้นค่อยขอให้เจ้าหน้าที่หลี่ช่วยสืบเรื่องจากผู้ดูแลบ่อนคนนั้น ดูว่าจะสามารถให้คำตอบได้หรือไม่ว่าเป็นใครที่ต้องการภาพวาดของพวกเรา หากท่านอารับปาก พวกเราก็ให้ผู้ดูแลบ่อนคนนั้นเป็นคนกลาง ขายภาพวาดนี้ให้กับอีกฝ่ายก็เพียงพอแล้ว” 

 

 

อวี้ถังกล่าวอย่างกังวล “หากพวกเขาคิดว่าพวกเราขายภาพปลอมให้พวกเขาเล่า?” 

 

 

อวี้หย่วนชะงักไปพักหนึ่งก่อนกล่าว “เช่นนั้น เจ้ามีความคิดอะไรดีๆ หรือไม่?” 

 

 

“ข้าคิดว่าอย่างไรก็ต้องหาวิธีพิสูจน์ภาพวาดนี้ให้ชัดเจนจะดีที่สุด” ขณะที่อวี้ถังกล่าว จู่ๆ ก็นึกไปถึงหลู่ซิ่น นางเงียบไปทันที มองไปทางอวี้หย่วน 

 

 

อวี้หย่วนเห็นความสับสน ลังเล กังวล ถึงกระทั่งความตกใจในแววตาของญาติผู้น้อง 

 

 

เขาวูบไหวในใจ นึกไปถึงที่มาของภาพนี้ 

 

 

หรือว่าการตายของหลู่ซิ่นก็เกี่ยวพันกับภาพวาดนี้เช่นกัน? 

 

 

ความจริงหลู่ซิ่นผู้นี้เป็นคนเห็นแก่ตัวอย่างมาก ทุกครั้งที่เขาดื่มสุราจนเมามาย ล้วนเป็นผู้อื่นที่ออกเงินให้ แต่ไหนแต่ไรตัวเขาเองแทบที่จะไม่ซื้อสุราดื่มเลย หากกระหาย ส่วนมากก็มักจะคิดหาวิธีไปร่วมดื่มกับผู้อื่นโดยไม่เสียเงิน ยามที่ไม่อาจทำได้ จึงค่อยสั่งสุรามากินให้พอหายอยากอย่างจำใจ 

 

 

“ข้า ข้าจะไปหาท่านอาเดี๋ยวนี้แหละ” อวี้หย่วนเด้งตัวขึ้นมาทันที “หลู่ซิ่นนั้นตายอย่างไร พวกเราล้วนไม่รู้ ทำได้เพียงต้องถามท่านอา” 

 

 

อวี้เหวินกำลังสาละวนกับงานศพของหลู่ซิ่นในวัดหนึ่งตรงชานเมือง 

 

 

“คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก[2]!” อวี้ถังมองภาพบนโต๊ะหนังสือ อยากที่จะนำมันไปเผาไฟทิ้งเสียเดี๋ยวนั้น “นี่ช่างเป็นเคราะห์ร้ายโดยแท้!” 

 

 

กระนั้นนางก็ไม่กล้า 

 

 

นางกลัวว่าแม้นางจะเผาภาพนี้ทิ้งจริงๆ หากคนที่ต้องการภาพไม่เชื่อ ก็อาจจะสร้างปัญหาให้ครอบครัวนางได้ ทั้งเมื่อถึงเวลานั้นพวกเขาไม่ส่งภาพออกมา สถานการณ์คงจะลำบากยิ่งกว่าตอนนี้เป็นแน่ 

 

 

อวี้ถังเดินไปดูนาฬิกาน้ำ “อย่างเร็วที่สุดก็อีกสองชั่วยาม ประตูเมืองถึงจะเปิด ท่านไปนอนสักงีบเถิด ถึงเวลานั้นข้าจะให้ซวงเถาไปเรียกท่าน จากนั้นให้อาเสาไปยืมล่อของนายท่านอู๋มาตัวหนึ่ง เช้าตรู่หากจ้างรถม้าไม่ได้ เจ้าก็ยังมีล่อขี่ เร็วกว่าเดินเท้าเป็นไหนๆ!” 

 

 

อวี้หย่วนรู้ว่าการจัดการเช่นนี้ของอวี้ถังเป็นวิธีที่ดีที่สุด 

 

 

แม้ว่าจิตใจของเขาจะหนักอึ้ง แต่ก็ยังคงทำตามที่อวี้ถังบอก ข่มตานอนหลับสักงีบ 

 

 

ด้านอวี้ถังกลับไม่ได้นอนทั้งคืน 

 

 

นางเอาแต่จ้องมองภาพวาดนั้น หวังจะหาส่วนที่แตกต่างจากชาติก่อนให้พบ รอจนยามที่ฟ้าใกล้สว่าง นางจึงไปเรียกซวงเถาให้ช่วยอวี้หย่วนตระเตรียมเสบียง จากนั้นก็ให้อาเสาไปปลุกอวี้หย่วน ส่งเขาออกจากเรือน 

 

 

———————————————– 

 

 

 

 

 

[1]ซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์ ในสมัยโบราณ ฮ่องเต้จะมีการประทานซุ้มเกียรติยศความซื่อสัตย์ให้กับหญิงสาวที่ยืนหยัดครองพรหมจรรย์หลังจากสามีตาย ฆ่าตัวตายฝังร่วมกับสามี หรือประพฤติชอบตามเงื่อนไขศีลธรรมอันดีในสมัยนั้น เพื่อเป็นการเชิดชูและเป็นเกียรติแก่วงศ์สกุล 

 

 

[2]คนธรรมดาย่อมไร้ความผิด แต่จะผิดเมื่อครอบครองหยก อุปมาว่า ของมีค่าอาจก่อให้เกิดหายนะได้