ตอนที่ 14 หนังสือถอนหมั้นฉบับปรับปรุง

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่หรูอวิ๋นเมื่อเห็นซวนหยวนหลี่เทียนถูกลบหลู่เกียรติถึงเพียงนี้ ก็พลันตัวสั่นเทิ้มที่ถูกมู่เฉียนซียั่วอารมณ์จนแทบระเบิดโทสะ ทว่าทำได้เพียงกระทืบเท้าด้วยความโกรธแค้น  ก่อนเอ่ยต่อว่าอย่างไม่พอใจ

“นี่! …มู่เฉียนซี แม้เจ้าจะมีสถานะเป็นถึงผู้นำตระกูลมู่  แต่ทว่าเจ้ากลับทำเรื่องที่น่ารังเกียจยิ่งนัก  เจ้ากล้าหยามเกียรติท่านพี่หลี่เทียน  ผู้เป็นถึงองค์ชายแห่งตระกูลซวนหยวนได้หรือ ?”

“หึ! หยามเกียรติ… ข้าน่ะหรือหยามเกียรติ!  คนไร้เกียรติไร้สัจจะเช่นหลี่อ๋องผู้นี้  มีสิ่งใดให้ข้าต้องหยามเกียรติหรือ  เจ้าลองชายตาอันโง่งมของเจ้าดูให้ดี หลี่อ๋องผู้นี้มีสิ่งใดเหนือกว่าข้าหรือ  ไม่ว่าจะเป็นรูปร่างหน้าตาที่แสนอัปลักษณ์ หรือจิตใจที่แสนจะชั่วช้า  หากไม่นับว่าเป็นองค์ชายของฮ่องเต้ คนผู้นี้มิมีสิ่งใดเทียบกับข้าได้เลยแม้สักเศษเสี้ยวเดียว”

“หลี่อ๋องผู้นี้เป็นได้เพียงคนไร้ค่า ไร้ประโยชน์เท่านั้น  แม้แต่สตรีผู้ไร้ประโยชน์เช่นข้า ก็ยังสามารถเอาชนะได้เลย”

มู่เฉียนซีหยิบยกคุณสมบัติของซวนหยวนหลี่เทียนมาพรรณนาให้มู่หรูอวิ๋นฟังทีละข้ออย่างไม่หวั่นเกรง

มู่หรูอวิ๋นผู้ที่เคยมีฝีปากกล้าไม่เป็นสองรองใคร ตอนนี้กลับนิ่งอึ้งชะงักไป ได้ยินเพียงเสียงตะกุกตะกักพูดอยู่ในลำคอ

“ท่านพี่หลี่เทียน… ท่าน… เอ่อ…”

มู่หรูอวิ๋นไม่อาจหาคำใดมาโต้แย้งมู่เฉียนซีได้  ได้แต่จับจ้องใบหน้าของหญิงสาวตรงหน้าอย่างตกตะลึงในความร้ายกาจที่คาดไม่ถึงของนาง

มู่เฉียนซีไม่เพียงจะเก่งกล้าทางวิชายุทธ์ขึ้นเท่านั้น แต่ฝีปากอันเฉียบคมของนางยังเป็นเลิศยากจะหาผู้ใดมาเทียบเคียง… ‘นางยังเป็นมู่เฉียนซีคนเดิมอยู่หรือ ?’

มู่เฉียนซีเห็นท่าทีชะงักงันของมู่หรูอวิ๋นก็นึกรำคาญสายตา สภาพนางไม่ต่างจากสุนัขจนตรอกที่หมดหนทางสู้  ขี้คร้านจะสนใจ ไม่อยากโต้ตอบให้เสียเวลา  มู่เฉียนซีจึงหันไปเอ่ยถามท่านอาของตน

“ท่านอา ท่านคิดว่าหนังสือถอนหมั้นนี้ ข้าเขียนเป็นอย่างไรบ้าง ?”

มู่อวู่ซวงได้ยินหลานสาวถามด้วยความคึกคะนองใจ จึงเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

“ซีเอ๋อร์… ข้าเป็นอาของเจ้า  หนังสือถอนหมั้นนี้ก็ควรเป็นอาที่เป็นผู้เขียนจึงจะถูกต้อง”  กล่าวจบก็หันไปออกคำสั่ง

“พวกเจ้า… ไปเตรียมแผ่นกระดานมาอีกแผ่น!”

“ขอรับนายท่าน”

แม้จะรู้สึกอึดอัดใจอยู่บ้างที่ท่านอาทำเช่นนี้ แต่ทว่ามู่เฉียนซีก็จำยอมเพราะรู้ดีว่าท่านอาเป็นผู้เดียวที่ห่วงใยตนอย่างแท้จริง…‘คงจะกลัวว่านางจะผิดใจกับท่านพ่อของหลี่อ๋องผู้อยู่ในสถานะฮ่องเต้หากได้อ่านหนังสือถอนหมั้นอันลือลั่นของนาง แต่มู่เฉียนซีก็ยังมิวายสงสัยว่าท่านอาจะเขียนหนังสือถอนหมั้นของนางได้สวยหรูสักเพียงใด’

ซวนหยวนหลี่เทียนผู้นอนนิ่งอยู่ในโลง ได้ยินดังนั้นก็นึกโล่งอกที่ท่านอาวุโสมู่จะเป็นผู้เขียนหนังสือถอนหมั้นเอง …‘เพราะถึงแม้ท่านมู่อวู่ซวงจะมีอายุมากกว่าตนไม่มากนัก แต่ทว่าก็เป็นถึงท่านผู้อาวุโสของตระกูลมู่  อย่างไรเสียก็คงไม่เขียนข้อความส่งเดชเฉกเช่นมู่เฉียนซีผู้ไม่รู้ความเป็นแน่’

เพราะหากให้หนังถือถอนหมั้นอันลือลั่นของมู่เฉียนซีเผยแพร่ออกไป ภายภาคหน้าหลี่อ๋องผู้นี้คงไม่มีหน้าไปพบเจอผู้คนได้อีก

หลังจากที่แผ่นกระดานแผ่นใหม่มาถึง มู่อวู่ซวงก็หยิบพู่กันและเริ่มลงมือสะบัดปลายพู่กันในทันที

ลายมือของราชายุทธ์ระดับเก้าผู้นี้สื่อตัวตนที่เรียบง่าย  ตัวอักษรพรั่งพรูไหลลื่นออกมาดั่งสายน้ำ ทว่างดงามและหนักแน่นดั่งเนื้อหยกสลัก  แม้ว่ามู่อวู่ซวงจะดวงตามืดบอด แต่กำลังความสามารถก็เป็นที่ประจักษ์  มีความไวต่อการรับรู้สิ่งรอบตัวแข็งแกร่งกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก การจรดปลายพู่กันเขียนหนังสือก็ย่อมไม่ใช่ปัญหาอะไร…  เพียงพริบตาเดียว คำว่า ‘หนังสือถอนหมั้น’ ก็ถูกจรดลงบนแผ่นกระดาน จากนั้นก็เริ่มเนื้อความต่อทันที

“หลี่อ๋อง… หรือบุรุษนามว่า ซวนหยวนหลี่เทียน  แม้ว่าเขาจะได้ทำการหมั้นหมายกับมู่เฉียนซีหลานสาวของข้าเพราะพระราชโองการของฮ่องเต้แล้ว แต่ทว่าเขานั้นมีใบหน้าที่อัปลักษณ์เกินกว่าผู้ใดจะเทียบได้ กำลังความสามารถก็ต่ำต้อย พ่ายแพ้แม้สตรี ไร้ประโยชน์เป็นที่สุด  เขาเป็นเพียงผู้ขาดสัจจะ เป็นเดนมนุษย์อย่างแท้จริง โหดเหี้ยมไร้ความปรานี เลือดเย็นอำมหิต เป็นบุรุษที่สตรีทั่วทั้งหล้ามิควรตบแต่งด้วย  ทั้งยังหยอกล้อยั่วเย้าหญิงอื่นไปทั่ว พัวพันกับสตรีมากมาย เข้าออกหอนางโลมไม่เคยขาด…”

แผ่นกระดานนั้นใหญ่พอที่จะทำให้ผู้คนโดยรอบมองเห็นได้อย่างชัดเจน  มู่อวู่ซวงเขียนทีละบรรทัดอย่างกระจ่างแจ้งและต่อเนื่องไม่มีสะดุด แต่ทว่าผู้ที่เห็นภาพเบื้องหน้าต่างพากันก็ตกตะลึงงันตาค้างไปตาม ๆ กัน

‘พวกเขารู้ดีว่าท่านอาวุโสมู่เก่งทั้งทางบุ๋นและทางบู๊  แต่ไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่านายท่านสามจะมีพรสวรรค์ด้านตัวอักษรมากมายเช่นนี้’

มู่เฉียนซีเห็นดังนั้น ทั้งรู้สึกประหลาดใจและสะใจไปในทีเดียวกัน แสยะยิ้ม มุมปากกระตุก  ‘สาแก่ใจยิ่งนักท่านอาของข้า สมแล้วที่เป็นอาหลานกัน ตัวอักษรของท่านอาช่างเหี้ยมโหด แต่ทว่าเฉียบแหลมทิ่มแทงใจดีแท้  หนังสือถอนหมั้นนี้เป็นฉบับที่ยอดเยี่ยมที่สุด  พรรณนาโวหารของท่านอานั้นเหนือชั้นกว่าข้าอยู่หลายขุมนัก’

ก่อนจะเขียนบรรทัดสุดท้าย มู่อวู่ซวงก็เอ่ยขึ้น

“จากการสืบความขององครักษ์เงาแห่งสกุลมู่ล่วงรู้มาว่า แม้หลี่อ๋องจะข้องแวะกับสตรีมากหน้าหลายตา แต่ความเป็นจริงแล้วก็เพื่อจะปกปิดเรื่องที่ว่าจุดลับของเขาเสื่อม  หลี่อ๋องไม่สามารถร่วมหอกับสตรีใดได้ ไม่อาจมีทายาทสืบสายเลือดสกุลมู่ได้ ไม่มีคุณสมบัติใดคู่ควรกับมู่เฉียนซีหลานสาวของข้าเลยแต่แม้แต่น้อย  ดังนั้นข้าขอประกาศว่านับแต่วันนี้เป็นต้นไป มู่เฉียนซีหลานสาวของข้าได้ถอนหมั้นกับหลี่อ๋อง ซวนหยวนหลี่เทียน แล้ว และไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ต่อกันนับจากนี้”

“ซู้ดดด!…”

ผู้คนที่มุงดูโดยรอบต่างพากันสูดปากดังระงมหลังสิ้นเสียงของมู่อวู่ซวง

‘คนร้ายกาจน่ะเคยพบเจอ แต่ผู้ที่ร้ายกาจชั่วช้าได้ถึงเพียงนี้ ไม่เคยได้พบพานมาก่อน ทันทีที่หนังสือถอนหมั้นฉบับนี้เผยแพร่ออกไป แน่นอนว่าหลี่อ๋องคงต้องอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี ย่อมไม่มีหน้าพบผู้คนได้อีกแล้ว’

หากข่าวลือนี้แพร่งพรายออกไป ผู้คนทั่วทั้งแคว้นจื่อเยี่ย คงจะได้พากันหัวเราะเยาะกันเสียยกใหญ่  แม้จะยังไม่รู้ว่าสิ่งที่มู่อวู่ซวงกล่าวหาว่าหลี่อ๋องไม่อาจสืบสกุลได้นั้นจะเป็นเรื่องจริงเท็จประการใด แต่ชื่อเสียงของหลี่อ๋องคงจะต้องย่อยยับไม่เหลือซากเป็นแน่แล้ว

นายท่านสามแห่งสกุลมู่ผู้นี้ ยามปกติไม่เคยสำแดงฤทธิ์เดชอันใด แต่พอได้สำแดงขึ้นมาแล้วก็ไม่อาจมีผู้ใดมาหยุดยั้งได้

มู่หรูอวิ๋นในยามนี้ หมดสิ้นกำลังเรี่ยวแรงจนทนยืนต่อไปไม่ไหว นางไม่อยากจะคิดเลยว่า …‘ เมื่อท่านพี่หลี่เทียนของนางพ้นจากประตูสกุลมู่ไปจะต้องอับอายขายหน้าเพียงใด  คงจะสะเทือนจิตใจจนอยากกลั้นใจตาย’

“นายท่านสาม ได้โปรดด้วยเถิด …นายท่านสามเป็นผู้ใจดีมีเมตตา ใจกว้างดุจดั่งมหาสมุทร โปรดเหลือหนทางรอดให้ท่านพี่หลี่เทียนด้วยเถิด… ฮือ…” มู่หรูอวิ๋นคุกเข่าร่ำไห้อ้อนวอน

“เจ้ายังกล้ามาขอความเห็นใจอีกหรือ… เจ้าและซวนหยวนหลี่เทียนทำให้ซีเอ๋อร์หลานของข้าต้องเสียใจ เสียความน่านับถือแม้มีสถานะเป็นถึงผู้นำตระกูล  พวกเจ้าเคยคิดใจกว้างและเหลือหนทางรอดให้แก่นางบ้างหรือไม่ ข้าก็แค่คืนสิ่งที่พวกเจ้าทำกลับไปก็เท่านั้นเอง” มู่อวู่ซวงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเย็นชา

ได้ฟังดังนั้น มู่หรูอวิ๋นก็พลันตกใจจนใบหน้าซีดเผือด ที่แท้นายท่านสามก็รู้เห็นทุกอย่างมาโดยตลอด

มู่เฉียนซีเผยรอยยิ้มยะเยือกแฝงแววตาสะใจอยู่ไม่น้อย ‘แม้ว่า เจ้าของร่างเดิม จะเป็นคนไร้ประโยชน์ แต่อย่างไรเสียก็เป็นถึงผู้นำตระกูลมู่  ทว่าชื่อเสียงกลับฉาวโฉ่เสียหายจนผู้คนรู้กันหมดทั่วบ้านทั่วเมือง ทั้งหมดนี้ก็เพราะมีคนคอยพูดใส่ไฟ จงใจปล่อยข่าวลือที่ไม่เป็นความจริงออกไป’

จนรู้กันไปทั่วทั้งแว่นแคว้น ทำให้ผู้นำตระกูลมู่อย่างนางต้องเสื่อมเสีย  ชื่อเสียงของนางตกเป็นเรื่องตลกขบขันในหัวข้อพูดคุยหลังมื้ออาหารทุกวันของเหล่าราษฎรในเมืองจื่อตู

ทันใดนั้นเอง มู่เฉียนซีก็หัวเราะขึ้นมาฉับพลัน พลางเอ่ยขึ้น

“มู่หรูอวิ๋น เจ้าได้เดิมพันแพ้แล้ว ถ้าเช่นนั้นก็ต้องทำตามข้อตกลงเช่นกันน่ะสิ”

มู่หรูอวิ๋นได้ฟังดังนั้น ก็พลันรู้สึกหนาวเหน็บไปถึงกระดูก  นางรีบถอยออกห่างให้ไกลจากมู่เฉียนซีในทันที

เรื่องที่มู่เฉียนซีกระทำในวันนี้ช่างอำมหิตเกินไปแล้ว ต่อจากนี้นางไม่อาจคาดเดาได้เลยว่ามู่เฉียนซีจะจัดการกับนางอย่างไร

มู่หรูอวิ๋นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงสั่นไหว

“เจ้าต้องการอย่างไร ?”

มู่เฉียนซีกระตุกยิ้มมุมปาก

“เจ้ารักท่านพี่หลี่เทียนของเจ้ามากมิใช่หรือ เขาเข้าไปนอนอยู่ในโลงศพมรกตเพียงผู้เดียวเช่นนี้ เจ้าก็คงจะเดียวดายแย่น่ะสิ  หนทางจากคฤหาสน์สกุลมู่ไปยังตำหนักหลี่อ๋องนั้นรึก็ไม่ใช่ใกล้ ๆ  ข้าว่า ‘เจ้าเข้าไปอยู่ข้างในเป็นเพื่อนเขาเถิด’”

“ฮะ!… เจ้าว่าอย่างไรนะ ?!  ข้าไม่มีวันเข้าไปในโลงศพนั้นแน่ ในโลงศพมีแต่ความอัปมงคลเช่นนั้น  ข้า…”

มู่หรูอวิ๋นตะโกนตอบเสียงแหลม  ฝ่ายซวนหยวนหลี่เทียนที่นอนนิ่งอยู่ในโลงได้ยินคำพูดของนางผู้เป็นที่รักเช่นนั้น  ดวงตาของเขาก็พลันปรากฏแววตามืดมนจนน่าหวาดกลัว

หรือที่สตรีผู้นี้เคยบอกรักเขา  ยอมตายได้เพื่อเขา นั่นเป็นเพียงคำหลอกลวงทั้งสิ้น!

ยามนี้ ถึงเวลาร่วมทุกข์ ตกระกำลำบากด้วยกัน นางกลับปฏิเสธอย่างไม่ไยดี

ผู้เฒ่ารองที่เห็นเรื่องราวเป็นเช่นนี้ ก็รู้สึกสงสารมู่หรูอวิ๋นผู้เป็นหลานสาวจับใจ จึงรีบวิ่งเข้ามาอ้อนวอนขอความเมตตา

“ท่านผู้นำตระกูล!… นายท่านทำเช่นนั้นไม่ได้เป็นอันขาดนะขอรับ หากทำเช่นนี้แล้วชื่อเสียงของอวิ๋นเอ๋อร์หลานก็คงป่นปี้ไม่มีชิ้นดี ต่อไปนางจะออกเรือนได้อย่างไรเล่า ?”

.