ตอนที่ 15 ส่งไปเดินขบวนแห่ที่ถนนให้หมด

ท่านอ๋องผู้โหดร้ายกับหมอปีศาจ

มู่เฉียนซีได้ฟังก็แสยะยิ้มอย่างเย็นชา  “ออกเรือนงั้นหรือ ?”

“โธ่เอ๊ย! …ตาแก่ผู้น่าเวทนา เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้เท่าทันแผนการกระจอกของพวกเจ้าหรือ เจ้ารอคอยให้ข้าถอนหมั้นกับหลี่อ๋อง จากนั้นก็จะให้หลานสาวของเจ้าขึ้นมาเสียบแทน ตบแต่งเป็นพระชายาของหลี่อ๋อง  เจ้ารอคอยเวลานั้นมาตลอดมิใช่หรือ ?  ทว่าวันนี้ ขอแค่หลานสาวของเจ้าลงโลงไปร่วมทุกข์ร่วมสุขกับหลี่อ๋องในยามนี้  ข้าเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นั้นจะต้องซาบซึ้งใจเป็นอย่างมากจนต้องมาสู่ขอหลานสาวของเจ้าเข้าสกุลเป็นแน่แท้”

“ท่านผู้นำตระกูล!…”

ผู้เฒ่ารองอุทานอย่างตกตะลึง ไม่นึกเลยว่าท่านผู้นำตระกูลมู่ผู้ไม่เอาไหนผู้นั้น จะล่วงรู้แผนการชั่วร้ายนี้มาตลอด

‘ต่อให้นางหญิงเจ้าเล่ห์ผู้นั้นตบแต่งเข้าไปในสกุลซวนหยวนได้ ก็เกรงว่าแม้แต่ตำแหน่งพระชายารองก็ยังมิอาจจะคว้ามาได้’

มู่เฉียนซีผู้ใจกว้างยังนึกรำพันไม่ทันจบสิ้นก็สังเกตเห็นผู้เฒ่ารองสั่นเทาไปทั้งตัวด้วยโทสะ

มู่เฉียนซีจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงเยาะเย้ย

“ข้าดีใจกับเจ้าเหลือเกินท่านผู้เฒ่ารอง… เรื่องที่พวกเจ้าคิดวางแผนการกันอย่างหนักมาร่วมหลายปี  ตอนนี้อีกเพียงนิดเดียวก็ใกล้จะสำเร็จแล้ว

ข้ารู้ดีว่าเจ้าดีใจจนตัวสั่นแต่ก็อย่าแสดงอาการออกนอกหน้ามากนัก  ประเดี๋ยวมันจะดูประเจิดประเจ้อจนเกินไป”

“ท่านผู้นำ… ได้โปรดไว้ชีวิตข้าน้อยด้วย” ผู้เฒ่ารองไม่อาจเฉไฉทำเป็นไม่รู้ความได้อีกต่อไปจึงรีบร้องตะโกนอ้อนวอนขอชีวิตในทันที

“ท่านผู้นำตระกูล… ปล่อยข้าไปเถิด… ข้าผิดไปแล้ว” มู่หรูอวิ๋นพลันร้องไห้ตะโกนเสริม

“ท่านผู้นำตระกูล  ข้าดูแลท่านเป็นอย่างดีมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  สามปีให้หลังมานี้ แม้ท่านจะหมั้นหมายแล้ว  ข้าก็ปฏิบัติต่อท่านเสมือนน้องสาวแท้ ๆ  ท่านอย่าใจร้ายกับข้าเช่นนี้เลย…” เสียงหญิงร้อยเล่ห์มารยาร้องอ้อนวอนพร้อมกับอวดอ้างสารพัดความดี

“เหอะ ๆ ดูแลรึ ? …ดูแลดีมากเลยหรือ ?”

มู่เฉียนซีเอ่ยออกมาพร้อมรอยยิ้มเย็นชา ดวงตาดำขลับคู่นั้นใสชัดราวกับกระจก ความคิดชั่วร้ายของมู่หรูอวิ๋นไม่อาจรอดพ้นไปจากสายตาของนางได้หรอก

“พวกเจ้า พามู่หรูอวิ๋นลงไปอยู่ในโลงศพเป็นเพื่อนหลี่อ๋องซะ”

องครักษ์เงาแห่งสกุลมู่กำลังจะทำตามคำสั่งผู้นำตระกูล  ทว่ามู่หรูอวิ๋นกลับเอ่ยแทรกขึ้นเสียก่อน

“ไม่ต้อง!  คนอย่างข้าไปเองได้!”

มู่หรูอวิ๋นแม้จะเป็นหญิงร้อยเล่ห์จอมมารยา แต่ทว่าก็เด็ดเดี่ยวกว่าหลี่อ๋องบุรุษผู้ล้นเกียรติอยู่มากนัก เมื่อรู้ว่าตนไร้กำลังจะต่อกรก็ยอมจำนนทำตามสัจจะที่เดิมพันไว้

มู่หรูอวิ๋นกระโดดเข้าไปในโลงศพด้วยตนเองอย่างมิอาจต่อรองได้  โลงศพมรกตนี้ เดิมทีหลี่อ๋องได้สั่งให้คนทำขึ้นมาอย่างพิถีพิถันจึงมีขนาดกว้างขวางเหลือเฟือพอที่จะยัดคนทั้งสองลงไปได้

พื้นที่เล็ก ๆ ในโลงศพดูแคบลงถนัดตาเมื่อบรรจุคนสองคน  ภายในมีเพียงหนุ่มสาวคู่รักที่มาอยู่เป็นเพื่อนกันในยามที่ชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ชวนให้นึกถึงบทละครรักนิรันดร์ ร่วมกันฝ่าฟันแม้ฟ้าดินสลาย… ตามบทแล้วซวนหยวนหลี่เทียนควรซาบซึ้งดีใจยิ่งนักที่คนรักยอมเสียสละชื่อเสียงเพื่อตน…

…แต่ทว่าเมื่อหวนคิดถึงคำปฏิเสธ และอาการดิ้นรนไม่ยินยอมของนางข้างกายเมื่อครู่นี้ก็กลับกลายเป็นบทละครเศร้าโศก เจ็บแค้นไปทั้งหัวใจขึ้นมาทันควัน…  ซวนหยวนหลี่เทียนโกรธเคืองนัก แทบไม่อยากได้ยินชื่อนางอีก

เขาหลับตาลงไม่อยากจะเห็นใบหน้าหญิงจอมปลอมข้างกายผู้นี้อีกต่อไป

มู่หรูอวิ๋นพยายามขยับกายอันปวดร้าวไปใกล้ร่างหลี่อ๋อง พร้อมเอ่ยขึ้นด้วยมารยาร้อยเล่มเกวียน “ท่านพี่หลี่เทียน ข้ามาอยู่ในนี้เป็นเพื่อนท่านแล้ว ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ข้าก็จะคอยอยู่เคียงข้างท่านตลอดไป”  ซวนหยวนหลี่เทียนไม่คิดจะสบตา หญิงร้อยเล่ห์จึงพูดต่อ

“ที่ข้าต่อต้านมู่เฉียนซีเมื่อครู่นี้  ก็เพียงแค่อยากจะหาทางหนีทีไล่ออกไปจากที่นี่ เพื่อเรียกคนมาช่วยท่าน แต่ไม่คิดว่าสุดท้ายแล้วจะทำไม่สำเร็จ เช่นนั้นแล้วสิ่งที่ข้าทำได้ก็คือมาอยู่เป็นเพื่อนท่านในโลงศพนี้อย่างไรเล่า”

น้ำเสียงทรงเสน่ห์แฝงความเย้ายวนของหญิงสาวทำให้ซวนหยวนหลี่เทียนเคลิบเคลิ้มอ่อนระทวยไปทั้งหัวใจ  ไม่อาจเคืองโกรธมู่หรูอวิ๋นได้อีกต่อไป เขาเอ่ยเรียกหญิงยอดรักด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ เผยให้เห็นความซาบซึ้งต่อมู่หรูอวิ๋นเป็นที่สุด

“อวิ๋นเอ๋อร์ของข้า…”

.

.

ฝ่ายมู่อวู่ซวงเมื่อเขียนข้อความจนเสร็จสิ้นก็เอ่ยสั่งการ

“นำหนังสือถอนหมั้นไปติดไว้บนโลงศพนั่น และส่งหลี่อ๋องกลับตำหนักเสีย”

มู่เฉียนซีไม่ลืมที่จะแสดงความหวังดีอย่างมีความนัยในสายตา เอ่ยกำชับทหารคุ้มกัน “เดินช้า ๆ … อย่าให้หลี่อ๋องต้องชนกระแทกอะไรเข้าล่ะ”

“ขอรับ”

ชายแปดคนช่วยกันหามโลงศพ อีกสี่คนหามฝาโลงออกจากคฤหาสน์สกุลมู่ไปอย่างเอิกเกริก

พ่อบ้านไป๋ผู้มองดูเหตุการณ์ทั้งหมดอยู่อีกฝั่ง ยิ้มพลางเอ่ยขึ้น “ต้องขอบคุณท่านผู้นำตระกูลมู่มากที่ให้ข้าได้ชมละครอันแสนสนุกเช่นนี้  เมื่อจบเรื่องแล้วข้าต้องขอตัวลาก่อน นายท่านของข้ายังรอข้ากลับไปรับใช้อยู่”

“พ่อบ้านไป๋… ขอให้เดินทางปลอดภัย” มู่เฉียนซีกล่าวร่ำลา

‘หากวันนี้ไม่มีพ่อบ้านไป๋เป็นพยานให้นางแล้วละก็ คำเท็จของเหล่าคนทรยศคงจะทำให้นางไม่อาจจัดการกับซวนหยวนหลี่เทียนและมู่หรูอวิ๋นได้อย่างง่ายดายเช่นนั้นแน่’

“ส่วนพวกเจ้า…”

มู่เฉียนซีชายตามองไปยังเหล่าคนทรยศที่ยังยืนนิ่งอยู่ในลานกว้าง

“ท่านผู้นำตระกูล…”

ผู้คนในบ้านสกุลมู่หวาดกลัวไม่น้อยกับวิธีการที่ท่านผู้นำตระกูลใช้จัดการกับหลี่อ๋อง ช่างอำมหิตนัก อีกทั้งยังมีนายท่านสามอยู่สมทบด้วย จิตใจของพวกเขาก็หวาดหวั่นยากที่จะสงบลง

“หลายปีมานี้ผู้เฒ่าทั้งสามคอยทุ่มเททั้งกายใจเพื่อสกุลมู่ของข้าเสมอมา ดังนั้นเรื่องวันนี้พวกเจ้าทั้งสามจะได้รับการเว้นโทษ  ส่วนบ่าวรับใช้ทรยศคนอื่น ๆ ก็ขายทิ้งให้หมดเสีย”

“ขอรับ”

ผู้เฒ่าทั้งสามตอบรับด้วยความดีใจที่รอดคราวเคราะห์นี้ไปได้  พลันถอนใจออกมาอย่างโล่งอก… ‘ส่วนบ่าวรับใช้พวกนี้จะขายก็ขายไปเสีย’

ผู้เฒ่าทั้งสามไม่คิดแม้แต่จะร้องขอความเมตตาให้พวกเขา ทำให้พวกบ่าวรับใช้ได้แต่ผิดหวังไปตาม ๆ กัน

“แค่ก ๆ…”

มู่อวู่ซวงกระแอมออกมาตามสภาพสังขารของตน พร้อมทั้งกล่าวว่า “วันนี้ซีเอ๋อร์เองก็เหนื่อยแล้ว ไปพักผ่อนเถอะ”

“ท่านอาต่างหากเล่าที่ต้องพักผ่อน พวกเจ้าส่งท่านอากลับเรือนอวู่โยวเดี๋ยวนี้”

มู่เฉียนซีออกคำสั่งที่ไม่ค่อยจะคุ้นเคยนักกับคนในตระกูลของนาง

“ขอรับ”

มู่เฉียนซีจับจ้องไปที่ร่างซูบผอมนั้น ขาและดวงตาของท่านอาล้วนไม่ได้เป็นมาแต่กำเนิดแต่เป็นเพราะถูกยาพิษเล่นงานเข้า พิษเหล่านั้นกัดกินทำลายร่างกายของท่านอาและส่งผลให้ร่างกายของเขาอ่อนแอยิ่งนัก…

…‘หากไม่ใช่เพราะท่านอาเป็นถึงราชายอดยุทธ์ระดับเก่าที่มีพลังแข็งแกร่งยิ่งแล้ว คงไม่อาจนั่งอยู่บนรถเข็นเคลื่อนที่ไปมาได้เช่นนี้หรอก คงทำได้เพียงนอนเป็นผักอยู่บนตั่งเตียงทั้งวันทั้งคืนเท่านั้น และการที่ท่าทีนางเปลี่ยนไปมากเช่นนี้ ท่านอากลับไม่ถามอะไรเลยสักคำ’

มู่เฉียนซีมองท่านอาของตัวเองไม่ออกเลยแม้แต่น้อย แต่มันก็ไม่ได้สำคัญอะไร เพราะจะอย่างไร  บุรุษผู้แข็งแกร่งผู้นี้ก็เป็นท่านอาของนาง เป็นคนที่รักและห่วงใยนางจากใจจริง  วันนี้ข้างกายนางมีญาติผู้ใหญ่ผู้นี้เพียงผู้เดียวก็เพียงพอแล้ว

หลังจากที่มู่อวู่ซวงกลับไปพักผ่อนแล้ว มู่เฉียนซีจึงเอ่ยปากขึ้น “รื้อโถงตั้งศพอัปลักษณ์นี่ซะ ข้ายังไม่ตายเสียหน่อย”

“ขอรับ”

มู่เฉียนซียืดเส้นบิดเอวพลางเอ่ยขึ้นมาอย่างเกียจคร้าน “ข้าก็จะกลับไปพักผ่อนที่เรือนสุ่ยซีแล้วเหมือนกัน  แม้จะเป็นเรื่องน่ายินดีนักที่ได้กำจัดกากเดนมนุษย์เหล่านั้นได้ แต่ก็เหนื่อยใช่ย่อยเลย”

หลังจากที่มู่เฉียนซีเดินกลับไปแล้ว พ่อบ้านไป๋ที่กล่าวอำลาไปแล้ว ทว่ากลับยืนอยู่ด้านหลังเงาร่างสูงโปร่งชุดดำพลางก็เอ่ยขึ้น

“นายท่าน นางกลับไปพักผ่อนแล้ว พวกเราก็ควรจะกลับด้วยหรือไม่ขอรับ ?”

บุรุษสูงโปร่งในชุดดำหันมาอย่างเชื่องช้า เผยใบหน้างดงามราวปีศาจแต่เย็นชาดั่งภูเขาน้ำแข็ง สองความรู้สึกที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง กลับถูกเขาหลอมรวมออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ

ชายหนุ่มอยู่ที่นี่มาตลอด เฝ้าคอยดูนางอยู่ตลอด หากแต่มู่เฉียนซีมองไม่เห็นเขาเองเพราะนางยังฝึกฝนวิชาไม่มากพอ

‘จิ่วเยี่ย’ สั่งกำชับด้วยท่าทีผ่อนคลาย “โลงศพที่ซวนหยวนหลี่เทียนอยู่ในนั้น ป่านนี้คงจะไปถึงถนนสายหลักแล้ว  เจ้าจงหาวิธีทำให้เรื่องนี้ใหญ่โตขึ้นมา แล้วจัดการคนที่มาช่วยซวนหยวนหลี่เทียนซะ”

“ขอรับ”

เมื่อพ่อบ้านไป๋จากไปแล้ว ร่างในชุดดำก็พลันหายตัว เพียงพริบตาเดียวก็เข้ามาสู่เขต ‘เรือนสุ่ยซี’ ของผู้นำตระกูลมู่เสียแล้ว

.