ตอนที่ 32 คนแบกโลงศพ

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

เกาถูฮู่มีบุตรชายทั้งหมดห้าคน 

 

 

บุตรชายคนโต อายุ 25 ปี ชื่อเกาเถี่ยจ้วง ตอนนี้แต่งงานแล้ว ภรรยาของเขาถูกซื้อตัวมาตั้งแต่เป็นเด็กตั้งแต่สมัยเกิดอุทกภัย นางมีนิสัยอ่อนโยน หลังจากแต่งงานนางก็คลอดบุตรชายฝาแฝดให้กับเขา 

 

 

ส่วนบุตรที่เหลือยังไม่ได้แต่งงาน บุตรชายคนที่สอง เกาเถี่ยโถว อายุยี่สิบปี หลังจากนั้นก็ไล่ลงมาตามลำดับ เกาถูฮู่มีบุตรชายคนเล็กอายุสิบสี่ปี หลังจากที่ภรรยาของเขาคลอดลูกคนเล็กคนนี้ นางก็ตายลง 

 

 

เนื่องจากตระกูลเกาไม่มีผู้หญิงกับเด็กให้ดูแลมากนัก จึงเป็นครอบครัวที่มีภาระน้อยที่สุด และมีเรี่ยวแรงในการใช้แรงงานมากที่สุดในหมู่บ้าน 

 

 

เมื่อเกาถูฮู่ตะโกนให้สัญญาณว่าหยุด บุตรชายของเขาก็ช่วยถอดตัวตู้รถออก เพื่อให้ควายเฒ่าได้พักผ่อน ดื่มน้ำและกินหญ้า  

 

 

ในสายตาของชาวไร่ชาวนา คนเหน็ดเหนื่อยไม่เป็นไร แต่หากสัตว์เหนื่อยล้า นั่นจะยิ่งทำให้คนสงสารพาลไม่สบายใจ 

 

 

เกาถูฮู่เอามือลูบควายเฒ่าของเขา ที่เปียกโชกไปด้วยเหงื่อ อีกด้านก็เร่งลูกสะใภ้ใหญ่ตั้งหม้อทำอาหาร 

 

 

ลูกสะใภ้คนโตถามเขาว่า “เตีย พวกเราต้มข้าวโพดดีไหม? ข้าเห็นครอบครัวหลี่เจิ้งกับครอบครัวซ่งถงเซิงดูเหมือนจะต้มข้าวโพดกินกัน” 

 

 

พวกผู้ชายเป็นผู้นำครอบครัว จึงมักจะกล้าได้กล้าเสีย 

 

 

เกาถูฟูไม่คิดมากเพราะเขาคิดได้ว่าอาหารไม่ได้มาจากการอดออม แต่ต้องไปหามา ดังนั้นในแต่ละวันที่เขาขายเนื้อหมู การใช้ชีวิตของพวกเขาจึงถือว่าดีเป็นอันดับต้นๆ ในหมู่บ้าน 

 

 

เขายกมือตวัดสั่งการ “อาศัยช่วงค่ำมืดค่อยทำ ยังมีคนในหมู่บ้านที่ยังตามมาไม่ทัน ถึงตอนนั้น หากคนอื่นได้กลิ่นอาหาร ก็จะหาเหตุมาขอของกินไม่ได้ เจ้าต้มข้าวโพดหม้อหนึ่ง อีกกระทะหนึ่งก็ผัดเนื้อหมู ผัดได้เท่าไรก็เท่านั้น ส่วนที่เหลือก็ใช้เกลือเม็ดทาหมักไว้เพื่อรอตากแห้ง หากสถานการณ์ไม่ดี แต่ละคนยังสามารถซ่อนมันเอาไว้กับตัวได้หลายชิ้น หากมีเหตุต้องหนีกระจัดกระจายกันไปก็จะได้ไม่หิวตายเสียก่อน!” 

 

 

เขาครุ่นคิดเรื่องนี้ ก่อนออกเดินทาง ครอบครัวเขาได้ฆ่าหมูหนึ่งตัว เสียงหมูตัวนั้นร้องดังลั่นได้ยินไปทั่วหมู่บ้าน นอกจากนี้ เกวียนที่เทียมวัวควายสามตัวของครอบครัวเขาก็ดูสะดุดตามาก เขาจึงกำชับลูกสะใภ้คนโตว่า “เจ้าผัดเสร็จแล้วก็ใส่หม้อไว้ นำไปให้ครอบครัวหลี่เจิ้งกับครอบครัวซ่งเสี่ยวซานก่อน ให้อาหารบ้านละสองหม้อ” 

 

 

ซ่งเสี่ยวซานก็คือซ่งฝูเซิง เกาถูฮู่แอบตั้งฉายาให้เขา 

 

 

บุตรชายคนโตของเขาก็ไม่พอใจ “เตีย ท่านไม่ใจกว้างไปหน่อยหรือ” 

 

 

เกาถูฮู่ยังไม่ทันได้พูดอะไร บุตรชายคนสองเกาเถี่ยโถวก็รีบพูดขึ้น 

 

 

“พี่ใหญ่ เรามีเกลือเหลืออยู่ไม่มาก เราจะพอหมักหมูทั้งตัวได้อย่างไร หากไม่หมักไว้ อากาศแบบนี้จะสามารถเก็บเนื้อไว้ได้หรือไม่ ระหว่างทางมีหลี่เจิ้งอยู่ คนต่างถิ่นอย่างพวกเราจะได้ไม่ตกเป็นเป้าหมายของคนทั้งหมู่บ้าน พวกเขารู้ว่าครอบครัวเรามีอาหารและเนื้อสัตว์ หากมีใครทนความหิวโหยไม่ได้จนออกมาแย่งชิงอาหารเราล่ะ” 

 

 

เกาเถี่ยจ้วงหัวเราะออกมา “พวกมันกล้า? พวกเราจะจัดการพวกมันให้ตาย!” 

 

 

“กล้าไม่กล้า อย่างน้อยก็ลดปัญหาไปได้บ้าง บ้านอาสามนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย เขากลับหมู่บ้าน มาถึงก็ส่งข่าวให้พวกเราทันที อุตส่าห์มาบอกพวกเราเป็นบ้านแรก ก็เหมือนกับช่วยชีวิตพวกเราเอาไว้” 

 

 

บุตรชายคนโตของตระกูลเกาก็นิ่งเงียบไม่พูดจา 

 

 

เกาถูฮู่สูบไปป์จีนสองทีก่อนจะพูดขึ้นมาว่า “ลูกสอง เจ้าไปส่งของให้บ้านซ่ง ส่วนข้าจะไปสอบถามหลี่เจิ้งว่า จะต้องเดินทางจนถึงเช้าหรืออย่างไร? หลังจากฟ้าสางเล่า? เดินทางต่อไปหรือ? อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่ควายเฒ่าก็เหนื่อยจนจะนอนฟุบแล้ว ” 

 

 

ในขณะเดียวกัน ทางบ้านซ่งก็ต้มข้าวโพดจนสุกพอดี 

 

 

พวกผู้ชายนั่งล้อมวงดื่มน้ำและกำลังปรึกษากันว่าจะทำอะไรต่อไป 

 

 

หากตอนนี้เป็นช่วงฟ้าสว่างก็คงเดินทางลี้ภัยกันต่อ แต่ทว่าตอนนี้เป็นเวลาหลังเที่ยงคืนเกือบจะตีสองแล้ว ทั้งคนและม้าต่างก็เหน็ดเหนื่อย 

 

 

พวกผู้หญิง เมื่อเทียบกับผู้ชายแล้วไม่ค่อยจะกังวลอะไรมากนัก ให้ทำอะไรก็ทำ ไม่เป็นตัวถ่วงขบวนก็นับว่าดีมากแล้ว 

 

 

โดยเฉพาะท่านย่าหม่า นางไม่กังวลใจอะไรเลย แถมยังมีกะจิตกะใจแบ่งอาหารการกิน 

 

 

ใช่เลย ไม่ผิด มันคือการแบ่งอาหาร โดยแบ่งออกเป็นหกระดับ ซึ่งนางดูมีความภาคภูมิใจกับงานนี้เป็นอย่างมาก 

 

 

ท่านย่าหม่าหักข้าวโพดเป็นชิ้นเล็กๆ ให้ต้ายา เอ้อร์ยา เถาฮวาคนละอัน 

 

 

ส่วนซ่งฝูหลิง ซ่งจินเป่า เฉียนหมี่โซ่ว ได้รับอาหารแห้งขนาดเท่ากำปั้นคนละหนึ่งส่วน ไม่ได้ให้เป็นข้าวโพดต้ม 

 

 

นางแบ่งข้าวโพดให้แก่ลูกสะใภ้ทั้งสามคน คนละหนึ่งฝัก พร้อมกับกำชับ “ถ้ากินเสร็จแล้วก็รีบไปตัดพื้นรองเท้าต่อด้วย” 

 

 

ส่วนตัวนางเองกับแม่ของบุตรเขย คือ ท่านยายเถียน กับบุตรสาวแท้ๆ ของนาง ซ่งอิ๋นเฟิ่งและก็เป็นป้าเพียงคนเดียวของซ่งฝูหลิง นางได้แบ่งอาหารแห้งขนาดปกติให้พวกเขาคนละหนึ่งส่วน 

 

 

หลังจากนั้นก็แบ่งข้าวโพดต้มกับซื่อจ้วงและเหล่าหนิวคนละสองฝัก 

 

 

ส่วนที่เหลือคือ บุตรชายและหลานชายทั้งหลายของท่านย่าหม่า รวมทั้งบุตรเขยและลูกชายของบุตรเขย จะได้ส่วนแบ่งเป็นข้าวโพดคนละสี่ฝัก 

 

 

ซ่งฝูหลิงบีบอาหารแห้งขนาดเท่ากำปั้นเอาไว้แน่น “…” 

 

 

ต้องขอบคุณมาก นางเป็นเพียงเด็กสาวคนหนึ่งเท่านั้น ต้องขอบคุณท่านย่าของนางที่ไม่ได้จัดนางเป็นคนกลุ่มที่หนึ่ง 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วพึมพำกับซ่งฝูหลิงเบาๆ หากเขาถูกจัดไปอยู่กลุ่มที่หนึ่งก็ดีนะ เพราะเขาสามารถแลกเปลี่ยนของกินกับพี่สาวได้ อยากกินอาหารแห้งก็จะได้กินอาหารแห้ง อยากกินข้าวโพดก็จะได้กินข้าวโพด ครั้งต่อไปเขาจะต้องแย่งชิงตำแหน่งให้ตัวเองไปอยู่ในกลุ่มหนึ่งให้ได้ 

 

 

ซ่งฝูหลิงถึงกับสำลัก 

 

 

ซื่อจ้วงกับเหล่าหนิว รับข้าวโพดมาคนละสองฝัก พวกเขาสองคนเป็นคนซื่อ รับอาหารมาก็นั่งขัดสมาธิกินกันไป 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงมองข้าวโพดหนึ่งฝักที่อยู่บนมือ มองบุตรสาวและมองพวกซื่อจ้วง นางรีบกินด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะเดินตรงไปยังกระทะ พลางคิดในใจ จะตามใจให้ท่านย่าหม่าทำนิสัยไม่ดีแบบนี้ไม่ได้ การเดินทางยังอีกยาวไกลนะ 

 

 

ท่านย่าหม่า“เจ้าทำอะไร?” 

 

 

“ข้าจะตักข้าวโพดนะสิ” 

 

 

“ก็ข้าให้เจ้าไปแล้วไม่ใช่หรือ?” 

 

 

“ฝักเดียวกินไม่อิ่ม” 

 

 

ท่านย่าหม่าคิดในใจ เจ้ามีสิทธิ์อะไรมาบอกว่ากินไม่อิ่ม ลูกสะใภ้สามนี่ ไม่ใช่ว่าโดนผีสิงเข้าให้แล้วนะ เพราะทีคนอื่นนางแบ่งให้เท่าไหร่ พวกเขาก็ยอมกินเท่าที่ได้ 

 

 

“เจ้าไม่แทะกระดูกข้าให้กร่อนไปเลยเล่า ที่เหลือในกระทะทั้งหมดข้าจะเก็บไว้ให้ลูกสามของข้า รอเขากลับมาจะได้กิน เจ้าเป็นผู้หญิงตัวคนเดียว จะกินให้อิ่มไปทำไมกัน!” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงไม่อยากทะเลาะด้วยเพราะตอนนี้ไร้เรี่ยวแรง ถนนในยุคโบราณททำให้การเดินทางลำบาก แค่นี้นางก็เหน็ดเหนื่อยมากพอแล้ว 

 

 

ช่วงจังหวะพอดีกับที่ซ่งฝูเซิงไปฉี่กลับมา นางจึงพูดกับซ่งฝูเซิง 

 

 

“นี่ข้ากินข้าวโพดไปแค่หนึ่งฝัก แม่ของเจ้าก็ไม่ให้กินเพิ่ม นางบอกว่าทุกคนจำเป็นต้องจำกัดจำนวนอาหาร ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็ไม่ต้องกินเยอะนัก เก็บไว้ให้ข้าบ้าง ข้าเหนื่อยเจียนตายแล้ว ยังมีอีก ซ่งฝูหลิง นางได้อาหารแห้งแค่หนึ่งกำปั้นเท่านั้น ลูกสาวของเจ้า เจ้าจัดการเองก็แล้วกัน” 

 

 

ให้ผู้ชายประหยัดอาหาร เพื่อเก็บไว้ให้ตนเองได้กินรึ 

 

 

เหอซื่อ พี่สะใภ้ใหญ่ได้ยินเข้าถึงกับตกตะลึง 

 

 

จูซื่อ พี่สะใภ้รองได้ฟังถึงกับอ้าปากค้าง 

 

 

นี่มันไม่ใช่มุมมองชีวิตและค่านิยมที่เหมาะสมของผู้หญิงที่แต่งงานแล้ว 

 

 

ซ่งอิ๋นเฟิ่ง ซึ่งเป็นพี่สาวของสามีเฉียนเพ่ยอิงในภพนี้ รีบลุกขึ้นพูด “น้องสาม ข้าไม่หิว เจ้ากินของเจ้าเถอะ ข้าจะแบ่งส่วนของข้าให้น้องสะใภ้เอง” พูดจบนางก็ส่งต่ออาหารแห้งที่มีอยู่ในมือให้ 

 

 

บรรยากาศเงียบงันในทันที ได้ยินเพียงแค่เสียงกิ่งไม้แตกจากการเผาไหม้ 

 

 

เหอซื่อกับจูซื่อ ลูกสะใภ้ทั้งสองต่างก็รีบหันหน้ามองแม่สามี 

 

 

ท่านย่าหม่าถามคำถามที่ทุกคนคาดไม่ถึง “ใครคือคนแบกโลงศพ? คนแบกโลงศพให้ใคร?”