เขาไปฉี่กลับมาก็พบสายตาของภรรยากับแม่ หันมาถามเขาพร้อมกัน ซ่งฝูเซิงไม่รู้จะตอบคำถามไหนก่อนดี
เขาเหล่มองกระทะ ภายใต้การจับจ้องจากสายตาของทุกคน ซ่งฝูเซิงเดินเข้าไปตักข้าวโพดสามฝักออกมาให้กับเฉียนเพ่ยอิง “ระวังลวกมือ ห่อให้ดีแล้วเจ้าก็ไปกินกับลูกสาวทางโน้นเถอะ”
เฉียนเพ่ยอิงประคองข้าวโพดไว้ในอุ้งมือ ก่อนเดินออกไปหาบุตรสาวของนาง
สะใภ้ใหญ่เหอซื่อ ตกใจจนตบขาคนที่อยู่ด้านข้าง ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นขาของใคร แต่นางอยากให้คนที่อยู่ด้านข้างมองเฉียนเพ่ยอิงเหมือนกับที่นางกำลังจ้องเฉียนเพ่ยอิง ซึ่งเดินออกไปด้วยความมั่นใจ
นางตกตะลึงมากที่เฉียนเพ่ยอิงพูดออกมาอย่างมั่นใจว่าอยากจะกินอาหาร และที่น่าตกตะลึงยิ่งกว่าคงหนีไม่พ้นเรื่องที่น้องชายของสามีนางก็ตามใจเมียเสียด้วย โดยไม่มีทีท่าว่าจะสะบัดมือไปตบปากเมียตัวเองเสียทีหนึ่ง
หากเป็นนาง คงจะโดนตบจนเห็นดาวเห็นเดือน และคงโดนด่าซ้ำว่าเป็นหญิงตะกละตะกลามเป็นแน่
สะใภ้รองจูซื่อ ถึงกับตกใจจนเผลอทำข้าวโพดที่อยู่ในมือหล่นลงบนพื้น พอนางได้สติก็รีบหยิบข้าวโพดนั้นขึ้นมาเช็ดตามตัวเพื่อปัดฝุ่นออก เตรียมเก็บไว้ให้สามีของนางกิน
พี่ชายทั้งสองของซ่งฝูเซิงต่างก็งุนงง รู้สึกเหมือนไม่เคยรู้จักน้องสามของตนมาก่อน
เมื่อก่อนน้องสามไม่ได้เป็นแบบนี้ เขามักเชื่อฟังท่านแม่ มีชื่อเสียงเล่าลือเรื่องความกตัญญูรู้คุณ
แน่นอนว่า เมื่อก่อนน้องสะใภ้สามก็ไม่ได้เป็นเช่นนี้ เมื่อก่อนหากน้องสะใภ้พูดคำว่า ‘ไม่’ กับน้องสามคง…แต่เพราะนางก็ไม่เคยพูดคำว่า ‘ไม่’ น่ะสิ!
ตกลงมันเกิดอะไรกันขึ้นกันแน่ละเนี่ย?
ส่วนพี่เขย เถียนสี่ฟา ของซ่งฝูเซิง กลับไม่ได้ประหลาดใจนัก เพราะเขาก็ห่วงใยภรรยาเช่นกัน ไม่เพียงแค่ห่วงใยภรรยาเท่านั้น เขายังห่วงใยบุตรสาว เถาฮวา ไม่น้อยไปกว่าห่วงใยบุตรชาย หูจือ
เขายังครุ่นคิดเหมือนกันว่า ตนเองกินข้าวโพดเพียงสองฝักก็พอ ส่วนที่เหลืออีกสองฝักจะเก็บซุกไว้ในอกก่อน เผื่อแม่กับภรรยาและลูกหิวไม่มีอะไรกิน
ส่วนเหล่าหนิวกับซื่อจ้วง พวกเขาก็เหล่สายตาแอบมองท่านย่าหม่า เกรงว่านางจะโกรธเกรี้ยวขึ้นมา
ทุกคนต่างครุ่นคิดในใจ แต่ในความเป็นจริงใช้เวลาเพียงไม่กี่วินาที
ท่านย่าหม่าชี้นิ้วไปยังซ่งฝูเซิง อีกมือหนึ่งก็กุมหัวใจ “เจ้า? เจ้ายังเป็นลูกสามของข้าอยู่ไหม! ”
ในความคิดของนาง พฤติกรรมของลูกสะใภ้สามเสมือนเป็นการท้าทายอำนาจกับนาง ทั้งที่นางอุตส่าห์เก็บหอมรอมริบให้ลูกชายได้เรียนหนังสือ ไม่คาดคิดว่าลูกชายจะเข้าข้างลูกสะใภ้ต่อหน้าทุกคนและไม่เห็นแม่อยู่ในสายตาแล้ว
นางทั้งเสียใจและเสียหน้า
ซ่งฝูเซิงเดินเข้าไปหาและตบหน้าตนเอง “ทำไมข้าจะไม่ใช่ลูกของท่านล่ะ นี่ไง ข้ายังมีเลือดเนื้ออยู่”
“แต่เจ้า?”
“ท่านแม่ หนังสือปรัชญาสอนไว้ เป็นชายชาตรีสอบได้จนมีชื่อเสียงและได้รับราชการก็เพื่อให้ประชาชนกินดีอยู่ดี และสอบได้ มีชื่อเสียง หารายได้เพื่อให้ท่านแม่ ภรรยาและลูก กินดีอยู่ดี นี่เรียกว่าความรับผิดชอบ มันเป็นความรับผิดชอบที่ต้องติดตัวไปจนวันตาย ท่านเข้าใจหรือไม่…
…ท่านส่งข้าเรียนหนังสือ ข้าก็เรียนรู้สิ่งเหล่านี้มา…
…ตอนนี้พวกเรากินอยู่ลำบาก ท่านยังต้องการให้แบ่งส่วนอาหาร ก็ได้ ท่านก็แบ่งไป!…
…ข้ามีข้าวโพดอยู่สี่ฝัก เช่นนั้น ข้ายกให้ภรรยากับลูกของข้ากินในส่วนของข้าได้หรือไม่?…
…ท่านแม่ ท่านหิวหรือไม่? ใช่สิ ท่านคงหิว ข้ายังมีข้าวโพดอีกฝักหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นเวลาไหน ก็จะต้องยกให้พวกท่านก่อน…
…ท่านวางใจ ข้าจะประหยัดส่วนของข้า ข้าไม่ได้เอาส่วนแบ่งของคนอื่นให้ ข้ายอมที่จะอดเอง”
ซ่งฝูเซิงพูดจบก็หยิบข้าวโพดออกมาหนึ่งฝัก ยัดใส่อ้อมแขนของท่านย่าหม่า
“ท่านแม่กินซะ ท่านกินไปด้วยฟังข้าพูดไปด้วย ท่านต้องจำไว้ พี่ชายใหญ่กับพี่ชายรอง หากพวกเราตั้งถิ่นฐานแน่นอนแล้ว วันนั้นข้าคงไม่ได้ดูแลพวกเขา เพราะต่างคนต่างก็มีครอบครัวของตนเอง แต่สำหรับท่าน ภรรยาข้ากับบุตรสาว ข้ายังต้องดูแลแน่นอน หากเวลาที่ข้ามีของกินอะไร ข้าจะต้องแบ่งเป็นสี่ส่วนให้พวกท่านก่อน”
ท่านย่าหม่าทำตัวไม่ถูก ไม่หยิบก็เกรงว่าจะตกลงสู่พื้น นางฟังเขาจนมึนไปหมด มันไม่เหมือนกับที่นางคิดเอาไว้
ทำไมพอบุตรชายพูดออกมา มันกลับไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกเสียใจเสียหน้า และไม่เกี่ยวกับว่านางหรือสะใภ้สามเป็นคนร้ายกาจมากกว่ากัน บุตรชายยังบอกว่าเรื่องพวกนี้มีสอนในหนังสือปรัชญาด้วย
เมื่อก่อนตอนร่ำเรียนเสร็จ เมื่อเขากลับบ้านมาก็ไม่เห็นเป็นเช่นนี้ นี่ไม่ได้พบหน้ากันแค่ครึ่งปี ทำไมกลายเป็นเช่นนี้ไปแล้ว ตกลงแล้วเขาไปอ่านหนังสืออะไรมากันแน่?
นางไม่ได้หมายความเช่นนั้น นางแค่ไม่อยากให้ลูกสามหิว แต่นางจะยอมหิวเอง
ซ่งฝูเซิงยังคงพูดต่อไป
“ท่านแม่ ภรรยาที่แต่งเข้าบ้านมานั้น ไม่ใช่เพื่อให้นางมานั่งดูข้ากินจนอิ่ม ตอนนี้นางหิวจนจะเป็นลม นางต้องอยู่ร่วมชีวิตกับข้าไปตลอดชีวิต จะให้ข้าทำกับนางเช่นนี้? ไม่ใจจืดใจดำไปหน่อยหรือ หากข้าทำเช่นนั้น คงถูกสวรรค์ลงโทษ…
…เด็กที่มาเกิดเป็นบุตรสาวข้า ข้าก็ตั้งใจรอคอยนางมานาน ไม่ใช่เพื่อให้เกิดมารับความทุกข์ แต่เกิดมาเพื่อให้ข้าทะนุถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูอย่างดี ข้ามีลูกเพียงแค่คนเดียว บุตรสาวของข้ากับลูกคนอื่นนั้นไม่เหมือนกัน…
…ถึงแม้ว่าข้าจะหิว ท่านก็อย่าได้โกรธไปเลย ทุกอย่างเป็นเพราะข้ายินดีทำ ข้าเห็นพวกท่านได้กินอิ่ม ข้าก็มีความสุขแล้วจริงๆ ข้าดีใจ!”
“ข้า เจ้า?” ท่านย่าหม่าอยากบอกว่า ที่นางไม่อยากให้ลูกสะใภ้กินอิ่ม เพราะนางอยากจะเก็บไว้ให้ลูกชายของนางกิน ส่วนลูกสะใภ้จะเป็นอย่างไรก็เรื่องของนาง แต่ลูกชายก็ไม่เห็นด้วย ถ้าเช่นนั้นจะให้นางทำอย่างไร แบบนี้ถ้าปล่อยให้ลูกสะใภ้หิว ลูกชายของนางก็ต้องหิวด้วย เมื่อก่อนนางไม่เคยเจอเหตุการณ์อันน่าปวดหัวเช่นนี้มาก่อนเลย
“ฝูหลิง? ใช่ ทำไมกลายเป็นชื่อฝูหลิงแล้ว เจ้าต้องอธิบายให้ข้าเข้าใจเสียก่อน นี่เป็นเรื่องที่น่ากลัว” ในที่สุดท่านย่าหม่าก็นึกถึงเรื่องที่จะเปลี่ยนหัวข้อพูดคุยได้ หลังจากถามเสร็จนางก็ยัดข้าวโพดใส่มือบุตรชายของนาง ก่อนพูดขึ้นว่า “เจ้ารีบกินเถอะ พวกเขากินกันจะเสร็จแล้ว”
ซ่งฝูเซิงเข้าใจดี จะให้แม่ของเขาพูดต่อหน้าทุกคนออกมาว่าจะไม่ยอมแบ่งอาหารนั้น ย่อมเป็นไปไม่ได้ แต่ดูจากท่าทีนี้แล้ว ต่อไปนางคงไม่กล้าทำเช่นนี้อีก อย่างน้อยก็ไม่กล้าทำกับภรรยาและบุตรสาวของเขา
เมื่อถึงตอนนั้น เขาจะคอยดูว่าเด็กคนไหนได้ส่วนแบ่งน้อย เช่น ต้ายา เอ้อร์ยา เมื่อนั้นเขาก็ยื่นของกินไปให้ ส่วนของซื่อจ้วงกับเหล่าหนิวก็ยัดเยียดให้ไปเยอะหน่อย เวลาผ่านไปสักพัก แม่ของเขาก็ทำเป็นมองไม่เห็น ไม่ได้สนใจอะไร
เมื่อคิดได้เช่นนี้แล้ว ซ่งฝูเซิงก็พูดกับแม่ของเขาด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงมา
“ฝูหลิงเป็นชื่อพืชสมุนไพรจีนชนิดหนึ่ง เป็นคำที่เปรียบเปรยหญิงสาวที่มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด ไม่ใช่คำว่าฝูหลิง ที่แปลว่า ‘คนแบกโลงศพ’ ดังที่ท่านคิดไว้ ตัวอักษรไม่เหมือนกัน ความหมายก็แตกต่างกันสิ้นเชิง ความหมายนั้นคือความหมายที่ดี”
ท่านย่าหม่าขมวดคิ้ว นางไม่เข้าใจว่ามันดีกว่าตรงไหน “เจ้าเป็นคนตั้งชื่อหรือ?”
“ไม่ใช่ข้า แต่เป็นอาจารย์ท่านหนึ่งที่ถ่ายทอดความรู้ให้ข้า เขาเป็นคนตั้งชื่อให้”
แท้จริงแล้ว คนนั้นคือท่านตาในยุคปัจจุบันของซ่งฝูหลิงนั่นเองที่เป็นคนตั้งชื่อให้นาง
ที่ซ่งฝูเซิงบอกว่า เป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ให้กับเขานั้นก็ไม่ผิดอะไร เพราะเขาเคยสอนการเลือกกระบวย และถ่ายทอดความรู้ในการเป็นเชฟทำอาหารให้
ท่านย่าหม่าหรี่ตาลง ในใจก็ครุ่นคิด ลูกสามเปลี่ยนแปลงไปมากขนาดนี้ ไม่แน่ว่าอาจเป็นเพราะเจออาจารย์ใหม่ที่ตั้งชื่อให้ท่านนี้ เป็นคนพร่ำสอนความคิดร้ายๆ ให้ลูกของนาง ทำให้ลูกของนางกล้ามีปากมีเสียงกับนางเพียงเพราะเรื่องของลูกสะใภ้ จนนางถึงกับพูดไม่ออก
ไม่เพียงแค่นั้น ตอนนี้ยังมาให้ร้ายชื่อหลานสาวของนางอีก
“ลูกสาม บุคคลนี้นิสัยใช้ไม่ได้ เจ้าไปเจอกับอาจารย์ตัวปลอมมาหรือเปล่า? จะเรียกชื่อนั้นไม่ได้นะ ต้องเรียกว่า พั่งยา ถ้าไม่เอาก็ต้องตั้งชื่อใหม่ ให้มีคำว่าดอกไม้หรือพืชพรรณพวกนี้”
“เออ?” ซ่งฝูเซิงมึนงง
ท่านย่าหม่าตบหลังมือแล้วพูดว่า “เจ้าชื่อซ่งฝูเซิง พี่ชายใหญ่ของเจ้าชื่อซ่งฝูไฉ พี่รองของเจ้าชื่อซ่งฝูสี่ ทั้งที่รู้ว่าชื่อพวกพี่ชายของเจ้ามีตัวอักษร ‘ฝู’ อยู่ตรงกลาง เขายังกล้านํามาตั้งชื่อหลานของข้า ถ้าบอกว่าคนผู้นี้ไม่ได้ตั้งใจ ข้าขอไม่เชื่อ!”
ซ่งฝูไฉรีบพูดทันที “ท่านแม่พูดถูก น้องสาม เจ้าตั้งชื่อแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ”
ซ่งฝูสี่ยังเอ่ยขึ้น “ใช่ๆ ทำแบบนี้มันจะสับสนกันไปหมด หากคนอื่นไม่รู้คงคิดว่าข้ากับหลานสาวเป็นคนที่เกิดในรุ่นเดียวกันเป็นแน่”