ต้ายามองด้านหลังพ่อของนาง นางเห็นพ่อของนางให้ข้าวโพดกับน้องชาย ซ่งจินเป่า หนึ่งฝักและยังลูบหัวน้องชายด้วยความเอ็นดู นางจึงหันไปมองแม่ ก็พบว่าสายตาของแม่นางมีแต่น้องชายเพียงคนเดียว นางจึงก้มหน้าก้มตากินของกินที่อยู่ในมือต่อ
นางเสียดายไม่กล้ากินข้าวโพดครึ่งฝักทีเดียวจนหมด จึงค่อยๆ แทะคำละไม่กี่เม็ด
แต่ถึงอย่างไรข้าวโพดที่ได้รับมาก็มีขนาดเล็กเกินไป ไม่ว่าจะกินช้าแค่ไหนก็หมดอยู่ดี นางจึงแทะแกนที่ไม่มีเมล็ดข้าวโพดอีกครั้งหนึ่งเพื่อดูดน้ำที่อยู่ในแกนข้าวโพดนั้น
ส่วนเอ้อร์ยา เมื่อได้ฟังอาสามบอกว่าลูกสาวของเขาไม่เหมือนกับคนอื่นและถกเถียงกับย่าเรื่องชื่อ ซ่งฝูหลิง ใบหน้าของนางที่ถูกแดดเผาจนผิวกลายเป็นสีดำแดงก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา นางอิจฉาแต่ก็ดีใจแทนซ่งฝูหลิง
เถียนเถาฮวา ลูกพี่ลูกน้องของซ่งฝูหลิง ตอนนี้นางกับแม่ของนาง ซ่งอิ๋นเฟิ่ง กำลังคะยั้นคะยอเอาของกินของตนให้อีกฝ่าย คนหนึ่งก็พูด “พ่อของเจ้ายังมีอยู่ เจ้ากินเถอะ” อีกคนก็พูด “ท่านแม่ ข้ากินอิ่มแล้ว เอาให้พี่ชายข้าเถอะ หรือไม่ท่านก็เก็บไว้กินยามที่ตนเองหิว”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งเห็นบุตรสาวของนางไม่ยอมรับอาหาร นางก็นำอาหารแห้งที่แบ่งเป็นชิ้นๆ ให้กับซ่งฝูหลิงและเฉียนเพ่ยอิง “น้องสาม พั่ง ฝู? ฝูหลิง เจ้าสองคนกินเถอะ ข้ากินไม่ไหวแล้ว กินไม่ลงแล้วจริงๆ”
ซ่งอิ๋นเฟิ่งเรียกพั่งยาจนเคยชิน แต่เมื่อได้ฟังคำพูดเมื่อครู่ที่น้องสามถกเถียงกับแม่เรื่องชื่อของพั่งยา นางก็รีบเปลี่ยนคำเรียกใหม่
ในมือมีอาหารแห้งและข้าวโพดหลายฝัก บนรถก็ยังมีหมาฮวาอีกมากมายรอให้แม่ลูกสองคนได้กิน ตอนนี้รู้สึกเกรงใจจริงๆ
เฉียนเพ่ยอิงรู้สึกเคอะเขิน นางรีบยกมือขึ้นห้าม “พี่สาวอย่าเลย ท่านทำแบบนี้ทำไม หากไม่พอกินก็ต้มอีกหม้อก็ได้ พวกเราอย่าได้ทำแบบนี้เลย ข้าเห็นแล้วปวดใจ พวกเรายังไม่ได้อับจนถึงขนาดนั้น”
เมื่อซ่งอิ๋นเฟิ่งได้ยิน นางก็รีบยัดอาหารแห้งใส่มือเฉียนเพ่ยอิงและครุ่นคิดในใจ ยังจะต้มอีกหม้อหรือ? ท่านแม่จะแสดงออกอย่างไรไม่อาจคาดเดาได้เลย ขนาดน้องสามอยู่ในเหตุการณ์ ท่านแม่ยังโกรธเกรี้ยวขึ้นมาได้ ตอนนี้นางไม่ขออะไร ขอเพียงให้คนในครอบครัวทั้งหมดมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ว่าจะมีเพียงแค่ผักหญ้าจากป่ามาแบ่งกินกันก็ได้ ขอเพียงให้อยู่กันอย่างสันติ ไม่ทะเลาะเบาะแว้งกันก็พอ
ซ่งฝูหลิงมองป้ากับแม่ของนาง นางไม่พูดพร่ำทำเพลง รีบหยิบข้าวโพดสองฝักจากมือแม่ของนางแล้วเดินไปหาพวกพี่สาวที่นั่งอยู่ตรงโน้น เมื่อนางเดินไป เฉียนหมี่โซ่วก็เลิกดื่มน้ำ เขารีบปาดคราบน้ำที่มุมปากแล้วเดินตามหลังพี่สาวไป ท่านป้าเคยบอกกับเขาว่า พี่สาวเป็นคนมองการณ์ไกล ให้เขาคอยติดตามนาง รับรองว่าไม่ขาดทุน
เมื่อซ่งฝูหลิงนั่งยองๆ ตรงหน้าพี่สาวทั้งสาม เฉียนหมี่โซ่วก็นั่งตาม
ซ่งฝูหลิงนำข้าวโพดสองฝักมาหักแบ่งเป็นชิ้นๆ นางส่งให้ต้ายา เอ้อร์ยากับเถาฮวา และส่งชิ้นเล็กๆ อันหนึ่งให้เฉียนหมี่โซ่ว หลังจากนั้นนางก็นั่งแทะส่วนแบ่งของตนเอง
ต้ายากับเอ้อร์ยาทำตัวไม่ถูก เถาฮวาจึงถามขึ้นมา “พั่งยาเจ้าจะกินอิ่มไหม?”
“ข้าอิ่ม พี่สาวกินเถอะ”
เถาฮวายิ้มก่อนที่จะแทะไปหนึ่งคำ ต้ายากับเอ้อร์ยาก็ดีใจอย่างมาก มองซ่งฝูหลิงกินด้วยรอยยิ้ม
ซ่งฝูหลิงหยุดชะงัก มองเถาฮวาที่ยิ้มเมื่อกี้ “พี่สาว ท่านสวยจัง”
คำพูดนี้ไม่ได้พูดออกไปพล่อยๆ ในสายตาซ่งฝูหลิง พี่สาวเถาฮวานี้ หากอยู่ในยุคปัจจุบัน หากจะให้เป็นดารา ก็คงต้องอาศัยจังหวะโอกาสและความสัมพันธ์ แต่หากนางคิดจะเป็นเน็ตไอดอลสาวสวยที่ไม่พึ่งศัลยกรรมและเครื่องสำอาง นางคงเป็นได้แน่นอน
เถาฮวาที่อายุเพียงสิบสี่ปี ใบหน้าแดงระเรื่อขึ้นมาทันที “สวยที่ไหนกัน เจ้าต่างหากที่หน้าตาดี เจ้ามีผิวขาว”
ต้ายากับเอ้อร์ยาก็พยักหน้าเห็นด้วยและเอ่ยขึ้น “เจ้ากินข้าวสวยจนโต ข้าวสวยก็คือข้าวขาว กินข้าวสวยถึงได้ขาว”
ซ่งฝูหลิงถึงกับสำลัก นางรู้สึกเคอะเขิน “ต้ายากับเอ้อร์ยาก็สวย ทุกคนสวยหมด พวกเจ้าไม่ได้ใช้ครีมทาหน้า อีกทั้งยังต้องออกไปทำไร่ไถนา โดนแดดถึงได้ดำ มันไม่เกี่ยวกับการกินข้าวสวย ไม่เช่นนั้นทุกคนก็คงเป็นคนสวยกันหมดแล้ว รอถึงพรุ่งนี้ พวกท่านมาทาครีมพร้อมกันกับข้าสิ”
นี่มันสถานการณ์อะไรยังจะมาชวนทาครีมอีกน่ะ ป้าสองจูซื่อของซ่งฝูหลิงได้ยินพวกเด็กๆ กระซิบกระซาบกันก็ถึงกับเบะปาก
ตอนนี้เหลือแค่เถียนสี่ฟาที่ไม่ได้พูดคุยเล่นกับใคร
เถียนสี่ฟาเรียกซ่งฝูเซิงมาอยู่อีกด้านหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็ควักเงินสิบเก้าตำลึงยื่นออกไป “น้องสาม หลายปีที่ผ่านมาลำบากเจ้ามากแล้วที่คอยช่วยเหลือข้ากับพี่สาวของเจ้า นี่เป็นเงินที่ข้าเก็บสะสมมาหลายปี ที่จริงมันยังไม่พอหรอกนะ ปีที่สร้างบ้าน ข้ายืมเจ้าไปยี่สิบห้าตำลึง แต่ตอนนี้เก็บออมได้เพียงเท่านี้ เจ้าเอาไปก่อนละกัน”
ซ่งฝูเซิงขมวดคิ้วด้วยความประหลาดใจ “พี่เขย ท่านเอาเงินนี่มาจากไหน”
“เฮ้อ หลายปีมานี้ไม่ค่อยดีเท่าไร นี่เป็นเงินเก็บตลอดสองปีนี้ เดิมทีพี่สาวเจ้าบอกว่าหากเก็บเงินได้นิดหน่อยก็ให้คืนเจ้าเลย ข้าบอกว่าทำแบบนั้นไม่ได้ เจ้าให้พวกเรายืมเป็นเงินก้อน พวกเราจะมาคืนเงินทีละนิดเป็นเบี้ยหัวแตกได้อย่างไร เงินนั่นไม่ควรกระจัดกระจายจึงคิดว่าจะรวมเงินให้เจ้าทีเดียว”
“แค่เก็บหอมออมริบในสองปีคงไม่พอหรอก พี่เขยบอกข้ามาตามตรงเถอะ”
เถียนสี่ฟารู้สึกเสียใจ “ข้าเอาหนังเสือที่ท่านพ่อทิ้งไว้ให้ไปขายแล้ว ตอนที่พวกเราเดินทางตามเส้นทางนี้ เผอิญได้พบกับพ่อค้า ข้าจึงได้ขายไป”
ซ่งฝูเซิงได้ฟัง ก็รู้สึกว่าการรับเงินมายิ่งทำให้ไม่สบายใจ
เพราะมันมีเรื่องราวมากกว่านั้น เนื่องจากหนังเสือพวกนั้นทำให้พ่อของเถียนสี่ฟาถึงแก่ชีวิต
ทำไมเขาถึงแก่ชีวิตนะหรือ ได้ยินมาว่าปีนั้น เขาจับแม่เสือบนภูเขาได้ตัวหนึ่ง รู้ข่าวมาว่าหนังเสือหนึ่งแผ่นมีราคามาก จึงถลกหนังออกมาเก็บไว้ หลังจากนั้นไม่รู้ว่า เป็นเพราะเสือมาแก้แค้นหรืออย่างไร เวลาผ่านไปนานแล้ว พ่อของเถียนสี่ฟาก็กลับไปวางกับดักจับกระต่ายที่ตีนเขา แต่ดันถูกเสือตะครุบกัดและกินจนเสียชีวิต ตอนนี้ด้านในหลุมฝังศพของเขายังคงว่างเปล่าไร้ศพ มีเพียงเสื้อผ้าไม่กี่ชิ้นที่บรรจุไว้
“พี่เขย ข้าไม่คิดจะเอาคืนอยู่แล้ว ข้า? ท่านไม่ควรขายมันไปเลย ท่านควรเก็บมันไว้เป็นที่ระลึกนะ”
ซ่งฝูเซิงยังไม่ทันพูดจบ เถียนสี่ฟาก็ส่งสัญญาณให้น้องสามหันไปดูแม่ของตนเอง ท่านยายเถียนยิ้มและโบกมือให้ซ่งฝูเซิง
“น้องสาม เจ้าเข้าใจความหมายของแม่ข้ารึยัง? พวกเราอย่าได้พูดจาเกรงใจกันอีกเลย เจ้าเก็บเงินไว้เสีย ถ้าเงินอยู่กับเจ้าข้าก็จะสบายใจ อนาคตก็ค่อยเป็นค่อยไป เมื่อต้องตั้งรกรากถิ่นฐานใหม่ ไม่แน่ว่าข้าอาจจะต้องขอร้องให้เจ้าช่วยน่ะ เฮ้อ พี่เขยเจ้าช่างไร้ความสามารถ”
เมื่อซ่งฝูเซิงได้ฟังจึงรับเงินนี้ไว้ เพราะเมื่อถึงตอนตั้งถิ่นฐานใหม่ก็ไม่รู้ว่าสถานการณ์จะเป็นแบบไหน เมื่อนำเงินมารวมกับที่เหล่าหนิวให้มาก็มีจำนวนถึงสามสิบกว่าตำลึง หากไม่ร่วมแรงร่วมใจกันก็คงแก้ปัญหาไม่ได้
ในตอนนี้เอง บุตรชายคนที่สองของตระกูลเกา เกาเถี่ยโถว ก็เดินมา
เกาเถี่ยโถวมองร่างของเถาฮวาที่อยู่ไกลออกไปเป็นอันดับแรก ก่อนที่จะเดินไปหาซ่งฝูเซิง “อาสาม ลุงเถียน ท่านพ่อให้ข้านำสิ่งนี้มาให้เพื่อแบ่งให้พวกน้องชาย น้องสาวได้กิน”
ซ่งฝูเซิงเห็นก็ดีใจ มันคือซอสเนื้อหมู มิน่าเล่า เมื่อครู่เขาถึงได้กลิ่นเนื้อสัตว์ เขารีบกวักมือเรียกเฉียนเพ่ยอิง “เจ้าเอาไปวางไว้บนรถก่อน สักพักค่อยเอามาแจกจ่ายให้ทุกคนกินกัน”
เฉียนเพ่ยอิงรีบรับมาสองหม้อ ก่อนจะตรงไปยังรถลากเทียมล่อ ท่านย่าหม่าเหล่มองร่างของเฉียนเพ่ยอิง มองอยู่สองรอบก็ยังไม่สาแก่ใจ นางจึงเหลียวมองดูอีกรอบหนึ่งและบ่นพึมพำกับท่านยายเถียนที่นั่งอยู่ด้านข้าง
“แต่งเข้ามาเพื่อสร้างเวรสร้างกรรมน่ะสิ เห็นไหม? ตอนนี้เป็นผู้นำบ้านตระกูลซ่งของข้าไปแล้ว หลายปีที่ผ่านมายังมีลูกชายให้ไม่ได้ นี่ยังจะทำให้ลูกสามมีปากเสียงกับข้าอีก ข้าไม่รู้ว่านางมั่นหน้ามาจากไหน เมื่อก่อนข้าเห็นแก่หน้าครอบครัวของพ่อแม่นาง ตอนนี้พวกเขาไม่อยู่แล้ว ครอบครัวฝั่งนางก็ไม่มีใครแล้ว ไม่รู้ว่านางเอาความมั่นใจมาจากไหนจริงๆ”
“โธ่เอ๊ย”ท่านยายเถียนรีบโบกมือ เพราะเกรงว่าท่านย่าหม่าจะไม่สนใจ นางจึงดึงชายเสื้อของท่านย่าหม่า “คำพูดแบบนี้ต่อไปห้ามพูดเป็นอันขาด” แม้อยากจะกล่าวประโยคนั้นออกไปเพื่อตักเตือน แต่ก็คิดว่าหากพูดออกไป น่าจะทำให้คนเสียใจและเกรงว่าตนจะพูดมากเกินไป เรื่องของบ้านซ่ง เข้าไปยุ่งมากก็ไม่ดี นางจึงได้แต่เพียงส่ายหัวให้กับท่านย่าหม่า
ท่านย่าหม่าพูดจบก็คิดได้ว่าคำพูดพวกนั้นดูรุนแรงไปหน่อย ท่านเฉียนเองก็เพิ่งสิ้นชีวิตไป เฮ้อ
นางได้แต่อัดอั้นตันใจ จะอ้าปากพูดออกมาหลายครั้งก็พูดไม่ได้เสียที ในที่สุดจึงหุบปากเงียบไป