ตอนที่ 35 แต่ละก้าวเสมือนหลุมพราง

ทะลุมิติทั้งครอบครัว

เกาเถี่ยโถวสอบถาม “อาสาม พวกเราควรจะทำอะไรต่อไปดี พ่อของข้าคิดจนปวดหัวแล้ว” 

 

 

ซ่งฝูเซิงชี้ที่อยู่ห่างไกลออกไป “นั่น มาแล้ว” 

 

 

เกาถูฮู่พยุงลุงหลี่เจิ้งมา ด้านหลังบุตรชายคนโตของหลี่เจิ้งมีตัวแทนของแต่ละบ้านเดินตามมา กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งสูบไปป์จีนไปสองทีก่อนเอ่ยขึ้น “เลยเที่ยงคืนไปแล้วใช่ไหม?” 

 

 

“น่าจะใช่” 

 

 

“ฝูเซิง เจ้าลองพูดมาสิว่าพวกเราควรจะทำอย่างไรต่อไป” 

 

 

ชายฉกรรจ์หลายคนล้อมวงคุยกัน ไฟที่ลุกโชนจากกองฟืนที่สุมกัน เผยให้เห็นใบหน้าอันเคร่งเครียดของพวกเขา 

 

 

ซ่งฝูเซิงครุ่นคิดไปมา “ยังคงต้องเดินทางต่อไปข้างหน้า สถานที่นี้ยังไม่ปลอดภัย ยังอยู่ในเขตแดนคนอื่น อย่ามองว่าตอนนี้มันค่ำมืดมากแล้ว แต่ใจของข้าก็รู้สึกหวั่นไม่น้อย ไม่สามารถเอาชีวิตคนมาล้อเล่นได้ พวกเจ้าว่าจริงไหม?” 

 

 

พี่เขย เทียนสี่ฟา กลับไม่เห็นด้วย “ข้ารู้สึกว่าฝนใกล้จะตกแล้ว หากฝนตกจะเป็นปัญหาใหญ่ คนก็ไม่รู้จะทนได้แค่ไหน พวกสัตว์คงทรมานจากการสำลักน้ำฝน หรือว่าพวกเราจะหลบอยู่บนภูเขาดีไหม? พักสักคืนหนึ่งเถอะ แล้วพรุ่งนี้คอยดูสถานการณ์ว่าเป็นอย่างไร” 

 

 

พูดจบก็พบว่าซ่งฝูเซิงมองเขาด้วยความประหลาดใจ เถียนสี่ฟาอธิบายต่อ “เมื่อครู่ข้านั่งยองๆ อยู่ตรงนั้น ข้าเห็นมีมดหลายร้อยตัว เดินเรียงกันหลายแถวมารวมตัวกัน มีคําพูดเก่าพูดต่อกันมามิใช่หรือ มดเดินกันเป็นแถว ฝนจะตกหนัก มดย้ายบ้าน ฝนตกอย่างรุนแรง” 

 

 

หลังจากที่ทุกคนได้ฟังก็แหงนหน้ามองดูดวงดาวอย่างงุนงง ต่างก็บ่นพึมพําในใจว่าจริงใช่ไหม? 

 

 

ถึงแม้ว่าพวกเขาจะประสบภัยพิบัติไม่รุนแรงเท่าทางตอนใต้ แต่ก็ค่อนข้างแห้งแล้งมาตลอด การเก็บเกี่ยวผลผลิตในปีนี้ลดลงมากกว่าปีก่อนเยอะ ทำไร่ก็ต้องอาศัยการรดน้ำ คําพูดเก่าแก่ที่พูดต่อกันมาว่าฝนจะตก ไปฟังมาจากไหน? 

 

 

เกาถูฮู่ เกาเถี่ยโถว 

 

 

ลูกชายคนที่สอง เกาเถี่ยโถว ของเกาถูฮู่พยักหน้าเห็นด้วย “ลุงเถียนของข้าอาจจะพูดถูก พวกเจ้าไม่ได้สังเกตหรือ? วันนี้ยุงบินมากัดคนเยอะเป็นพิเศษเมื่อเทียบกับวันอื่น เจ้าตบมันตายไป พวกมันก็ยังบินมาตอมใบหน้าเจ้าไม่หยุด” 

 

 

เมื่อพูดเช่นนี้ จากที่ทุกคนบ่นพึมพำในใจก็เริ่มเชื่อขึ้นมาบ้างเล็กน้อย 

 

 

เพราะท้องถิ่นของพวกเขาก็มีคําพูดเก่าแก่เช่นกัน แต่ไม่ใช่ที่เถียนสี่ฟาพูดออกมา แต่เป็นว่า ยุงกัดคนเรื่อยๆ ไม่นานฝนจะตก ยุงกัดอย่างดุเดือด ฝนจะตกภายในสามวัน คําพูดโบราณนี้ ทุกคนต่างเห็นด้วย 

 

 

ลูกชายคนโตของซ่งหลี่เจิ้งพูดอย่างร้อนรน “เตีย ถ้าเป็นเช่นนั้นก็ไม่ได้สิ ถ้าฝนตกพวกเราจำเป็นต้องหาที่พักจริงๆ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องอื่นไกล แค่ข้าวโพดที่พวกเราเด็ดมา ไหนจะยังมีข้าวสาลีที่พวกเราเก็บจนเย็นชื้น ไม่ได้ตากแดดให้แห้งอาจขึ้นรา?” 

 

 

ซ่งฝูเซิงมองพี่เขยของเขาอีกครั้ง “พี่เขย ท่านเดินเข้าไปข้างในภูเขาลูกนั้นหรือยัง?” ” 

 

 

“เคยเดินผ่านไปแล้ว ยิ่งเดินไกลออกไป ยิ่งทุรกันดาร ทั้งปีก็เป็นแบบนี้” พูดถึงตรงนี้เถียนสี่ฟาก็หยุดชะงักนิดหนึ่ง ครุ่นคิดไปมาก็ไม่มีอะไรจะพูด มาถึงขั้นนี้แล้ว หนังเสือของเขาก็ขายให้พ่อค้าลักลอบขายเกลือ คนเหล่านั้นล้วนทำงานเสี่ยงอันตราย หากถูกจับได้ก็ต้องถูกตัดหัว 

 

 

พูดต่อ 

 

 

“เมื่อก่อนข้าได้ยินพ่อของข้าเล่าว่า พื้นที่ด้านนี้ของพวกเราค่อนข้างห่างไกลความเจริญ มีเพียงพวกที่แอบค้าขายเกลือที่ไม่กลัวตาย มักเดินอ้อมด้านหลังภูเขาของพวกเราไปทางถนนสายเล็กเพราะเป็นทางลัด… 

 

 

…และตลอดเส้นทางไม่มีใครเลย มองออกไปมีแต่ความรกร้าง ไม่มีสถานที่ให้หลบซ่อนตัว… 

 

 

…ห่างออกไปอีกประมาณร้อยลี้ ยังมีภูเขาลูกหนึ่ง พวกเจ้าเดินอ้อมไปจะเห็นว่ามันใหญ่กว่าภูเขาลูกนี้ของพวกเรามาก กล่าวกันว่าข้างบนมีโจรภูเขา ตอนนี้ยังมีอยู่หรือไม่ข้าก็ไม่แน่ใจนัก” 

 

 

ซ่งหลี่เจิ้งถูกไปป์ลวกปาก เขารีบเช็ดหนวด 

 

 

ใจก็คิด พับผ่าสิ ไม่มีทางรอดแล้ว 

 

 

เดินหน้าต่อไปก็อาจเจอโจรภูเขา คนเหล่านั้นคงเล่นงานถึงตาย 

 

 

ในอนาคตก็ยังไม่มีความแน่นอนว่า เมื่อไหร่จะมีเจ้าหน้าที่และทหารเข้ามาจับกุมคนพวกนี้ได้ ที่รู้สึกกลัวก็เพราะแบบนี้แหละ พวกเขาถึงได้หลบหนีออกมา 

 

 

ส่วนถ้าจะพักอยู่ในตําแหน่งเดิมก็น่าลำบากใจ เดินไกลออกไปก็ไม่มีที่ให้พักพิง ฝนตกก็ไม่มีที่หลบ สู้กลับหมู่บ้านไปเสียยังดีกว่า อย่างน้อยก็มีหลังคากระเบื้องเป็นที่กำบัง 

 

 

หลังจากซ่งฝูเซิงฟังจบ จิตใจก็แปรปรวนเหมือนมีคลื่นซัดกระหน่ำเข้ามา อาจใช้เนื้อเพลงบทหนึ่งเปรียบเปรยได้ว่า 

 

 

ก้าวเดินไปข้างหน้าท่ามกลางบรรยากาศพลบค่ำ ถอยหลังก้าวหนึ่งคือทั้งชีวิตของคน ลมไม่สงบคลื่นไม่นิ่ง ใจก็ไม่สามารถสงบนิ่งได้ 

 

 

แต่ละคลื่นที่ซัดเข้ามายังไม่ทันสงบ คลื่นอีกลูกก็โถมเข้าใส่ ชีวิตก็เหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน เจ็บปวดลึกไปถึงใจ เสมือนอยู่ลึกใต้มหาสมุทรแปซิฟิก 

 

 

เสียใจเหลือเกิน ใกล้จะกลายเป็นมนุษย์ยุคดึกดําบรรพ์แล้ว ตั้งแต่ทะลุมิติเวลามาก็มีแต่เรื่องเลวร้ายตลอด 

 

 

“ฝูเซิง?” 

 

 

“ห๊ะ ท่านลุง” 

 

 

หลี่เจิ้งพูด “พวกเรามุ่งหน้าเดินต่อไป แต่อย่าเดินไปไกลมาก ให้ผ่านภูเขาลูกนี้ไปเสียก่อน แล้วค่อยไปหาถ้ำเพื่อพักแรมที่ภูเขาด้านโน้น… 

 

 

…อีกอย่าง จะได้รอคนอื่นในหมู่บ้าน ตอนนี้มีแค่พวกเราไม่กี่ครอบครัว ข้ายังรู้สึกกังวลใจ… 

 

 

…เฮ้อ อยู่ด้วยกันมาก็หลายสิบปีแล้ว ไม่รู้ว่าพวกเขามัวแต่โอ้เอ้ทำอะไรกันอยู่ ยังไม่มาถึงสักที… 

 

 

…อีกอย่าง หากสภาพอากาศไม่ดี พวกเราก็จะได้มีที่หลบฝน… 

 

 

…รถลากเทียมล่อ เกวียน ถึงแม้จะไม่ต้องกลัวเปียก แต่พวกเราก็เข้าไปอยู่ข้างในได้ไม่หมด โดยเฉพาะรถเข็น อย่าปล่อยให้พวกผู้หญิงและเด็กต้องเป็นหวัด มันอาจทำให้ป่วยหนักจนถึงขั้นเสียชีวิตได้” 

 

 

ซ่งฝูเซิงทราบดีว่าหลี่เจิ้งเหยียยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ได้พูดออกมา ในใจของเขายังคงมีความหวังว่าถ้าไม่ต้องไปเกณฑ์ทหารแล้ว ก็จะได้ไม่ต้องหลบหนีอีก 

 

 

ที่จริงเขาไม่จำเป็นต้องหลบหนีตลอด อย่างมากก็แค่ไม่ทำไร่ไถนา เปลี่ยนมาทำอาชีพค้าขายแทน เขามาจากยุคปัจจุบัน พบเจอปัญหาก็ต้องหาวิธีแก้ไข ไม่ให้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลำบาก เพียงแต่อย่าจับเขาไปออกรบก็พอ เขาทำแบบนั้นไม่ได้แน่ 

 

 

“ตกลง พวกเรารีบเก็บของและออกเดินทางกันเถอะ ผ่านเขาลูกนี้ไปได้ค่อยดูสถานการณ์ว่าจะทำอย่างไร อย่างน้อยก็หาถ้ำให้เด็กทั้งหลายได้พักผ่อนสักพัก” 

 

 

ทั้งเจ็ดครอบครัวก็พาคนในครอบครัวออกเดินทางอีกครั้ง 

 

 

บนถนนที่คดเคี้ยวไปมา พวกเขาต่างก็ถือคบไฟไว้ในมือ บ้านซ่งเตรียมตัวมาดี พวกเขาสวมมุ้งลวดที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้ และยังมีมุ้งกันยุงที่ซ่งฝูหลิงดึงออกมาจากบ้านยุคโบราณก็ได้นำออกมาใช้ประโยชน์ด้วย โดยป้าของนางนำออกมาดัดแปลง คนหนึ่งจะสวมใส่มันบนศีรษะอันหนึ่ง มองไกลๆ คิดว่าเป็นผ้าพันคอ 

 

 

เฉียนหมี่โซ่วถูกซ่งฝูเซิงอุ้มไปวางไว้บนรถเข็นเพื่อไม่ให้เด็กตัวเล็กนิดเดียวต้องมาเดินเท้า 

 

 

พี่ชายใหญ่ของซ่งฝูเซิงเป็นคนซื่อสัตย์ เห็นเด็กตัวเล็กนิดเดียวก็เกิดความสงสาร เข็นรถไปก็บอกน้องชาย “เจ้าต้องเห็นแก่หน้าพ่อตา ต่อไปดูแลเจ้าเด็กคนนี้ดีๆ หน่อย เฮ้อ ตระกูลเฉียนเหลือทายาทสืบสกุลแค่คนเดียว ให้พ่อตาเจ้าได้นอนตายตาหลับเถิด” 

 

 

เฉียนเพ่ยอิงบังเอิญได้ยินคำพูดนี้ เธอจึงแสดงความมีน้ำใจ ให้ถุงน้ำดื่มกับบุตรชายทั้งสองของพี่ชายใหญ่และหูจื่อ ซึ่งเป็นลูกของพี่สาว หลานชายต่างก็อายุราวสิบหก สิบเจ็ดปี นางแบ่งถุงน้ำดื่มให้พวกเขาคนละอัน 

 

 

ถุงน้ำดื่มมีทั้งหมดแค่นี้ ตอนนั้นเถ้าแก่ไป๋มอบให้เหล่าหนิวเป็นของขวัญก่อนจากกัน ไม่นับรวมที่พวกเขาใช้อยู่ตอนนี้และของท่านย่าหม่า หากแบ่งให้อีกก็ไม่มีเหลือแล้ว คนอื่นได้แต่ใช้กระบอกไม้ไผ่หรือหม้อ นางตัดสินใจนำที่เหลือให้กับเด็กพวกนี้ 

 

 

ในถุงน้ำดื่มนั่นนางใส่น้ำร้อนที่ต้มมาก่อนออกเดินทาง ก่อนยื่นส่งให้หลาน เฉียนเพ่ยอิงก็ใส่น้ำตาลลงไปข้างในพร้อมกับเกลือนิดหน่อย นางฟังมาจากคำพูดของบุตรสาว น้ำเกลือแร่สามารถช่วยทดแทนพลังงานได้ 

 

 

ถึงแม้จะมีปริมาณไม่มากนัก แต่เจ้าเด็กนี่ก็ทั้งดุนรถและยังควบคุมรถอีก อายุแค่สิบกว่าขวบก็รู้เรื่องมากแล้ว โดยเฉพาะบุตรชายสองคนของพี่ชายใหญ่ ที่ระหว่างทางได้มีโอกาสใกล้ชิดกัน พวกเขามักพูดว่า อาสาม อาสะใภ้สาม พวกท่านไม่ต้องช่วยผลักรถหรอก พวกเราเข็นเองได้ 

 

 

ตอนหลังเฉียนเพ่ยอิงอาศัยโอกาสในยามค่ำคืน เติมเกลือและน้ำตาลลงไปในถุงน้ำดื่มของสามีและของตนเอง นางเขย่าถุงน้ำให้ซ่งฝูเซิงรีบดื่ม 

 

 

ส่วนลูกสาวของนางนั้นแทบไม่ต้องกังวล กาต้มน้ำของลูกสาวของนางเป็นกาต้มน้ำยุคปัจจุบันที่เก็บรักษาอุณหภูมิได้ ถึงจะผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน น้ำก็ยังคงร้อนอยู่และลูกสาวยังแบกน้ำตาลทรายขาวกับเกลือยุคปัจจุบันไว้ที่ด้านหลัง 

 

 

หากรู้สึกลําบากเมื่อใดก็แค่ออดอ้อนกับพ่อของนาง เพราะพ่อสามารถยืนกลอกตาอยู่กับที่ แล้วหายเข้าไปในพื้นที่พิเศษได้ทันที เพื่อจะนำนมผง นมเปรี้ยว โคคาโคล่าออกมาให้นางตามคำร้องขอ