ตอนที่ 33 มีลูก!

เมื่อเห็นคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้เริ่มที่จะบุกเบิกที่ดินอันทุรกันดารหลังภูเขาอีกรอบหนึ่ง ทุกคนในหมู่บ้านก็เริ่มพูดคุยกัน โดยเฉพาะในครั้งนี้มีหลายคนทีเดียวที่ต่อสู้แย่งชิงโอกาสที่จะได้งานทำ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังคอตกกลับไปและต่อต้านอยู่เงียบ ๆ บางคนถึงกับพูดแดกดันออกมา

หาว่าเป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำบ้างล่ะ มีเงินให้ใช้ดี ๆ แล้วไม่ดีตรงไหน ถึงได้เอาเงินที่มีมาลงทุนไปกับที่ดินทุรกันดารแบบนี้?

อย่างไรก็ตาม ครอบครัวจี้ก็ได้คนงานครบตามจำนวนที่ต้องการแล้ว

ที่ดินนั้นมีสภาพแห้งแข็งเล็กน้อยเนื่องจากไม่ได้รับการไถพรวนเป็นเวลานาน ทำให้ชาย 6 คนใช้เวลาทำงานนานกว่าที่คาดไว้ 2 วัน พวกเขาจึงใช้เวลาทำงานทั้งหมด 6 วัน และภายใน 6 วันนี้ ต้นกล้าผลไม้ก็ได้รับการลงปลูกเรียบร้อยทั้งหมด

เดิมทีคุณพ่อจี้อยากจะลงไปทำงานด้วย แต่ซูตานหงคัดค้านและให้เขาเป็นคนตรวจงานแทนที่จะลงมือทำงานด้วยตัวเอง เนื่องจากเขามีประสบการณ์ในการปลูกต้นไม้และสามารถให้คำแนะนำได้เป็นอย่างดี

ส่วนคุณแม่จี้มีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องอาหาร นางทำหมั่นโถวและหมูตุ๋นมาให้สองจานใหญ่ ๆ ซึ่งแม้แต่จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยยังพอใจมาก

ตอนนี้ครอบครัวใหญ่มีชีวิตที่ดีขึ้นมาก แต่มีน้อยครั้งนักที่สามารถกินเนื้อได้ทุกวัน หากพวกเขาสามารถกินเนื้อได้สองหรือสามมื้อต่อสัปดาห์ นั่นจะเป็นเรื่องที่ดีมาก

นั่นไม่ต้องพูดถึงชาย 4 คนในหมู่บ้านที่ได้จากบ้านมาดิ้นรนปากกัดตีนถีบเลย การได้กินหมั่นโถวหมูตุ๋นสี่มื้อแบบนี้นับว่าเป็นอาหารมื้อใหญ่ของพวกเขาทีเดียว

ต่อให้พวกเขากินในปริมาณไม่น้อย แต่พวกเขาก็ทำงานหนักเช่นกัน ดังนั้นคุณแม่จี้จึงไม่เห็นว่ามันเป็นเรื่องใหญ่

ต้นกล้าที่เหล่าฉินส่งมาให้ถูกลงปลูกเสร็จในเวลา 6 วัน ความเร็วเท่านี้นับว่าเร็วมาก แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเหลือพื้นที่ว่างอยู่อีกครึ่งภูเขา ซึ่งนั่นก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ปลูกทดสอบต้นกล้าที่มีอยู่ก่อนว่าจะอยู่รอดได้ไหม หากสามารถอยู่รอดได้ก็คงไม่สายเกินไปนักในการขยายพื้นที่ปลูกภายหลังจากนี้

ในตอนลงต้นกล้า ซูตานหงก็เห็นว่ามีชาย 2 คนที่ขยันเอาการเอางานดี คนแรกคือจี้หงจวินที่เป็นญาติคนหนึ่งของตระกูลจี้ แต่เป็นญาติห่าง ๆ และอีกคนหนึ่งคือสวี่อ้ายตั๋ง

จี้หงจวินมีอายุอ่อนกว่า ปีนี้เขามีอายุได้ 23 ปี เพิ่งแต่งงานไปเมื่อปีที่แล้ว แต่ต้องแยกกันอยู่แม้จะมีลูกชายคนหนึ่งเมื่อปีที่แล้ว ชีวิตประจำวันของเขาขึ้นอยู่กับผืนดินที่ได้รับจัดสรร ฐานะหรือก็ลำบาก แต่เขาเป็นคนสู้งาน และไม่เกี่ยงงานแม้แต่น้อย

คุณพ่อจี้ยกย่องชายคนนี้ว่าเป็นคนดีคนหนึ่ง

ส่วนชายอีกคนหนึ่งคือสวี่อ้ายตั๋ง ปีนี้เขามีอายุ 28 ปี แก่กว่าจี้หงจวินที่ได้กล่าวไป แต่มีชีวิตเหมือนกับฝ่ายแรกเช่นเดียวกัน ตรงที่ก่อนหน้านั้นเคยแต่งงานแต่ต้องแยกกันอยู่กับภรรยาในทันทีที่แต่งงานแล้ว

ช่วงที่พวกเขาแยกทางกันเป็นฤดูหนาวใหญ่ แต่แย่หน่อยตรงที่ทั้งคู่ไม่มีสมบัติอะไรเลย พวกเขาจึงแบ่งกันแค่โต๊ะตัวเล็ก ๆ กับตะเกียบ และไม่มีอะไรอย่างอื่น

แม้แต่ที่พักอาศัยกันลมก็ยังไม่มี

เป็นคุณลุงสวี่ที่ทนเห็นพวกเขาเป็นแบบนี้ไม่ได้ จึงเสนอให้คนทั้งคู่มาอยู่ในคอกวัวของเขา คนอื่น ๆ ในหมู่บ้านก็บริจาคข้าวของเครื่องใช้ที่มีอยู่ให้กับพวกเขา เป็นเช่นนี้คนทั้งคู่ถึงเริ่มตั้งตัวได้

ตอนนี้เขามีบ้านหลังเล็ก ๆ เป็นของตัวเองแล้ว

คุณแม่จี้เป็นคนบอกเรื่องนี้กับซูตานหง

แต่สวี่อ้ายตั้งเองก็ขยันทำงานมากเช่นกัน จนคุณพ่อจี้บอกว่าเขาเป็นคนดีคนหนึ่ง

ดังนั้นในตอนที่จ่ายเงินค่าจ้าง ซูตานหงจึงไม่ได้รั้งจี้เจี้ยนกั๋วและคนอื่น ๆ ไว้ แต่กลับเรียกจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งให้อยู่ก่อน

“ฉันลงต้นกล้าพวกนี้แล้ว แต่ยังเหลืองานรดน้ำใส่ปุ๋ยอยู่ ซึ่งต้องใช้คนสองคน พวกคุณสองคนรับงานนี้ไหมคะ?” ซูตานหงถาม

“รับครับ อาสะใภ้ พวกเราเต็มใจรับงานนี้ครับ!” ดวงตาของจี้หงจวินลุกวาวพร้อมกับที่เขารีบเอ่ยขึ้นทันที

“รับครับ” สวี่อ้ายตั๋งตอบรวดเร็วหลังอึ้งไปชั่วขณะ

“ถึงจะมีต้นไม้เยอะมากและไม่ใช่งานเบา ๆ แต่มันก็เป็นงานระยะยาวซึ่งใช้เวลาอย่างน้อยครึ่งปี ดังนั้นเงินเดือนจะไม่สูงนัก แค่ 10 หยวนต่อเดือนไม่รวมอาหาร ถ้าเมื่อไหร่ต้นกล้าบนภูเขาตั้งตัวดีแล้ว พวกคุณก็ใช้เวลาที่เหลือทำงานของตัวเองได้นะคะ” ซูตานหงอธิบาย

ทั้งสองตกลงทำโดยไม่ลังเล

เงิน 10 หยวนถือว่ามาก และต่อให้บนภูเขามีต้นกล้าไม้ผลอยู่มากมาย แต่ถ้าพวกเขาสองคนขยันทำงาน พวกเขาก็น่าจะทำเสร็จได้ในช่วงเช้า!

“วันนี้เป็นวันที่ยี่สิบแล้ว ดังนั้นพวกคุณเริ่มรดน้ำทุกวันตั้งแต่วันนี้ได้เลยนะคะ ส่วนเรื่องปุ๋ยก็ใส่ในตอนที่ถึงเวลาต้องใส่ และรับเงินเดือนได้ในวันนี้ของเดือนถัดไปค่ะ” ซูตานหงพูด

ชายทั้งสองจึงลงมือรดน้ำต้นไม้โดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

เมื่อคุณแม่จี้ได้ยินว่าเธอจ้างคนรดน้ำต้นไม้ไว้และยังจ้างในอัตราเงินเดือน 10 หยวนต่อเดือน นางก็รู้สึกปวดใจในทันที ถึงกับบอกว่าให้นางเป็นคนรดน้ำต้นไม้โดยที่ไม่ต้องจ้างพวกเขาก็ได้ ไม่เห็นต้องจ่ายเงินออกไปแบบนั้นเลย

ซูตานหงยิ้ม “คุณแม่คะ แค่ 20 หยวนต่อเดือนเอง ถือว่าไม่แพงหรอกค่ะ ฉันทำงานได้เงินมากกว่า 100 หยวนต่อเดือนนะคะ”

“แม่รู้ว่าเธอทำงานหาเงินได้ แต่ไม่เห็นต้องจ่ายเงินออกไปแบบนั้นเลย ทั้งคุณพ่อกับคุณแม่ก็ทำงานนี้ได้” คุณแม่จี้บอก

“แต่ถึงอย่างไรเรื่องใส่ปุ๋ยก็ต้องพึ่งคุณพ่อกับคุณแม่น่ะค่ะ ฉันไม่มีความรู้ในเรื่องนี้นัก ถ้าคุณแม่เห็นว่าที่ไหนมีปุ๋ยขาย ก็ให้จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งไปขนมานะคะ ส่วนคุณพ่อกับคุณแม่ก็เป็นคนดูเวลาว่าต้องใส่เมื่อไหร่” ซูตานหงพูด

นี่คือสิ่งที่เธอพูด แต่พอถึงตอนเย็น ซูตานหงก็ขึ้นไปบนภูเขาคนเดียวและหยิบบัวรดน้ำมาเทรดน้ำวิเศษลงไปให้ต้นไม้ทุกต้น

เธอไม่รู้ว่าจะสามารถปลูกต้นไม้ให้เจริญงอกงามได้ไหม แต่เพื่อเลี่ยงผู้คนและใช้น้ำวิเศษรดต้นไม้ได้มากกว่าเดิมแล้ว การทำแบบนี้นับว่ามีประโยชน์เสมอ

คุณพ่อกับคุณแม่จี้ให้ความใส่ใจกับต้นกล้าไม้ผลบนภูเขาอย่างมาก พวกเขาใช้ปุ๋ยคอกเป็นปุ๋ยหลัก โดยมีพี่ชายรองไปช่วยจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งขนย้ายมาไว้บนภูเขาหลายรอบ

“ตาเฒ่า ถ้าภูเขาลูกนี้ปลูกไม้ผลได้ดีแล้ว เราไม่จำเป็นต้องล้อมรั้วไว้รอบภูเขาเหรอ?” ขณะที่จี้หงจวินกับอีกสองคนที่เหลือกำลังใส่ปุ๋ย คุณแม่จี้ก็ได้ถามเรื่องนี้กับคุณพ่อจี้

ในละแวกรอบภูเขานี้มีสวนผลไม้อยู่ไม่กี่แห่ง หากสวนผลไม้ของพวกเขาออกผลผลิตได้จริง ๆ จะไม่มีขโมยมาเยือนเหรอ?

คุณพ่อจี้พยักหน้า “ถ้าต้นกล้าโตดีแล้วผมจะเข้าไปในเมือง”

ด้วยเหตุผลบางประการ คุณพ่อจี้รู้สึกอยู่ในใจว่าคราวนี้เขาคงจะปลูกต้นไม้รอด ถ้าต้นกล้าไม้ผลสามารถรอดชีวิตได้ ก็ถึงเวลาที่จะต้องล้อมรั้วรอบภูเขาแล้ว

และในตอนนั้นเขาคงต้องขึ้นเขาไปตั้งกระโจมเฝ้าสวนผลไม้

หมู่บ้านนี้ช่างกว้างใหญ่ ในช่วงรุ่งสางของทุกวัน จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งจะถือบัวรดน้ำขึ้นไปรดน้ำต้นกล้าผลไม้ ซึ่งเรื่องนี้ทุกคนก็ได้เห็นกันหมด ส่วนคุณแม่จี้ก็บำรุงที่ดินของนางขนานใหญ่โดยใส่ทั้งปุ๋ยคอกและขี้เถ้า ซึ่งจะขนขึ้นภูเขาเป็นครั้งคราว

คนในหมู่บ้านได้เห็นแล้วก็ไม่ได้ใส่ใจจริงจังนัก หลายปีที่ผ่านมาสองผู้เฒ่าตระกูลจี้ก็ทุ่มเทแบบนี้เช่นกัน แถมยังทุ่มเทหนักกว่านี้อีกด้วย เพราะตอนนั้นพวกเขาทำกันเองสองคน มาตอนนี้พวกเขาได้จ้างคนมาทำงานแล้ว ว่าแต่มันจะได้ผลหรือ?

ไม่ว่าผู้คนในหมู่บ้านจะว่าอย่างไร คุณพ่อคุณแม่จี้ก็ทำเพียงใช้ชีวิตของตนเองไปตามปกติ เช่นเดียวกับซูตานหง

ในวันนั้นเธอกำลังปักผ้าตามปกติ แต่แล้วก็ระลึกขึ้นได้ว่ารอบเดือนที่ควรจะมาในเดือนนี้กลับยังไม่มา?

ตอนแรกเธอไม่ได้ใส่ใจนัก แต่เมื่อเห็นว่าผ่านไป 4 ถึง 5 วันแล้วมันก็ยังไม่มา เธอก็อึ้งไปเล็กน้อยและตัดสินใจคลำชีพจรตัวเอง จากนั้นก็มีสีหน้าตื่นตะลึงไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็แสดงความปิติยินดีออกมา

เธอรู้ว่าตนเองจะมีลูกไม่เร็วก็ช้า ตัวเธอกับจี้เจี้ยนอวิ๋นต่างมีสุขภาพแข็งแรงดีทั้งคู่ แล้วทำไมพวกเขาจะมีลูกด้วยกันไม่ได้ล่ะ?

เธอคิดว่าตัวเองน่าจะมีลูกในอีก 1 หรือ 2 ปีข้างหน้า แต่ไม่คิดเลยว่าจี้เจี้ยนอวิ๋นจะพูดถูก เด็กคนนี้มาเกิดในท้องเธอไวเหลือเกิน!

เมื่อสังเกตชีพจรแล้ว เธอก็บอกได้ว่าตอนนี้ตัวเองกำลังท้องได้ 1 เดือนและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆ ไม่แปลกใจเลยว่าเธอจะไม่ทันได้คิดอะไรหลังเห็นว่ารอบเดือนครั้งนี้มาช้า

_______________