ตอนที่ 34 ศึกชิงไหวพริบของสองสะใภ้

ทะลุมิติไปเป็นเศรษฐีนียุค 80 [重生八零致富记]

ตอนที่ 34 ศึกชิงไหวพริบของสองสะใภ้

เป็นธรรมดาที่ซูตานหงจะมีความสุขมากเมื่อรู้ว่ามีลูก แต่เรื่องมีความสุขก็ส่วนมีความสุข เธอไม่แจ้งเรื่องที่ตัวเองท้องให้คุณแม่จี้ทราบในตอนนี้หรอก รอให้ผ่านสามเดือนแรกอย่างราบรื่นก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เธอทำอาหารให้เสี่ยวเฮยเป็นการเฉลิมฉลอง และเฝิงฟางฟางก็มาเห็นเข้า

ทันทีที่หล่อนได้เห็น หล่อนก็รู้สึกเจ็บร้าวไปทั้งหน้า “สวรรค์เถอะ ตานหง เธอเลี้ยงสุนัขตัวนี้ด้วยของดี ๆ แบบนี้เสมอเลยเหรอ?”

ดูชิ้นเนื้อหมูสามชั้นทั้งบางทั้งหนานั่นสิ ขนาดครอบครัวหล่อนยังไม่ได้กินอะไรแบบนี้เลย อาหารที่พวกเขากินยังไม่ดีเท่าที่สุนัขตัวนี้กินงั้นเหรอ?

ซูตานหงไม่คิดว่าหล่อนจะมาเยี่ยม จึงตอบไปด้วยท่าทางเป็นปกติ “เนื้อนี่เป็นของเก่าทิ้งไว้นานแล้วน่ะค่ะ แล้วมันก็ใกล้จะเน่าแล้วด้วย ฉันกลัวว่าถ้ากินเข้าไปคงจะท้องเสีย เลยไม่ได้เอาไปให้คุณพ่อคุณแม่แล้วให้เสี่ยวเฮยกินแทน”

บอกไม่ได้ว่าเธอมีความประทับใจที่ดีต่อเฝิงฟางฟางหรือไม่ จะว่าดีก็ไม่ดีจะว่าแย่ก็ไม่แย่ คราวที่แล้วที่จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยถูกจ้างไปช่วยลงกล้าพันธุ์ผลไม้และได้กินอาหารกลางวัน ก็คงเป็นจี้เจี้ยนกั๋วที่กลับไปบอกครอบครัวเขาในเรื่องนี้ ทำให้ในวันรุ่งขึ้นเฝิงฟางฟางพาโหวหวาจือไปด้วย จนคนที่มาทำงานหลายคนมีอาหารไม่พอกิน และทำให้คุณแม่จี้แทบจะด่ากราดหล่อนตรงนั้น

จากความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในวันปีใหม่คราวที่แล้ว ทำให้ตอนนี้คุณแม่จี้ไม่มีความรู้สึกดี ๆ ต่อสะใภ้ใหญ่คนนี้เลย

แม้ว่านางจะไม่ได้ตำหนิหล่อนต่อหน้า แต่เฝิงฟางฟางก็ไม่กล้าพาโหวหวาจือมาอีก หากพามาเธอจะต้องถูกคุณแม่จี้สอนบทเรียนเป็นการส่วนตัวแน่

“ทำไมวันนี้จู่ ๆ พี่สะใภ้ใหญ่ถึงมาที่นี่ล่ะคะ?” ซูตานหงถาม

เมื่อเฝิงฟางฟางได้ยินดังนี้ หล่อนก็มีท่าทางเป็นการเป็นงานขึ้น ไม่ว่าเนื้อที่เสี่ยวเฮยกินจะเป็นเนื้อดีหรือเนื้อเสีย หล่อนก็ไม่สนใจที่จะแย่งอาหารกับสุนัขอีกแล้ว

“ตานหง พี่ได้ยินว่าเธอจ้างจี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งเป็นคนงานดูแลสวนเหรอ?” เฝิงฟางฟางถาม

พอหล่อนเปิดประเด็นขึ้นมา ซูตานหงจึงได้รู้ว่าเหตุใดหล่อนถึงมาที่นี่ จากนั้นเธอก็พยักหน้า “ค่ะ ทุกคนในหมู่บ้านก็รู้เรื่องนี้ พี่สะใภ้ใหญ่มีอะไรจะบอกเหรอคะ?”

“แต่ละเดือนเธอให้ค่าจ้างพวกเขาเท่าไหร่?” เฝิงฟางฟางถาม

ซูตานหงยิ้ม “ไม่มากเท่าไหร่หรอกค่ะ อย่างน้อยก็เพียงพอที่จะให้พวกเขาได้มีเงินเก็บเป็นของตัวเอง ฉันได้ยินคุณพ่อคุณแม่บอกมาเหมือนกันค่ะว่าสองคนนี้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ลำบากที่สุด”

เฝิงฟางฟางเม้มปากเมื่อได้ยินดังนี้ “คุณแม่นี่ก็เหลือเกิน เอาของดี ๆ แบบนี้ไปให้คนข้างนอกได้ยังไง พี่ชายใหญ่ก็อยู่บ้านว่าง ๆ แท้ ๆ เขาเองก็ทำงานว่องไวมาตลอดเหมือนกัน ตานหง…หรือว่าเธอจะเลิกจ้างสองคนนั้นแล้วให้พี่ชายใหญ่ไปทำแทนดีไหม?”

ซูตานหงเดาไว้แล้วว่าหล่อนต้องมาคุยเรื่องนี้ เธอจึงตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม “เรื่องนี้เป็นไปไม่ได้แล้วล่ะค่ะ ฉันบอกพวกเขาสองคนไปแล้ว คนเราจะต้องมีสัจจะ และต้องตั้งมั่นรักษาสัจจะไว้ในใจ ฉันให้สัญญากับพวกเขาไปแล้ว ดังนั้นฉันก็ย่อมต้องให้พวกเขาได้ทำงานค่ะ”

เธอจะไม่ขอให้จี้เจี้ยนกั๋วกับจี้เจี้ยนเยี่ยทำงานหรอก ความจริงแล้วถ้าคุณแม่จี้ไม่ขอไว้ว่าให้พวกเขาสองคนมาทำงาน เธอก็ไม่จ้างพวกเขา ในเมื่อเธอมีเงินแล้วทำไมจะไม่จ้างคนอื่นล่ะ? เธอแค่ไม่อยากใช้แรงงานคนที่เป็นญาติกันเท่านั้น

หากว่าสามารถใช้เงินแก้ปัญหาได้ เธอก็ไม่เคยเลือกที่รักมักที่ชัง

และภูเขาลูกนี้ก็เป็นของเธอ เธอจึงไม่อยากให้ญาติ ๆ พวกนี้มาเกี่ยวข้อง ส่วนคุณพ่อจี้กับคุณแม่จี้นั้นไม่มีใครว่าอะไรได้หากพวกเขาอยากจะขึ้นเขามาตรวจดูความเรียบร้อยของสวน

“แต่นี่จะไม่เป็นการเสียเงินโดยสูญเปล่าเหรอ?” เฝิงฟางฟางพูด

ซูตานหงยิ้ม “ฉันจ่ายเงินให้พวกเขา แล้วพวกเขาก็ทำงานตอบแทนให้ฉัน เท่ากับว่าฉันไม่ได้เสียเงินไปเปล่า ๆ เลยค่ะ”

ในความคิดเห็นของคุณนั้น ฉันไม่สามารถตัดสินใจว่าจะจ่ายเงินจ้างใครได้ด้วยตนเองเลยหรือไง?

เฝิงฟางฟางรู้ว่าเธอหมายความว่าอย่างไร หล่อนมองไปที่สะใภ้สาม ก่อนวันปีใหม่ปีนี้ หล่อนไม่เชื่อเลยว่าเธอจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ จนกระทั่งถึงวันแรกของปีใหม่ที่เธอตัดสินใจจ่ายเงิน 400 หยวนเพื่อยุติความขัดแย้งนี่เองหล่อนถึงได้เริ่มเชื่อว่าเธอเปลี่ยนไปแล้วจริง ๆ !

ในอดีตนั้นไม่มีใครกล้าแย่งเงินจากซูตานหงเลยแม้แต่ครึ่งหนึ่ง อย่าว่าแต่ 400 หยวนเลย ถ้าเธอรู้ว่าสองผู้เฒ่าให้เงิน 500 หยวนเพื่อให้อวิ๋นลี่ลี่เอาไปสร้างบ้าน เธอก็น่าจะแสดงอาการเกรี้ยวกราดมากกว่าพวกหล่อนอีก

ใครจะไปรู้ว่าสะใภ้สามผู้ตระหนี่ถี่เหนียวคนนี้จะเปลี่ยนไปได้มากขนาดนี้แล้ว?

อย่าคิดว่าท่าทางตอนนี้ของเธอดูอ่อนโยนและไม่มีเล่ห์เหลี่ยมใด ๆ นิสัยตอนนี้ของเธอกลับรับมือยากกว่านิสัยโผงผางแบบเมื่อก่อนเสียอีก

ทั้งการพูดและการกระทำของเธอล้วนไม่มีที่ติจนผู้คนไม่อาจหาข้อเสียอะไรได้แม้เพียงครึ่ง ซึ่งเหตุการณ์ที่คลี่คลายลงในวันปีใหม่วันแรกนั้น ทำให้ทุกคนในครอบครัวล้วนจดจำแต่ความดีของเธอ

“ตานหง พี่รู้ว่าเธอจะเลือกเรียกใครมาทำงานก็ได้ แต่ตอนนี้เธอมีเงินแล้วก็ต้องช่วยพี่บ้าง เธอดูโหวหวาจือสิ ปีนี้พี่ตั้งใจว่าจะส่งเขาเข้าโรงเรียนประถม แล้วค่าเล่าเรียนก็สูงมากกว่า 30 หยวนต่อหนึ่งภาคการศึกษาเลยจ้ะ” เฝิงฟางฟางเริ่มพะอืดพะอมคล้ายจะอาเจียน

ซูตานหงได้ยินก็ตอบกลับ “เงิน 200 หยวนที่พี่เรียกจากฉันเพียงพอที่จะให้โหวหวาจือเรียนได้หลายปีเลยค่ะ เมื่อวานนี้โหวหวาจือก็เพิ่งจะมาหาฉัน ฉันเลยให้เขากินซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ 2 ลูกไป ฉันเองก็รักเขาเหมือนกันนะคะ”

เฝิงฟางฟางถึงกับสำลัก

ลูกชายของหล่อนเองก็มาบอกกับหล่อนเหมือนกันว่าเมื่อวานนี้เขารู้สึกหิวมากในระหว่างที่เล่นกับเด็กคนอื่น เขาจึงวิ่งไปที่บ้านของอาสะใภ้สามเพื่อขอของกิน แล้วอาสะใภ้สามก็ให้ซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่ 2 ลูกกับเขา ซึ่งข้างในอุดมไปด้วยเนื้อล้วน ๆ!

“อีกอย่างหนึ่ง ฉันยังมีผ้าเหลือจากการตัดชุดให้เจี้ยนอวิ๋นน่ะค่ะ ในเมื่อโหวหวาจือต้องเข้าโรงเรียนแล้ว พี่ก็รับผ้าพวกนี้ไปตัดเป็นกระเป๋านักเรียนให้เขาได้นะคะ”

ซูตานหงกล่าวแล้วเข้าไปข้างในห้องก่อนหยิบเศษผ้าผืนหนึ่งออกมา มันถือว่ามีคุณภาพดีมากทีเดียว และแน่นอนว่ามีปริมาณเพียงพอต่อการทำกระเป๋านักเรียนใบหนึ่ง

เฝิงฟางฟางรับเศษผ้าชิ้นนั้นแล้วก็กลับไป

ตอนนี้เองจี้มู่ตานก็มาถามถึงผลที่เกิดขึ้น “พี่สะใภ้ใหญ่ หล่อนว่าอย่างไรบ้างคะตอนที่พี่ไปหาที่บ้านสาม? หล่อนได้สัญญาอะไรไหมคะ?”

“ก็ไม่น่ะสิ ล้มเลิกความคิดไปได้เลย” เดิมทีเฝิงฟางฟางอยากจะบอกว่าซูตานหงเป็นคนไร้ค่าที่ในครอบครัวนี้ไม่มีใครไร้ค่าได้เท่าเธออีกแล้ว แต่เมื่อนึกถึงซาลาเปาเนื้อลูกใหญ่สองลูกที่ลูกชายของหล่อนได้กินเข้าไป หล่อนก็กลืนคำพูดเหล่านี้ลงคอ “หล่อนเห็นด้วยที่จะให้จี้หงจวินกับสวี่อ้ายตั๋งทำงาน บอกว่าหล่อนไม่สามารถอยู่ได้โดยไร้สัจจะ และการรักษาสัจจะคือคุณธรรมพื้นฐานของคน”

“คุณธรรมพื้นฐานอะไรกัน? ตั้งแต่เมื่อไหร่คะเนี่ยที่หล่อนพูดถึงสัจจะ?” จี้มู่ตานแค่นเสียงเมื่อได้ยินดังนี้

“ตอนนี้หล่อนเปลี่ยนไปแล้ว อย่ามองหล่อนด้วยสายตาแบบเดิมอีกเลย เอาล่ะ ในเมื่อหล่อนบอกไม่ เธอก็ไม่ต้องไปตอแยหล่อนอีกแล้ว” เฝิงฟางฟางบอก

ลูกชายของหล่อนชอบแวะที่บ้านนั้น นับตั้งแต่ที่ซูตานหงเปลี่ยนไปเขาก็กินจุขึ้นมาก เด็กชายคนนี้เติบโตขึ้นมากจริง ๆ และเพื่อไม่ให้เป็นการสร้างความรำคาญให้ซูตานหง หล่อนจึงตัดสินใจที่จะญาติดีกับสะใภ้สามคนนี้

นอกจากนี้สะใภ้สามยังปักผ้าเป็น ในเมื่องานปักที่เธอปักงานหนึ่งสามารถทำเงินได้มากถึงขนาดนั้น จะเกิดอะไรขึ้นล่ะหากจู่ ๆ ต้องผิดใจอย่างร้ายแรงกับคนแบบนี้?

แต่เห็นชัดว่าจี้มู่ตานไม่ได้สนใจกับคำพูดของหล่อน และเริ่มต่อความยาวสาวความยืดกับหล่อนอีก “ฉันได้ยินมาว่าหล่อนจ้างสองคนนั้นคนละ 10 หยวนต่อเดือนเลยนะคะ!”

10 หยวน!

เฝิงฟางฟางเองก็ตื่นเต้นเหมือนกัน แต่เมื่อทุกคนบอกว่าเธอไม่เปลี่ยนใจแล้ว หล่อนก็ไม่จำเป็นต้องไปวุ่นวายต่อ

จี้มู่ตานก็ได้แต่บ่นและไม่เอ่ยอะไรอย่างอื่นอีก จนกระทั่งหล่อนเบื่อไปเองแล้วกลับไป

วันต่อมาซูตานหงถือบัวรดน้ำขึ้นไปบนภูเขา เมื่อพบเจอกันระหว่างทาง จี้มู่ตานก็เอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม “น้องสะใภ้สามกำลังจะขึ้นเขาเหรอจ๊ะ?”

“ค่ะ ฉันขนน้ำขึ้นไปเพื่อจะดูว่ามีตรงไหนยังไม่ได้รดบ้าง จะได้รดน้ำเพิ่มน่ะค่ะ” ซูตานหงตอบในประโยคเดียว

“พี่หวังว่าต้นกล้าพวกนั้นจะมีชีวิตรอดนะจ๊ะ ไม่อย่างนั้นเธอคงจะสูญเงินเปล่า แล้วคนทั้งหมู่บ้านจะหัวเราะเยาะเอาได้น่ะจ้ะ” จี้มู่ตานพูด หลังจากนั้นหล่อนก็ผละจากไป

ซูตานหงเหลือบมองแผ่นหลังของหล่อน หญิงประหลาดคนนี้กำลังเหน็บเธอในเรื่องที่ไม่จ้างจี้เจี้ยนเยี่ยใช่ไหมนั่น? นอกจากเหตุผลนี้แล้วเธอก็คิดเป็นอย่างอื่นไม่ออกเลย คิดแล้วเธอก็เดินขึ้นเขาไปด้วยความอ่อนใจ

________________