ตอนที่ 32 ข้อเสนอ
ระหว่างที่พูดคุยสนทนากันอยู่นั้น หลี่ฮั่วเฉินได้แสดงสีหน้าท่าทางที่ผ่อนคลาย และเป็นกันเอง แต่ฉีเล่ยรู้ดีว่า หลี่ฮั่วเฉินมีบางอย่างที่ต้องการคุยกับเขา เพราะคนอย่างหลี่ฮั่วเฉินนั้น เวลาทุกวินาทีล้วนมีค่า มีหรือที่เขาจะยอมสละเวลาอันมีค่าแบบนั้น มานั่งคุยเรื่องทั่วไปกับฉีเล่ย
และหลี่ฮั่วเฉินก็มีเรื่องที่ต้องการปรึกษาฉีเล่ยจริงๆ เขาจึงได้พาชายหนุ่มไปนั่งคุยในร้านกาแฟแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากโรงพยาบาลนัก
ชายหนุ่มและชายชราต่างก็เดินไปหามุมเงียบๆภายในร้านนั่ง เนื่องจากหลี่ฮั่วเฉินนั้นไม่ดื่มกาแฟ จะดื่มเพียงแค่ชาเท่านั้น ฉีเล่ยจึงได้สั่งลาเต้ร้อนให้ตนเองหนึ่งแก้ว พร้อมกันนั้นก็ได้สั่งนมร้อนให้ท่านหมอหลี่
หลี่ฮั่วเฉินไม่ได้ถามถึงหน้าที่การงานของฉีเล่ย เขาทำตัวเหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่งที่กำลังคุยกับเด็ก นอกจากจะถามไถ่ในเรื่องทั่วไปด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว ก็ถามถึงเรื่องครอบครัวบ้าง
“หมอฉี ตอนนี้เธออายุเท่าไหร่แล้ว?”
“ยี่สิบหกครับ”
“แต่งงานมีครอบครัวหรือยัง?”
“แต่งแล้วครับ!”
“แล้วมีลูกหรือยังล่ะ?”
“ยังเลยครับ..”
หลี่ฮั่วเฉินถามอะไร ฉีเล่ยก็ตอบกลับไปตามความจริง แต่ถ้าชายชราไม่ถาม เขาก็นั่งนิ่งเงียบไม่พูดอะไร ในเมื่อท่านหมอหลี่เป็นคนมาพบเขาเอง หากท่านหมอหลี่ไม่เป็นฝ่ายพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริง ก็ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องแสดงความอยากรู้อยากเห็นออกมาก่อน..
ฉีเล่ยเองก็อยากจะรู้ว่า หลี่ฮั่วเฉินจะมาไม้ไหนกันแน่? หากชายชรายังคงนิ่งเงียบ ไม่เอ่ยปากพูดถึงจุดประสงค์ที่แท้จริงของตนเอง ฉีเล่ยก็สามารถเก็บงำความอยากรู้ และรักษาท่าทีที่สงบนิ่งไว้ได้ดีไม่แพ้หลี่ฮั่วเฉินเลย แม้ว่าจะอายุน้อยกว่าก็ตาม..
ในเรื่องของความสงบเยือกเย็นนั้น เขาเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าหลี่ฮั่วเฉินเลย ไม่อย่างนั้น ที่ผ่านมาเขาคงจะไม่หลอกล่ออาชญากรทั้งหกคน ให้พาเขาไปจนถึงที่รังของพวกมันได้แน่ และยอมเปิดเผยเขี้ยวเล็บของตนเองในเสี้ยววินาทีสุดท้ายจริงๆ!
แล้วก็เป็นอย่างที่ฉีเล่ยคาดคิด หลังจากสนทนาเรื่องต่างๆทั่วไปอยู่ครู่หนึ่ง หลี่ฮั่วเฉินก็ไม่สามารถทนนิ่งเฉยต่อไปได้ และได้ถามฉีเล่ยไปว่า
“หมอฉี เธอวางแผนอนาคตไว้ยังไงบ้างรึ? เธอคิดที่จะทำงานที่โรงพยาบาลทหารนี้ต่อไปมั๊ย?”
“ไม่ครับ!” ฉีเล่ยส่ายหน้าไปมา และตอบกลับโดยแทบไม่ต้องคิด
หลังจากที่ได้ยินคำตอบของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินก็ถึงกับถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก แล้วจึงถามต่อว่า
“แล้วเธอมีแผนที่จะไปทำงานในปักกิ่ง เพื่อพัฒนาทักษะบ้างมั๊ย?”
“ไปปักกิ่งเพื่อพัฒนาทักษะงั้นเหรอครับ?”
ฉีเล่ยถึงกับชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “ท่านหมอหลี่ ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้มาก่อนเลยจริงๆ! ภรรยาของผมทำงานที่โรงพยาบาลประจำเมือง ผมเกรงว่าจะไม่สะดวก หากตัวผมต้องไปทำงานต่างเมือง”
“อีกอย่าง คุณนายหลิวเพิ่งจะแจ้งกับผมวันนี้เองว่า เธอได้ส่งชื่อผมให้เข้าไปเป็นทีมแพทย์พิเศษของเจียงหนานแล้ว..”
หลี่ฮั่วเฉินได้แต่คิดในใจว่า หลิวเฟิงเจิ้นทำงานได้รวดเร็วมากจริงๆ และเขาก็ช้ากว่าเธอไปหนึ่งก้าว!
เมื่อคืนนี้ หลี่ฮั่วเฉินเองก็ไม่สามารถข่มตานอนได้หลับเช่นกัน เขานอนครุ่นคิดเรื่องของฉีเล่ยอยู่บนเตียงตลอดทั้งคืน เขายอมรับว่าตนเองนั้นทึ่งในตัวชายหนุ่มมาก และอยากจะได้ฉีเล่ยไปทำงานใกล้ๆตัว เพื่อที่จะดูว่า เขายังมีความน่าอัศจรรย์ในตัวอะไรอยู่อีกบ้าง?
หลี่ฮั่วเฉินเชื่อว่า ทักษะทางการแพทย์ของฉีเล่ยไม่ได้มีเพียงแค่นี้แน่ การรักษาอาการป่วยให้กับหลิวเฟิงเจิ้น เป็นเพียงแค่ทักษะส่วนหนึ่งของเขาเท่านั้น และหลี่ฮั่วเฉินก็ต้องการที่จะเห็นทักษะที่ล้ำลึกมากกว่านี้ในตัวของชายหนุ่ม
อาชีพแพทย์นั้น เป็นวิชาชีพที่อิงกับเรื่องของประสบการณ์ และอายุเป็นอย่างมาก หากเปรียบเทียบระหว่างแพทย์แผนปัจจุบันกับแพทย์แผนจีนแล้วล่ะก็ ดูเหมือนแพทย์แผนจีนจะอิงกับสองเรื่องนี้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ การเป็นหมอจีนนั้น ยิ่งผมขาวเต็มศรีษะก็จะยิ่งดูน่าเชื่อถือมากขึ้น และยิ่งมีตำแหน่งเป็นถึงแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางพิเศษ ก็จะยิ่งน่าเชื่อถือมากขึ้นไปอีก
ที่เชื่อกันเช่นนั้นอาจเป็นเพราะว่า ทฤษฏีการแพทย์แผนจีนนั้น ค่อนข้างยุ่งยาก และซับซ้อน อีกทั้งยังมีขอบเขตกว้างไกล และล้ำลึกอย่างมากด้วย!
ยกตัวอย่างเช่น จากข้อมูลล่าสุดพบว่า สมุนไพรจีนนั้นมีมากกว่า 12,800ชนิด หากคนผู้นั้นเป็นแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญจริง อย่างน้อยที่สุด ก็ต้องมีความรู้เรื่องคุณสมบัติของยาสมุนไพรทั้งหมด และเงื่อนไขเฉพาะของการใช้ยาสมุนไพรชนิดนั้นๆ รวมทั้งความรู้เรื่องเภสัชวิทยาอีกด้วย
หากลองใคร่ครวญดูให้ดีจะพบว่า ภายในใบสั่งยาแผ่นหนึ่ง จะมีสมุนไพรจีนอยู่มากมายหลายชนิด หากไม่เชี่ยวชาญจริงจะรู้ได้อย่างไรว่า ต้องใช้สมุนไพรชนิดใดบ้าง? เพราะสมุนไพรแต่ละชนิดล้วนมีข้อจำกัดในตัวเอง
ความรู้เหล่านี้นับเป็นเรื่องที่ซับซ้อน และต้องใช้เวลาในการศึกษาหาความรู้ ไม่มีเส้นทางลัดปรากฏ แพทย์ผู้นั้นจำเป็นต้องใช้ทั้งความพยายาม และเวลาสำหรับการเรียนรู้ในเรื่องเหล่านี้ และแพทย์แผนจีนบางคน ถึงกับต้องใช้เวลาทั้งชีวิตของตนหมกมุ่นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ แต่ก็ยังไม่สามารถเรียนรู้ได้จบสิ้น
สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ แพทย์แผนจีนไม่มีแพทย์เฉพาะทางดังเช่นแพทย์แผนปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งแพทย์เฉพาะทางด้านทรวงอก ช่องท้อง ศัลยกรรม กระดูก และอื่นๆอีกมากมาย แต่มีใครเคยได้ยินบ้างว่า มีแพทย์แผนจีนเฉพาะทางด้านสมอง หรือด้านอื่นๆหรือไม่?
ด้วยเหตุนี้ การศึกษาเล่าเรียนแพทย์แผนจีน จึงไม่ได้รับความนิยมเท่ากับแพทย์แผนปัจจุบัน เพราะหากเปรียบเทียบการเรียนระหว่างสองศาสตร์ แน่นอนว่าการเรียนในแพทย์แผนจีนย่อมต้องเรียนหนักกว่ามาก
และด้วยความยากลำบากในการศึกษาเล่าเรียนในศาสตร์นี้ ทำให้มีแพทย์แผนจีนที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงอยู่เพียงไม่กี่คนเท่านั้น นอกเหนือจากนั้นแล้ว ล้วนเป็นแพทย์แผนจีนที่รู้เพียงทฤษฏีตื้นๆ และได้รับใบรับรองแพทย์ขั้นพื้นฐานที่สุดเท่านั้น
ด้วยสาเหตุนี้ ทำให้แพทย์แผนจีนในปัจจุบันส่วนใหญ่ ถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกโกหกหลอกลวง ซึ่งแน่นอนว่าเป็นเรื่องที่กล่าวหากันเกินไป เพียงแต่ความรู้ความสามารถของพวกเขา ไม่ได้สูงส่งลึกซึ้งมาก และสิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ แพทย์แผนจีนกลุ่มนี้จะไม่สามารถรักษาโรคร้ายแรงได้..
ยกตัวอย่างเช่นโรคมะเร็งเม็ดเลือดขาว โรคมะเร็งชนิดอื่นๆ หรือโรคหัวใจ จะมีคนไข้ที่เป็นโรคเหล่านี้สักกี่คน ที่จะเลือกไปหาแพทย์แผนจีน?
ต้องบอกว่ามีจำนวนที่น้อยมาก!
แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ข้อสรุปว่า แพทย์แผนปัจจุบันดีกว่าแพทย์แผนจีน!
ยกตัวอย่างกรณีของหลิวเฟิงเจิ้น ทางแพทย์แผนปัจจุบันวินิจฉัยว่าโรคลำไส้แปรปรวน ส่วนทางแพทย์แผนจีนวินิจฉัยว่าเกิดจากหานเสีย ส่วนจะรักษาด้วยแพทย์แผนใดนั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของผู้ป่วยเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นแพทย์แผนจีนก็ดี หรือแพทย์แผนปัจจุบันก็ดี ต่างก็มีจุดประสงค์เดียวกันคือรักษาผู้ป่วยให้หาย เพียงแต่การรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน มักเห็นผลที่เร็วกว่า..
แต่ความรู้ความสามารถทางการแพทย์แผนจีนของฉีเล่ยนั้น แตกต่างจากแพทย์แผนจีนคนอื่นๆ ที่หลี่ฮั่วเฉินเคยพบเจอมาอย่างสิ้นเชิง และเรื่องนี้ ก็นับว่าได้ยกระดับความรู้เกี่ยวกับแพทย์แผนจีนของหลี่ฮั่วเฉินขึ้นมาอีกขั้น
ความรู้ความสามารทางการแพทย์ของฉีเล่ย ทำให้หลี่ฮั่วเฉินตระหนักว่า เมื่อมีความรู้ด้านแพทย์แผนจีนสูงขึ้นถึงระดับหนึ่ง การรักษาผู้ป่วยกลับทำได้ง่ายมาก!
ตรงกันข้าม หากเขาต้องการที่จะรักษาอาการของหลิวเฟิงเจิ้น ให้ได้ผลดังเช่นการรักษาของฉีเล่ย จะต้องทำการปลูกถ่ายจุลินทรีย์ และสวนกลับเข้าไปทางทวารหนัก ซึ่งจะสร้างความเจ็บปวดให้กับคนไข้มา และที่สำคัญ ยังไม่แน่ว่าจะได้ผลดีเท่ากับใบสั่งยาของฉีเล่ยหรือไม่?
และด้วยความยากลำบากในการร่ำเรียนด้านแพทย์แผนจีน การจะหาแพทย์แผนจีนที่มีพรสวรรค์อยู่ในระดับกลางก็นับว่าหายากมากแล้ว แต่สำหรับฉีเล่ยนั้น ด้วยอายุที่ยังน้อยเพียงเท่านี้ แต่กลับมีความรู้ความสามารถที่สูงส่งล้ำลึก เขาจึงนับว่าเป็นอัจฉริยะของวงการแพทย์แผนจีนเลยทีเดียว!
ชายหนุ่มในวัยเพียงแค่นี้ แต่กลับมีความรู้ความสามารถในศาสตร์แพทย์แผนจีนอย่างลึกซึ้งเช่นนี้ หากหลี่ฮั่วเฉินไม่ได้เขามาทำงานข้างกาย คงจะต้องเสียใจมากอย่างแน่นอน!
หลังจากครุ่นคิดอยู่นาน ในที่สุด หลี่ฮั่วเฉินก็ตัดสินใจที่จะไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ และทิ้งโอกาสดีนี้ไปง่ายๆ แม้หลิวเฟิงเจิ้นจะเป็นฝ่ายชิงลงมือก่อน แต่ฉีเล่ยก็อาจจะยังไม่ตอบตกลงก็เป็นได้..
อย่างไรเสีย เขาก็จะต้องพยายามสู้อย่างสุดความสามารถ!
“หมอฉี หากเธอต้องการไปปักกิ่งเพื่อพัฒนาต่อยอดความรู้ความสามารถ ฉันมีทางเลือกเสนอให้เธอสองทาง..”
“ทางแรกคือเข้าไปเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทีมแพทย์หลวงอย่างฉัน ซึ่งมีหน้าที่คอยรับผิดชอบดูแลการรักษาให้กับข้าราชากร และผู้นำระดับสูงของประเทศ ตัวฉันเองมีตำแหน่งเป็นหัวหน้าทีม มีสิทธิ์ที่จะพาคนเข้าไปทำงานได้”
“ส่วนหนทางที่สอง.. เธอสนใจอยากจะเป็นอาจารย์บ้างมั๊ย? ฉันตระหนักได้ว่า เธอมีความรู้ด้านแพทย์แผนจีนที่ลึกซึ้งมาก ความรู้ที่มีค่าเหล่านี้ไม่ควรถูกฝังให้ตายไปกับตัวเธอ มันควรจะต้องถูกนำมาเผยแพร่ให้มีผู้สืบทอด ถ้าเธอสนใจที่จะเป็นอาจารย์ถ่ายทอดความรู้ ฉันจะให้เธอได้เป็นอาจารย์ที่มหาวิทยาลัยการแพทย์ ซึ่งตัวฉันเองมีตำแหน่งเป็นรองอธิบดีของที่นั่นด้วย..”
หลี่ฮั่วเฉินจ้องมองฉีเล่ยด้วยแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความจริงใจ สีหน้าท่าทางของเขานั้น ดูไม่เหมือนกับคนที่มาเสนองานให้ฉีเล่ยเลยแม้แต่น้อย เขาดูเหมือนกับคนที่กำลังมาของานทำเสียมากกว่า..
ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญในทีมแพทย์หลวง หรือเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัยแทพย์ปักกิ่ง ทั้งสองหน้าที่นี้ล้วนแล้วแต่น่าสนใจเป็นอย่างมาก และดูเหมือนจะเหนือกว่าแพทย์พิเศษของกรมอนามัยหนานเจียงเสียอีก
ด้วยเหตุนี้ หลี่ฮั่วเฉินจึงมั่นใจเป็นอย่างมากกว่า ฉีเล่ยจะต้องเลือกมาทำงานกับตน ขึ้นอยู่กับว่าจะเลือกทำอะไรเท่านั้นเอง!
หลี่ฮั่วเฉินนับว่าเฉลียวฉลาดมากทีเดียว นั่นเพราะหนทางทั้งสองที่เขาเสนอให้กับฉีเล่ยเลือกนั้น เรียกได้ว่าตรงกับบุคลิกนิสัยของชายหนุ่มอย่างมาก เพราะหลังจากที่ได้พูดคุยกับฉีเล่ยเมื่อวานนี้ เขาก็พอที่จะเข้าใจบุคลิก และอุปนิสัยของชายหนุ่มได้ดี จึงตัดสินใจเสนอทางเลือกเช่นนี้
หลี่ฮั่วเฉินไม่คิดมาก่อนเลยว่า ความพยายามครั้งนี้ของเขาจะสูญเปล่า..
ฉีเล่ยมีสีหน้ากระอักกระอ่วนเล็กน้อย ก่อนจะตอบกลับไปว่า “อาวุโสหลี่ ผมต้องขออภัยจริงๆ ที่ไม่สามารถรับความหวังดีของอาวุโสครั้งนี้ได้ เพราะผมรับปากคุณนายหลิวไปแล้ว!”