ตอนที่ 33 ตัดสินใจ
ฉีเล่ยมีเหตุผลในการตัดสินใจเป็นของตัวเอง..
เขาเติบโตมาในหนานหยาง และใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มาโดยตลอด แทบจะไม่เคยออกจากเมืองไปไกลๆเลยด้วยซ้ำ ในเมื่อรากฐานของเขาอยู่ที่นี่ เขาจึงมั่นใจ และสะดวกใจที่จะใช้ชีวิตอยู่ที่นี่มากกว่าปักกิ่ง ซึ่งเป็นเมืองหลวงที่เขาไม่คุ้นเคยเลยแม้แต่น้อย
อีกหนึ่งเหตุผลทีฉีเล่ยปฏิเสธข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินก็คือ เฉินอวี้หลัวซึ่งเป็นภรรยาของเขา เวลานี้หญิงสาวได้เป็นแพทย์เฉพาะทางประจำแผนกศัลยกรรมกระดูกของโรงพยาบาลที่ทำอยู่ หากเธอทำผลงานได้ดี ในวันข้างหน้าอาจได้ขึ้นเป็นถึงรองผู้อำนวยการของโรงพยาบาล
ความจริงแล้ว หากฐานะของสกุลเฉินร่ำรวยกว่านี้ ไม่แน่ว่าเฉินอวี้หลัวอาจจะเจริญก้าวหน้ในหน้าที่การงานมากกว่านี้แล้วก็เป็นได้ แต่เป็นเพราะหลายปีมานี้ ฐานะทางการเงินของครอบครัวค่อนข้างตกต่ำ จึงส่งผลต่อความก้าวหน้าในอาชีพการงานของหญิงสาว
แต่เวลานี้ ทุกอย่างกำลังเริ่มจะเปลี่ยนไปแล้ว หากฉีเล่ยได้เข้าไปทำงานเป็นแพทย์เฉพาะทางพิเศษของกรมอนามัย เขาในฐานะสามี ก็จะมีโอกาสช่วยให้เฉินอวี้หลัวให้ก้าวหน้าในหน้าที่การงานได้
และเมื่อเวลานั้นมาถึง จะดีมากเพียงใดที่สามีภรรยาคู่หนึ่ง คนหนึ่งเป็นแพทย์ประจำโรงพยาบาล ส่วนอีกคนมีตำแหน่งที่สูงกว่า แต่เพราะมีอาชีพแพทย์เหมือนกัน จึงสามารถเป็นแรงผลักดัน และส่งเสริมกันและกันให้เจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น
ในเมื่อคิดเช่นนี้ ฉีเล่ยจึงจำเป็นต้องตัดสินใจปฏิเสธความหวังดีของหลี่ฮั่วเฉินไป!
หลังจากที่ได้ฟังเหตุผลของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินก็เข้าใจ และไม่รู้สึกเสียใจอะไร อีกทั้งยังได้บอกกับชายหนุ่มไปว่า
“ทุกคนต่างก็มีจุดมุ่งหมาย และเส้นทางเดินของตัวเอง เพราะฉะนั้น ฉันจะไม่คะยั้นคะยอ หรือรบเร้าเธออีก แต่เธอต้องรับปากกับฉันว่า เมื่อใดที่รู้สึกไม่สบายใจที่จะทำงานที่นั่น ให้มาหาฉันที่ปักกิ่งทันที ฉันยินดีที่จะต้อนรับเธอเสมอ และจะยังจะเก็บรักษาตำแหน่งทั้งสองไว้รอเธอ..”
หลังจากที่ได้ฟังคำพูดของหลี่ฮั่วเฉิน ฉีเล่ยเองก็รับรู้ได้ถึงความจริงใจของอาวุโสหลี่ และรู้สึกซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก!
การทำงานในวงการแพทย์นั้น ไม่ได้ง่ายเหมือนอย่างที่เห็นกันอยู่เบื้องหน้า ใช่ว่าจะมีเพียงหน้าที่รักษาคนไข้ แต่ความจริงแล้ว ยังต้องรับมือกับความสัมพันธ์ภายในที่ค่อนข้างซับซ้อนด้วย
พูดง่ายๆก็คือว่า วันนี้คนที่เป็นหัวหน้าอาจจะชอบเรา แต่พรุ่งนี้เขาอาจจะเปลี่ยนใจไม่ชอบแล้วก็ได้ ด้วยเหตุนี้ จึงเป็นเรื่องยากที่จะบอกได้ว่า คนผู้นั้นจะประสบกับความล้มเหลว หรือว่าความสำเร็จ?
แต่จากคำพูดของหลี่ฮั่วเฉินเมื่อครู่นั้น เป็นการเปิดทางให้กับฉีเล่ย เพื่อให้ชายหนุ่มได้สบายใจว่า แม้เส้นทางที่เขาเลือกจะไม่ราบรื่น ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลอะไร เพราะเขายังมีเส้นทางอื่นให้เลือกเดินใหม่..
และที่สำคัญ เส้นทางที่ทอดรอฉีเล่ยอยู่นั้น เป็นเส้นทางที่กว้างขวางกว่าเส้นทางที่ชายหนุ่มเลือกในเวลานี้เสียอีก!
เวลานี้ ฉีเล่ยรับรู้ได้ถึงความจริงใจ และความหวังดีของหลี่ฮั่วเฉินที่มีต่อตนเอง เขาจึงได้แต่นึกขอบคุณจากใจจริง!
หลังจากที่แยกย้ายกันแล้ว ฉีเล่ยก็ตรงกลับบ้านทันที..
แต่หลี่ฮั่วเฉินนั้น เมื่อกลับไปถึงห้องพัก กลับไม่ได้รู้สึกสงบนิ่ง หรือผ่อนคลายเหมือนที่แสดงออกในร้านกาแฟเลยแม้แต่น้อย
เขาเดินวนกลับไปกลับมาอยู่ภายในห้องไม่ต่างจากหนูติดจั่น จนกระทั่งผ่านไปครู่ใหญ่ ในที่สุดเขาก็กัดฟันแน่น และตัดสินใจโทรหาไต่คุนทันที!
“ท่านผู้ว่าไต่ ไม่ทราบว่าผมโทรมารบกวนการทำงานของคุณหรือไม่?”
“ไม่เลยครับอาวุโสหลี่! เอ่อ.. ไม่ทราบว่าที่อาวุโสหลี่โทรมา เป็นเพราะมีเรื่องอะไรต้องการจะชี้แนะผมหรือเปล่าครับ?”
“ผมคงไม่บังอาจชี้แนะท่านผู้ว่า เพียงแต่.. มีเรื่องต้องการขอความช่วยเหลือ!”
“ถ้าอย่างนั้นอาวุโสหลี่ก็พูดมาได้เลยครับ ไม่ต้องเกรงใจ! ไม่ว่าเรื่องอะไร ผมก็จะพยายามช่วยอย่างสุดความสามารถ!”
“ท่านผู้ว่าไม่ต้องจริงจังขนาดนั้นก็ได้ ผมเพียงแค่.. ต้องการมาจะขอตัวแพทย์ที่โรงพยาบาลไปช่วยงานที่ปักกิ่ง!”
“อ่อ.. งั้นเหรอครับ? ไม่ทราบว่าอาวุโสหลี่อยากได้ใครไปทำงานด้วย? เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางหรือเปล่า?”
“ไม่ใช่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง แต่เป็นแพทย์ฝึกหัดที่รักษาอาการป่วยให้กับภรรยาของคุณ หมอหนุ่มที่ชื่อฉีเล่ย!”
“ฉีเล่ยเหรอครับ? เอ่อ..”
เสียงปลายสายหยุดชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะพูดต่อว่า “ผมได้ยินจากเฟิงเจิ้นว่า หากไม่มีอะไรผิดพลาด ฉีเล่ยจะต้องเข้าไปรายงานตัวที่กรมอนามัยในวันพรุ่งนี้ แต่ถ้าอาวุโสหลี่ต้องการตัวเขาไปทำงานด้วย รอให้เฟิงเจิ้นหายป่วยแล้ว ผมจะบอกเธอให้ แต่ท้ายที่สุด คงต้องให้ฉีเล่ยเป็นคนตัดสินใจเอง..”
แน่นอนว่า ฟังจากคำพูดของไต่คุน เขาเองก็ไม่ต้องการที่จะปล่อยฉีเล่ยให้หลุดมือไป ด้วยเหตุนี้ หลังจากที่วางสายไป หลี่ฮั่วเฉินก็แต่บ่นพึมพำด้วยความไม่พอใจ..
“หึ! ต้องรอให้ภรรยาหายดีสินะ? ท้ายที่สุดต้องให้ฉีเล่ยเป็นคนตัดสินใจด้วยตัวเองอย่างนั้นเหรอ? เฮ้อ.. ถ้าปล่อยให้ฉีเล่ยเป็นคนตัดสินใจ ผลลัพธ์ก็คงเหมือนเดิมอยู่ดี..”
“จิ้งจอกเจ้าเล่ห์!”
หลี่ฮั่วเฉินทิ้งตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความโมโห และอดที่จะกร่นด่าไต่คุนออกมาไม่ได้ เมื่อคิดว่าไต่คุนไม่เห็นแก่ความอาวุโสของตนเองบ้างเลย!
ในเมื่อเห็นว่าไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ หลี่ฮั่วเฉินจึงได้เรียกเลขานุการให้เข้ามาหา และสั่งให้จัดหาตั๋วเครื่องบิน บินกลับปักกิ่งในช่วงบ่ายทันที แต่ในขณะที่เลขาของเขากำลังจะเดินออกจากห้องไป จู่ๆ หลี่ฮั่วเฉินก็ร้องตะโกนออกไปว่า
“เดี๋ยวก่อน!”
หลี่ฮั่วเฉินครุ่นคิดอะไรอยู่ครู่หนึ่ง เขารับรู้ได้ว่ามีบางอย่างที่ผิดปกติ แต่ก็ไม่รู้ว่ามันคือเรื่องอะไร และดูเหมือนจะเป็นความรู้สึกที่รับรู้ได้จากสัมผัสที่หก..
“ฉันเปลี่ยนใจแล้ว! ไม่ต้องไปจัดการเรื่องตั๋วเครื่องบิน แต่รีบเช็คเอ๊าท์ออกจากที่นี่ แล้วไปพักที่โรงแรมอื่นแทน!”
หลี่ฮั่วเฉินเก็บของ และย้ายออกจากโรงแรมซึ่งอยู่ภายในค่ายทหารแห่งนี้ทันที เขาไปพักที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองแทน และตัดสินใจที่จะอยู่หนานหยางต่ออีกสามวัน
แต่เมื่อพบว่า สาเหตุที่ตัวเขาเองต้องการอยู่ที่นี่ต่อนั้น เป็นเพราะเรื่องของฉีเล่ย หลี่ฮั่วเฉินก็อดที่จะนึกขบขันตัวเองไม่ได้ เพื่อให้ได้ตัวฉีเล่ยซึ่งมีพรสวรรค์อันหาได้ยากไปทำงานด้วย ดูเหมือนชายชราเองจะยินดีทำเรื่องโง่ๆแบบนี้
ส่วนฉีเล่ยนั้นเมื่อกลับไปถึงบ้าน ในระหว่างที่นั่งรับประทานอาหารร่วมกันนั้น ชายหนุ่มก็ได้ปรึกษาหาเรื่องเรื่องหน้าที่การงานกับเฉินอวี้หลัวไปด้วย
ฉีเล่ยได้เล่าเรื่องที่หลิวเฟิงเจิ้นได้จัดการให้เขาเข้าไปทำงานที่กรมอนามัย รวมทั้งข้อเสนอทั้งสองของหลี่ฮั่วเฉินให้ภรรยาฟัง
แต่ใช่ว่าฉีเล่ยจะไม่สามารถตัดสินใจด้วยตัวเองได้ เพียงแต่ถึงแม้เขาจะมีความสามารถทางด้านการแพทย์ล้ำเลิศ แต่ก็ไม่คุ้นเคยกับระบบต่างๆในวงการแพทย์ ซึ่งเรื่องเหล่านี้ เฉินอวี้หลัวย่อมต้องรู้ดีกว่าเขา เพราะเธอเองก็เป็นหมอมานานหลายปี ด้วยเหตุนี้ ฉีเล่ยจึงต้องการฟังความคิดเห็นของหญิงสาว
หลังจากที่ได้ฟังคำบอกเล่าของฉีเล่ย เฉินอวี้หลัวก็ใช้ตะเกียบคีบเนื้อไปวางไว้ในชามข้าวของสามี ปากก็ตอบไปว่า
“ในเมื่อนายเองก็ยังไม่เคยลองทำอาชีพนี้ ฉันอยากจะฟังความคิดเห็นของนายก่อน..”
ฉีเล่ยทำสีหน้างุนงงเล็กน้อย แล้วจึงตอบหญิงสาวกลับไปว่า “ก็ถ้าพวกเราสองคนอยากใช้ชีวิตร่วมกันแบบนี้ไปเรื่อยๆ โดยไม่ต้องแยกจากกัน การเลือกทำงานในกรมอนามัยก็นับเป็นตัวเลือกที่ดี คุณไม่คิดเหมือนผมเหรอ?”
หลังจากที่ได้รู้ว่าฉีเล่ยตัดสินใจเลือกอะไร และด้วยเหตุผลใด เฉินอวี้หลัวจึงได้พูดขึ้นอย่างตรงไปตรงมาเช่นกัน
“ตัดฉันออกจากเหตุผลในการตัดสินใจเลือกของนายได้เลย! ชีวิตเป็นของนายเอง อีกอย่างนายก็เป็นผู้ชาย เป็นหัวหน้าครอบครัว ถ้าหัวหน้าครอบครัวเจริญก้าวหน้า ทุกอย่างก็จะดีตามไปเองไม่ใช่เหรอ?”
“จริงอยู่ที่การทำงานในหนานหยาง ฉันอาจมีโอกาสก้าวหน้าได้มาก แต่นั่นกลับจำกัดความก้าวหน้าของนายเอง! พูดกันตามตรง.. การทำงานในปักกิ่งย่อมต้องมีโอกาสเติบโตมากกว่าอยู่แล้ว! และในเมื่อนายมาถามฉันเรื่องนี้ ก็แสดงว่านายเองก็สนใจงานที่ปักกิ่งเหมือนกันใช่มั๊ย?”
หลังจากได้ฟังคำพูดตรงไปตรงมาของเฉินอวี้หลัว ฉีเล่ยก็ได้แต่นั่งก้มหน้าหลบตา และไม่กล้าสู้หน้าหญิงสาวนัก!
เพราะความจริงก็เป็นเช่นนั้น ข้อเสนอของหลี่ฮั่วเฉินนั้นทำให้เขาถึงกับใจสั่นไม่น้อย เรื่องที่เขาอายุยังน้อยเพียงแค่ยี่สิบหกปีนั้นไม่ใช่ปัญหา แต่มันคือความท้าทายต่างหาก!
เพียงแต่ว่า หากเขาตัดสินใจจะไปทำงานที่ปักกิ่งจริงๆ เขาก็ต้องการที่จะพาครอบครัวไปด้วย..
หลังจากเห็นสีหน้าท่าทางลังเลของฉีเล่ย เฉินอวี้หลัวจึงคีบเนื้อเข้าไปในถ้วยของเขาอีกชิ้น พร้อมกับพูดขึ้นว่า
“ฉีเล่ย นายไม่ต้องห่วงเรื่องของฉัน! ตัดสินใจเลือกสิ่งที่นายต้องการ และไม่ว่านายจะไปไหน ฉันก็ยินดีที่จะติดตามไปอยู่กับนายด้วย!”
ซูชางฉินที่นั่งเงียบอยู่นาน ในที่สุดก็พูดขึ้นมาว่า “นั่นน่ะสิ! อวี้หลัวพูดถูก! ฉีเล่ย เธอไม่ต้องเป็นห่วงพวกเราสองแม่ลูก เลือกทำในสิ่งที่ใจตัวเองต้องการ ถ้าเธอตัดสินใจที่จะไปทำงานในปักกิ่ง พวกเราก็พร้อมที่ย้ายตามไปด้วยทันที!”
แต่หลังจากที่ได้เห็นท่าที และการสนับสนุนของสองแม่ลูกสกุลเฉิน ฉีเล่ยกลับรู้สึกไม่ต้องการที่จะไปทำงานในปักกิ่งอีก!
แม้จะฟังดูดีที่จะได้ไปทำงานที่ปักกิ่ง แต่เมื่อไปถึงที่โน่นซึ่งเป็นเมืองใหม่ที่ทุกคนต่างก็ไม่คุ้นเคย ไหนจะต้องหาบ้านใหม่อยู่ ไหนจะต้องเผชิญกับสิ่งแวดล้อมใหม่ๆ และยังต้องปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ๆอีกด้วย..
ฉีเล่ยตระหนักดีว่า เวลานี้เขาเป็นผู้ชายเพียงคนเดียวของครอบครัว ไม่ว่าเขาจะตัดสินใจทำสิ่งใดไป ย่อมต้องส่งผลกระทบต่อทุกคนในครอบครัวด้วย อีกทั้งเขายังมีฐานะเป็นหัวหน้าครอบครัวในเวลานี้ จึงมีหน้าที่ต้องดูแลทุกคนให้มีความสุขสบาย
เวลานี้ ทั้งภรรยาและแม่ยายของเขา ได้แสดงให้เห็นว่า พวกเธอทั้งสองพร้อมที่จะเสียสละเพื่อเขามากเพียงใด แต่ฉีเล่ยก็ไม่อาจยินยอมให้ทั้งสองคน ต้องเสียสละเพื่อเขามากถึงเพียงนี้..
ถึงแม้ว่าการทำงานที่กรมอนามัย จะไม่อาจเทียบเท่ากับการทำงานในปักกิ่งได้ แต่ก็ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไรนัก!
และในที่สุด ฉีเล่ยก็ตัดสินใจว่า เขาจะไปรายงานตัวที่กรมอนามัยในวันพรุ่งนี้!