ตอนที่ 34 คลื่นถาโถม (1)

ยอดคุณหมอสกุลเฉิน

ตอนที่ 34 คลื่นถาโถม (1)

รุ่งเช้าของวันใหม่ ฉีเล่ยไปโรงพยาบาลทหารเพื่อดูอาการของหลิวเฟิงเจิ้น และเมื่อเข้าไปในห้องพักผู้ป่วยพิเศษ จึงได้พบว่า จ้าวโจวเฉินกำลังตรวจอาการของเธออยู่พอดี

หลังจากจ้าวโจวเฉินตรวจอาการของหลิวเฟิงเจิ้นแล้ว ฉีเล่ยจึงเข้าไปทำการตรวจชีพจรให้..

“อาการป่วยหายดีแล้วครับ ไม่จำเป็นต้องทานยาอีกแล้ว ที่เหลือก็มีเพียงแค่นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเท่านั้น แต่ว่า.. ทำไมอาการดีขึ้น แต่สีหน้ากลับดูแย่ลงกว่าเมื่อวาน? หรือเป็นเพราะเมื่อคืนพักผ่อนไม่เพียงพอ? การพักผ่อนจำเป็นมากนะครับ..”

หลิวเฟิงเจิ้นส่งจานแอปเปิ้ลให้ฉีเล่ย พร้อมตอบกลับไปว่า “เฮ้อ.. ฉันเองก็อยากจะนอนพักผ่อน แต่เมื่อเช้านี่สิ มีคนมาเยี่ยมตั้งเจ็ดแปดคน! คนพวกนี้ก็ช่างหาเหตุผลจริงๆ เวลาเราป่วย ก็อยากจะมาแสดงความยินดีหลังฟื้นตัว หรือเมื่ออาการดีขึ้น..”

ฉีเล่ยหัวเราะเบาๆ ก่อนจะตอบกลับไปว่า “คิดไม่ถึงจริงๆนะครับว่า การได้เป็นหัวหน้ามีตำแหน่งใหญ่โต ก็จะมีเรื่องให้ต้องกังวลใจด้วย..”

หลิวเฟิงเจิ้นได้ฟังก็พูดเสียงดังขึ้นมาทันที “มีสิ! ไว้วันข้างหน้าที่เธอได้เป็นหัวหน้าคนบ้าง แล้วเธอก็จะเข้าใจเองล่ะคุณหมอฉี!”

ฉีเล่ยยกมือขึ้นโบกไปมา พร้อมตอบกลับไปทันที “ผมเป็นแค่หมอตัวเล็กๆ จะมีโอกาสเป็นหัวหน้าใหญ่โตได้ยังไงล่ะครับ?”

หลิวเฟิงเจิ้นเปลี่ยนเรื่องคุยทันที เธอหันไปถามฉีเล่ยว่า “นี่หมอฉี ในเมื่อฉันเองก็หายป่วยดีแล้ว ฉันอยากจะกลับไปพักผ่อนที่บ้านมากกว่า เธอคิดว่ายังไง?”

จ้าวโจวเฉินที่ยืนอยู่รีบคัดค้านขึ้นมาด้วยน้ำเสียงกระวนกระวายใจ “ไม่ได้นะครับคุณนายหลิว! ที่โรงพยาบาลมีเครื่องไม้เครื่องมือพร้อมเพรียง อาการของคุณดีขึ้นแล้วก็จริง แต่เพื่อความปลอดภัย น่าจะต้องอยู่ดูอาการต่ออีกสักสองสามวัน แล้วผมจะสั่งห้ามเยี่ยม เพื่อไม่ให้มีใครเข้ามารบกวนการพักผ่อนของคุณได้อีก..”

หลังจากพูดจบ ผู้อำนวยการจ้าวก็หันไปมองฉีเล่ย พร้อมกับขยิบตาสองสามครั้งเป็นการส่งสัญญาณให้ และเขาก็คาดหวังว่าฉีเล่ยจะพูดเช่นเดียวกัน

“กลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านก็ดีเหมือนกันนะครับ..”

ฉีเล่ยตอบกลับหลิวเฟิงเจิ้น คล้ายกับว่ามองไม่เห็นการขยิบตาส่งสัญญาณของจ้าวโจวเฉิน พร้อมกับพูดต่อว่า

“การกลับไปพักฟื้นที่บ้านจะช่วยให้จิตใจของผู้ป่วยผ่อนคลายมากขึ้น และมีความสุขมากกว่าที่จะอยู่ในโรงพยาบาล แต่ถ้าจะให้ดี ผมคิดว่าควรจะให้ผู้อำนวยการจ้าวช่วยจัดหาพยาบาล ไปคอยดูแลระหว่างที่พักฟื้นอยู่ที่บ้านด้วย..”

สีหน้าของหลิวเฟิงเจิ้นบ่งบอกว่าพอใจกับคำตอบของฉีเล่ยเป็นอย่างมาก และได้แต่คิดอยู่ในใจว่า ฉีเล่ยยังคงเป็นหมอที่ดีที่สุดในสายตาของเธอ แต่ปากก็พูดออกไปว่า

“นั่นน่ะสิคุณหมอฉี กลับไปพักฟื้นที่บ้านฉันต้องแข็งแรงขึ้นเร็วกว่านี้แน่! แต่ไม่รู้ทำไมจ้าวโจวเฉินจะให้ฉันอยู่แต่ในโรงพยาบาลท่าเดียว นี่เขาทำเพื่อฉัน หรือว่าตัวเองกันแน่? วันๆ มองไปรอบตัวก็เจอแต่ผนังห้องสี่เหลี่ยม ได้แต่กลิ่นยาโชยเข้ามาในห้องตลอดทั้งวัน บอกตามตรง ต่อให้คนดีๆไม่ป่วยเป็นอะไร ต้องมานอนอยู่แบบนี้ทั้งวันทั้งคืน ก็ต้องป่วยเข้าจริงๆแน่!”

“ในเมื่อคุณหมอฉีบอกว่ากลับไปพักฟื้นต่อที่บ้านได้ เธอก็ไปจัดการได้เลย!”

หลิวเฟิงเจิ้นหันไปสั่งเลขานุการส่วนตัว ให้ไปจัดการทำเรื่องออกจากโรงพยาบาลทันที โดยไม่สนใจคำพูดของจ้าวโจวเฉินอีก ทำให้จ้าวโจวเฉินเข้าใจได้ทันทีว่า หลิวเฟิงเจิ้นนั้นไม่คิดที่จะฟังคำแนะนำของตนเองตั้งแต่แรกแล้ว

เขาหันไปมองฉีเล่ยด้วยแววตาที่ลุกเป็นไฟ และได้แต่กร่นด่าอยู่ในใจ ‘หึ! ไอ้เด็กเหลือขอคนนี้ มันเลวร้ายยิ่งกว่าจางฝูที่ฉลาดแกมโกงเสียอีก! ฉันอุตส่าห์เป็นฝ่ายยอมอ่อนข้อให้ แต่แกกลับปฏิเสธไม่ยอมรับไมตรีของฉันเชียวเหรอ?’

ครึ่งชั่วโมงต่อมา เลขาส่วนตัวของหลิวเฟิงเจิ้นก็ได้จัดการทุกอย่างเรียบร้อย เวลานี้รถพยาบาลได้ถูกจัดเตรียมไว้พร้อมแล้ว เพื่อทำการส่งตัวหลิวเฟิงเจิ้นกลับบ้าน

แพทย์หัวหน้าแผนกสองสามคนที่ล้อมเตียงเคลื่อนย้ายผู้ป่วยของหลิวเฟิงเจิ้นไว้ ช่วยกันขยับไปมาหน้าหลัง ก่อนที่จะช่วยกันเข็นออกไปจากห้องพักอย่างช้าๆ ในระหว่างที่เข็นเตียงเคลื่อนย้ายไปที่ลิฟท์นั้น ปากก็ร้องตะโกนเสียงดังไปตลอดทาง

“หลีกทางด้วย! กรุณาอย่าขวางทาง!”

ฉีเล่ยถูกกันให้ไปอยู่ด้านหลังสุด และไม่มีใครเปิดโอกาสให้เขาได้ช่วยเลยแม้แต่น้อย..

หลังจากที่ส่งหลิวเฟิงเจิ้นขึ้นรถพยาบาลเรียบร้อยแล้ว เลขานุการส่วนตัวของหลิวเฟิงเจิ้นก็ได้หยิบจดหมายฉบับหนึ่งออกมายื่นให้กับฉีเล่ย พร้อมกับพูดขึ้นว่า

“คุณหมอฉีคะ นี่เป็นจดหมายที่หัวหน้าหลิวสั่งการให้ฉันจัดการ และนำมาให้คุณค่ะ คุณหมอฉีนำจดหมายนี้ไปให้เจ้าหน้าที่ในกรมอนามัย ระหว่างที่ไปรายงานตัวนะคะ!”

หลังจากพูดจบ เธอก็รีบวิ่งขึ้นรถพยาบาลไปทันที ฉีเล่ยไม่มีโอกาสแม้แต่จะขอบคุณด้วยซ้ำ..

เวลานี้ หัวหน้าแพทย์แผนกคนอื่นๆที่ยืนอยู่รอบๆ ต่างก็จ้องมองฉีเล่ยด้วยสีหน้าแววตาอิจฉา!

สังคมทุกวันนี้ ต่อให้คนเป็นหมื่นบอกคุณว่าเป็นไปไม่ได้ ไม่มีทางเป็นไปได้! แต่หากผู้ที่เป็นหัวหน้าบอกคำเดียวว่าเป็นไปได้ คำพูดของคนอื่นก็ไม่มีความหมายอะไรอีก และเวลานี้ แพทย์ฝึกงานคนหนึ่งก็กำลังจะได้เข้าไปเป็นถึงแพทย์พิเศษของกรมอนามัยเลยทีเดียว!

ในช่วงบ่าย กวนไห่ผิงก็ได้โทรหาฉีเล่ย และเมื่อรู้ว่าเขาอยู่ที่โรงพยาบาล ก็รีบรุดมาหาชายหนุ่มทันที ฉีเล่ยจึงได้ขอยืมห้องคนไข้ที่ว่างอยู่ ทำการฝังเข็มให้กับกวนไห่ผิง

หลังจากที่ฝังเข็มเสร็จเรียบร้อยแล้ว และได้ข่าวจากฉีเล่ยว่า เขาจะต้องไปรายงานตัวที่กรมอนามัยบ่ายนี้ในฐานะแพทย์พิเศษ กวนไห่ผิงจึงเสนอตัวเลี้ยงฉลองให้กับชายหนุ่ม เพราะถึงอย่างไรเสีย ฉีเล่ยก็เป็นผู้ที่ดึงเขาให้ออกจากความมืดแห่งชีวิต

…….

หลังจากที่ทั้งคู่นั่งรับประทานอาหารเที่ยงด้วยกันเสร็จแล้ว กวนไห่ผิงจึงได้จากไป ส่วนฉีเล่ยก็มุ่งหน้าไปรายงานตัวที่กรมอนามัย

กรมอนามัยประจำมณฑลหนานเจียงนั้น ตั้งอยู่ในเขตที่เจริญรุ่งเรืองที่สุดของเมืองหนานหยาง เป็นอาคารสมัยใหม่ที่สามารถมองเห็นได้แต่ไกล อาคารแห่งนี้ให้ความรู้สึกสง่างาม เคร่งขรึม และโอ่อ่า

เมื่อฉีเล่ยเดินลงจากรถแท็กซี่ และยืนมองลอดประตูเข้าไปด้านใน จึงได้เห็นว่า ลานกว้างด้านหน้าตึกนั้นเป็นลานจอดรถ และเวลานี้ก็มีรถจอดเรียงรายอยู่มากมาย

หน่วยงานที่ฉีเล่ยจะต้องเข้าไปรายงานตัวนั้นคือสำนักงานสุขภาพ และชายหนุ่มจะต้องเข้าไปรายงานตัวที่แผนกทะเบียนของสำนักงานก่อน

และแน่นอนว่า เมื่อเป็นคำสั่งโดยตรงจากระดับผู้บริหารของกรมที่สั่งลงมา ต่อให้เป็นงานเล็กน้อย ผู้ใต้บังคับบัญชาย่อมถือปฏิบัติประหนึ่งงานใหญ่โต

ฉีเล่ยเงยหน้าขึ้นมองอาคารสูงสง่างามแห่งนี้ ก่อนจะก้าวเท้าเดินตรงเข้าไปที่หน้าประตู แต่ทันทีที่ชายหนุ่มก้าวเดินเข้าไป จู่ๆ ก็มีเสียงร้องตะโกนออกมาเสียงดัง

“นี่คุณ! ผมหมายถึงคุณนั่นล่ะ หยุดก่อน! ไม่อ่านป้ายเหรอครับ ‘กรุณาลงทะเบียนก่อนเข้า!’”

ระหว่างที่พูด เจ้าหน้าที่คนนั้นก็ได้ยกมือขึ้นเคาะป้ายอลูมิเนียม ที่เขียนไว้ชัดเจนว่า ‘กรุณาลงทะเบียนก่อนเข้า’

ฉีเล่ยมัวแต่เดินใจลอย จึงไม่ทันได้สังเกตเห็นจริงๆ เขาได้แต่หัวเราะแก้เก้อ พร้อมกับพูดขอโทษออกไป

“ขอโทษทีครับ พอดีผมมัวแต่คิดอะไรเพลินไปหน่อย!”

“ตัวหนังสือใหญ่เท่าช้างกลับมองไม่เห็น นี่คุณมัวแต่เอาตาไปมองอะไรอยู่?”

เจ้าหน้าที่คนนั้นยังคงร้องตะโกนเหน็บฉีเล่ยเสียงดัง และยังคงตะโกนสั่งเขาด้วยสีหน้า และน้ำเสียงหยิ่งจองหอง

“แล้วยังจะยืนซื่อบื้อเป็นตอไม้อยู่อีกทำไมกัน? ยังไม่รีบๆลงทะเบียนอีก ลงเสร็จแล้วก็จะได้เข้าไปข้างในซะที อย่ามายืนเกะกะอยู่ตรงนี้!”

ฉีเล่ยได้แต่นึกโมโหอยู่ในใจ ‘ก็แค่ลงทะเบียน ทำไมต้องตวาดกันขนาดนี้ด้วย? นี่ฉันมาทำอะไรที่นี่? แล้วทำไมฉันต้องมาที่นี่ด้วย? แค่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ยังจองหองซะขนาดนี้!’

ในระหว่างนั้น รถออดี้สีดำที่เพิ่งขับมาถึงหน้าประตูทางเข้า ก็ได้กดแตรใส่เสียงดัง..

เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยรีบหันหน้าไปมองทันที แล้วใบหน้าบูดบึ้งไม่รับแขก ก็พลันเปลี่ยนเป็นยิ้มแย้มแจ่มใส ราวกับว่ากำลังยืนอยู่กลางทุ่งดอกไม้ในฤดูใบไม้ผลิเลยทีเดียว เขารีบวิ่งไปเปิดไม้กั้น และโค้งคำนับให้กับคนในรถด้วยท่าทางเคารพนบนอบอย่างมาก

หลังจากนั้น คนขับรถออดี้สีดำก็เหยียบคันเร่งพารถพุ่งเข้าไปด้านในอย่างรวดเร็ว โดยไม่สนใจแม้แต่จะปรายตามองเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย ที่กำลังยืนทำความเคารพอยู่ด้วยซ้ำ

แต่เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยยังคงยืนตรง พร้อมกับส่งยิ้มกว้างอยู่เช่นนั้น จนกระทั่งรถแล่นผ่านไปแล้ว จึงมีเสียงแตรดังขึ้น ซึ่งเจ้าหน้าที่คนนั้นเข้าใจว่าเป็นการทักทายจากคนขับรถคันนั้น

แต่สำหรับฉีเล่ยแล้ว เขารู้สึกว่า คนขับรถคันนั้นกำลังกดแตรด่าเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยต่างหาก เพราะไม่พอใจที่เขายืนขวางทางเข้าอยู่ได้

หลังจากที่รถออดี้สีดำแล่นเข้าไปด้านในแล้ว เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยจึงได้หันมาทางฉีเล่ย แล้วพูดกับเขาด้วยน้ำเสียง และท่าทางก้าวร้าวเหมือนเดิม

“ยังจะยืนเฉยทำไมอีก? ยังไม่รีบๆลงทะเบียนให้เสร็จ จะได้เข้าไปข้างในซะที มายืนขวางหูขวางตาอยู่ได้!”